“น้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาททรงนั่งลงก่อนเถิด หมอหลวงใกล้มาถึงแล้ว” ครั้นถูกกลิ่นอายสังหารในน้ำเสียงของฮ่องเต้แคว้นหวาข่มขวัญจนสีหน้าขาวซีด ขันทีที่คอยรับใช้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีหวาดกลัว
ฮ่องเต้แคว้นหวาปิดตาลงแล้วล้มตัวนั่งบนเก้าอี้ตามแรงประคอง มู่หรงซีกับกู้ซิ่วถิงคิดว่าเนี่ยอวิ๋นปล่อยพวกเขาไปแล้วจะหมดเรื่องกังวลใจอย่างนั้นหรือ ขอแค่มีผีเสื้อหลงทางอยู่ ต่อให้มู่หรงซีจะหนีไปไกลสุดขอบฟ้าก็หนีการไล่ล่าขององครักษ์ในวังหลวงไปไม่ได้หรอก
เราจะรอดูว่าพวกเจ้าจะหนีรอดไปได้ไกลแค่ไหนเชียว!
ตรงประตูวัง จ้าวจื่ออวี้และเซ่าจิ่นประกบข้างกายซ้ายขวาประคองตัวเนี่ยอวิ๋นที่เพิ่งถูกโบยสองร้อยทีจนครึ่งร่างชุ่มไปด้วยเลือดเดินออกไปข้างนอก
หากจะพูดว่าเดิน สู้บอกว่าถูกลากไปจะถูกกว่า ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแคว้นหวา แต่หากทนรับการโบยสองร้อยทีโดยไม่ใช้กำลังภายในเลย เขาขยับตัวได้ก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว
ขณะที่ประคองเนี่ยอวิ๋นเดินออกไป เซ่าจิ่นก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ไปด้วยว่า “เจ้าทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเกิดใจอ่อนขึ้นมาจึงยอมปล่อยจังชิงไป ถึงขนาดเกือบเอาชีวิตตัวเองไม่รอดด้วย”
เนี่ยอวิ๋นยิ้มบางกล่าว “นี่ก็ยังไม่ตายมิใช่หรือ ขอบใจพวกเจ้ามาก”
เซ่าจิ่นกลอกตามองบนใส่ “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก หากไม่ใช่เพราะอำนาจหนุนหลังของจ้าวจื่ออวี้แข็งแกร่ง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าต่อให้พวกเราสองคนนั่งคุกเข่าจนพื้นกระดานของพระตำหนักฉินเจิ้งทะลุ ฝ่าบาทก็ไม่มีทางยอมแน่นอน” ดังนั้นคนที่ช่วยร้องขอชีวิตไว้ได้ คงกล่าวได้ว่าลำบากจ้าวจื่ออวี้แล้วจริงๆ
จ้าวจื่ออวี้ส่ายหน้ากล่าว “เซ่าจิ่น เลิกพูดได้แล้ว ศิษย์พี่จะเก็บเอามาคิดมาก กลับไปรักษาตัวดีๆ เถิด”
“ข้าไม่เป็นไร” เนี่ยอวิ๋นเอ่ยเสียงขรึม
“จะไม่เป็นไรได้เช่นไรกัน” เซ่าจิ่นเอ่ย หากเปลี่ยนเป็นตน อย่าว่าแต่โบยสองร้อยทีเลย ลำพังแค่โบยยี่สิบทีก็คงตายแล้ว
เนี่ยอวิ๋นเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ตอนนี้ข้ารู้สึก…” เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เนี่ยอวิ๋นอึกอักเพราะไม่รู้ควรพูดเช่นไรดี “ข้ารู้สึกดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย” แน่นอนว่าเรื่องเจ็บตัวคงเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือลำดับต้นๆ แต่เวลาควรเจ็บตัวก็ต้องเจ็บตัวกันบ้าง
จ้าวจื่ออวี้ปล่อยมือที่ใช้ประคองเนี่ยอวิ๋นออกด้วยท่าทีประหลาดใจ ซึ่งก็คือการปล่อยให้เนี่ยอวิ๋นลองขยับเคลื่อนไหวตัวเอง จากนั้นก็ก้าวเดินขึ้นไปข้างหน้าสองก้าว นอกจากคิ้วที่ขมวดมุ่นเพราะบาดแผลตามตัวแล้ว ทว่าสีหน้าของเนี่ยอวิ๋นกลับดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากจริงๆ
“เกิดอะไรขึ้น” อย่าว่าแต่จ้าวจื่ออวี้เลย เพราะแม้แต่เซ่าจิ่นก็ยังมองเห็นสิ่งผิดปกตินี้
จ้าวจื่ออวี้เลิกคิ้วเอ่ย “เหมือนว่า…ฝีมือวิทยายุทธของศิษย์พี่จะพัฒนาขึ้นแล้ว” พอมาอยู่ในจุดของยอดฝีมืออย่างเนี่ยอวิ๋น หากคิดจะพัฒนาขึ้นย่อมเป็นเรื่องที่ยากมาก กระทั่งหลายๆ คนทำทุกหนทางก็ยังยากจะพัฒนาขึ้นได้ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เนี่ยอวิ๋นจะทำลายความยากลำบากนั้นทิ้งได้
เซ่าจิ่นเผยแววตาตกตะลึง “โดนโบยก็เพิ่มวิทยายุทธได้ด้วยหรือ” ในใต้หล้านี้ก็มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วย ทำเอาใต้เท้าเซ่าที่ไม่ชำนาญในการต่อสู้เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ
จะเป็นไปได้เช่นไรกันเล่า จ้าวจื่ออวี้เหลือบมองสหายรักอย่างหมดคำพูดแวบหนึ่ง “ศิษย์พี่?”
เนี่ยอวิ๋นส่ายศีรษะยิ้มกล่าว “ไม่มีอะไร แค่อยู่ดีๆ ก็เข้าใจเรื่องบางเรื่องอย่างถ่องแท้เท่านั้น” เพราะปมในใจยากจะคลี่คลายได้ ในตลอดสี่ปีนี้วิทยายุทธของเนี่ยอวิ๋นจึงไม่ขยับไปไหน ครั้นตระหนักได้ในฉับพลันย่อมทำให้ฝีมือวิทยายุทธของเขาเลื่อนขึ้นไปอีกขั้น ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพละกำลังของกำลังภายใน แต่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตใจต่างหาก
“ยินดีกับศิษย์พี่ด้วย” จ้าวจื่ออวี้ยิ้มกล่าว
“หากไม่ใช่เพราะเวลานี้ไม่เหมาะสม เราน่าจะฉลองกันสักหน่อยจริงๆ” เซ่าจิ่นเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
เนี่ยอวิ๋นยิ้มแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ควรกลับได้แล้ว ไปกันเถิด”
ครั้นหมุนตัวเตรียมจะเดินไป เซ่าจิ่นกับจ้าวจื่ออวี้กลับพุ่งตัวเข้ามาขนาบข้างซ้ายขวาคว้าตัวเขาไว้แล้วกึ่งประคองกึ่งลากเขาเดินออกไปด้านนอก
ในเมื่อได้รับบาดเจ็บ เขาก็ควรแสดงท่าทีเหมือนคนบาดเจ็บหน่อยจะดีกว่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้คนที่ลงโทษนึกหงุดหงิดใจเอาได้
นอกตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งระหว่างเขตแดนแคว้นเย่ว์และแคว้นหวา มู่ชิงอีและอู๋ซินต่างจูงม้าคนละตัวเดินไปตามทางอย่างช้าๆ พวกเขาจากเมืองหลวงของแคว้นหวามาราวๆ เดือนกว่าแล้ว อีกทั้งเดินทางมาถึงเขตแดนระหว่างสองแคว้นอย่างไม่รีบร้อนนัก พวกเขาตามหากู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีไปด้วยตลอดการเดินทาง มู่ชิงอีเองก็รู้จักชื่อภูเขาแม่น้ำงดงามและทิวทัศน์ธรรมชาติขึ้นชื่อต่างๆ อยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะเคยเห็นผ่านตาจากหนังสือมาบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนเห็นกับตาตัวเองจริงๆ
มิน่าเล่าพี่ใหญ่ถึงอยากท่องผจญรอบภูเขาแม่น้ำชื่อดังในใต้หล้ามาตลอด การใช้ชีวิตสบายๆ เช่นนี้มีความสุขมากกว่าการวางแผนคิดกลอุบายอยู่ในเมืองหลวงเสียอีก
หากไม่ใช่เพราะอู๋ซินคอยเร่งเร้ามาตลอดทางเป็นระยะๆ หากกลับไปถึงช้ากลัวว่าองค์ชายจะร้อนใจ เกรงก็แต่ตอนนี้พวกเขาก็คงอยู่ในระหว่างเดินทางแล้วเช่นกัน
“คุณหนูขอรับ ด้านหน้าเป็นตำบลสุดท้ายในเขตแดนแคว้นหวา พวกเราพักผ่อนที่นี่สักคืน พรุ่งนี้เช้าก็ออกด่านได้แล้วขอรับ” อู๋ซินกล่าวเสียงเบาพลางชี้ตำบลเล็กๆ ที่พอจะมองเห็นเป็นเค้าโครงรางๆ เบื้องหน้า
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ก็ดี”
พวกเขาสองคนกำลังเตรียมตัวขึ้นม้าเพื่อเร่งเดินทางไปยังที่พักในตำบลเล็กๆ เบื้องหน้า ทว่าตรงป่าไม้เล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหน้ามีเสียงอึกทึกดังแว่วมา ตลอดการเดินทางพวกเขาสองคนเจอเรื่องแบบนี้มาไม่น้อย มู่ชิงอีขมวดคิ้วเอ่ย “เขตชายแดนมีกองทหารเฝ้าประจำการ แต่คิดไม่ถึงว่าโจรป่าจะกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้เชียว” อีกทั้งจองหองโอหังไม่เบา เพราะถึงขนาดกล้าขโมยของตรงละแวกใกล้เคียงตำบลเล็กๆ นั้นเลย
อู๋ซินเอ่ย “ถึงแม้จะมีทหารประจำการ แต่ไม่มีทางดูแลได้อย่างครอบคลุมอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมีหลายพื้นที่ที่ไม่มีใครดูแล มีชาวบ้านของบางหมู่บ้านหรือกระทั่งตำบลเป็นโจรป่าเสียเองด้วยซ้ำ” คนอย่างพวกเขาย่อมไม่มีทางเลือกออกจากเส้นทางหลักอยู่แล้ว แต่ที่ตั้งทำเลของตำบลแห่งนี้ค่อนข้างห่างไกล เส้นทางลาดชันขรุขระเดินทางลำบาก แต่ด้วยวิทยายุทธของอู๋ซินแล้ว ต่อให้ต้องพาคนๆ หนึ่งออกจากที่นี่ไปก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย
มู่ชิงอีส่ายศีรษะกล่าว “ไปดูหน่อยเถิด”
ความจริงพวกเขาไม่ต้องไปดู เหล่าโจรป่าพวกนั้นก็เห็นพวกเขาแล้ว จากนั้นก็รีบแบ่งคนเข้ามาล้อมปิดทางพวกเขาไว้
“เอ๊ะ วันนี้เป็นวันดีอะไรกันนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแพะตัวอวบโผล่มาสองตัวในคราวเดียว ดูท่าทางวันนี้จะเป็นวันมงคลแฮะ” หัวหน้าโจรร่างบึกบึนคนหนึ่ง สีหน้าอิ่มเอิบ หนวดเครายาวเยิ้ม ดวงตาสีดำขลับราวกับดวงตาหนูทั้งสองข้างกลอกไปมาจับจ้องมู่ชิงอีและอู๋ซินที่อยู่บนม้าตรงหน้า สุดท้ายก็เลื่อนสายตาไปจับจ้องร่างของมู่ชิงอีพร้อมดวงตาที่เป็นประกายมากกว่าเดิม
“สาวงามคนหนึ่งเชียวหรือ…ชั่วชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยเจอสาวงามแบบนี้มาก่อนเลย” บุรุษผู้นั้นลูบมือพลางใช้ดวงตาจับจ้องมู่ชิงอีที่สวมชุดสีเหลืองนวลเบื้องหน้าพลันรู้สึกน้ำลายไหล
นานๆ ทีสถานที่อย่างเขตชายแดนจะมีผู้หญิงนอกพื้นที่โผล่มาสักคน อีกอย่างผู้หญิงส่วนมากมักไม่เดินทางมาในที่แบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวงามอย่างมู่ชิงอีที่ระยะทางภายในหมื่นลี้ก็ไม่มีทางหาตัวได้
“สาวงาม เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ สู้กลับไปเป็นฮูหยินของโจรป่าอย่างข้าดีกว่ากระมัง” หัวหน้าโจรป่าผู้นั้นลูบมือพลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าเอาอกเอาใจ
อู๋ซินแค่นเสียงเบาทีหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ใช้ดวงตาเย็นยะเยือกจับจ้องคนผู้นั้น
ทว่าเสียงแค่นเบาๆ นี้กลับสร้างความไม่พอใจแก่หัวหน้าโจรป่าผู้นั้น เขาหันกลับไปมองบุรุษหนุ่มชุดขาวด้านหลังที่ถูกเหล่าโจรป่าล้อมไว้ไม่ไกลนัก จากนั้นถึงมองบุรุษที่ถึงแม้จะสวมชุดธรรมดาๆ แต่เรียกได้ว่าใบหน้าหล่อเหลาเอาการ ฉับพลันเขาก็นึกโมโหขึ้นมาทันที
เขารู้ตัวดีว่าตนหน้าตาดูไม่ได้ ทว่าพอตอนนี้มีบุรุษหนุ่มหน้าหล่อสองคนปรากฏตัวต่อหน้าสาวงามเช่นนี้ แบบนี้จะไม่ใช่การจงใจทำให้เขาดูแย่หรอกหรือ
“จัดการฆ่าไอ้หนุ่มหน้าหล่อสองคนนี้เสีย!” ทันทีที่ออกคำสั่งก็มีโจรป่าหลายคนถือดาบพุ่งตัวเข้าไปหาอู๋ซินทันที