อู๋ซินเห็นคนชั่วช้าพวกนี้อยู่ในสายตาเสียที่ไหนกัน เขายื่นมือออกไปพร้อมฟาดฟันประกายแสงเย็นยะเยือก เวลานี้ในมือปรากฏดาบยาวที่ประกายแสงเย็นยะเยือกแผ่รอบทิศเล่มหนึ่ง หลังจากดาบยาวงัดกระบวนท่าดาบไปสามท่าอย่างคล่องแคล่ว ชั่วพริบตาเดียวดาบยักษ์ที่แผ่รังสีอำมหิตหลายเล่มนั้นก็กระเด็นลอยหายไป
ในเมื่อเกิดเรื่องอับอายขึ้นต่อหน้าสาวงาม หัวหน้าโจรป่าผู้นั้นย่อมไม่มีทางรามือง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธปนอับอายว่า “เจ้าพวกน่ารังเกียจ! รีบจัดการฆ่ามันเสีย!” ระหว่างที่พูดนั้นตัวเขาเองก็เงื้อดาบยักษ์พุ่งเข้าหาอู๋ซิน มือหนึ่งอู๋ซินก็คว้าตัวมู่ชิงอีมาปกป้อง ส่วนอีกมือหนึ่งก็กุมดาบไว้แน่น ทักษะกระบวนท่าดาบรวดเร็วสะอาดหมดจดไร้ที่ติ เวลาเพียงครู่เดียวก็ทำเอาพวกโจรป่านอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นแล้ว
ในสถานที่ที่คนมาเพื่อหาผลประโยชน์บ้างเล็กน้อยเฉกเช่นที่นี่ เดิมทีก็ไม่ได้มีหัวหน้าโจรป่าที่มีฝีไม้ลายมือน่ากลัวอะไรมากนัก แต่สำหรับคนพวกนี้ที่กล่าวว่าเป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้าจึงต่างพากันยกย่องหัวหน้าโจรป่า
หลังจากที่พวกเขาจัดการเรื่องทางนี้เรียบร้อยแล้วถึงเงยหน้าทอดมองไปทางนั้น พวกเขาก็เห็นเพียงว่าโจรฝั่งนั้นล้มนอนกองบนพื้นแล้วเช่นกัน คุณชายชุดขาวซึ่งขาวยิ่งกว่าหิมะที่ถูกคนห้อมล้อมปิดทางไว้กลับยืนเผยสีหน้าแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับไม่ได้แม้แต่จะยกมือขึ้นทำอะไรด้วยซ้ำ จากนั้นก็ก้มหน้ามองพวกโจรป่าที่ถูกตนจัดการจนล้มนอนอยู่บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ คุณชายชุดขาวย่างกรายข้ามศพเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
“ตายกันหมดแล้ว เขาอาจจะเป็นยอดฝีมือด้านการใช้พิษ” อู๋ซินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยแล้วดันตัวมู่ชิงอีมาคุ้มกันไว้ด้านหลังอย่างระแวดระวัง
คุณชายชุดขาวผู้นั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาสองคน ทว่าเขาแค่กวาดตามองพวกเขาด้วยแววตาแน่นิ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าย่อตัวกระชากถุงที่ปักลวดลายดอกไม้อันหนึ่งมาจากเอวของหัวหน้าโจรผู้โชคร้ายคนนั้นแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ครั้นเห็นบุรุษชุดขาวผู้นั้นเดินไปไกลแล้ว อู๋ซินถึงพรั่งพรูลมหายใจ มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “อู๋ซินรู้จักเขาหรือ”
อู๋ซินส่ายศีรษะเอ่ย “ข้าไม่รู้จักหรอก แต่…น่าจะเป็นคนของเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ อีกอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่หมอที่มีจิตใจเมตตาอะไร” เขากวาดตามองคนที่นอนตายเกลื่อนพื้นจากมุมที่ไม่ไกลนักแวบหนึ่ง ทุกคนล้วนเลือดไหลออกจากรูทวารทั้งเจ็ดจนถึงแก่ความตาย อีกทั้งอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้แม้แต่จะขยับตัวเลยสักนิด ช่างชวนให้คนรู้สึกสั่นสะพรึงไม่ได้จริงๆ
สำนักเย่าหวังกู่เองก็มีหมอจิตใจเมตตาที่พยายามทุ่มเทช่วยรักษาผู้ป่วยอย่างแท้จริง ทว่าก็มีคนที่ใช้มือซ้ายรักษาคนแต่ใช้มือขวาฆ่าคนเช่นกัน นับว่าเป็นบุคคลที่มีจิตใจเมตตาและร้ายกาจในคนๆ เดียว และคนตรงหน้านี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่บุคคลดีเด่อะไรขนาดนั้น
“เย่าหวังกู่…” มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างจนใจ ในระหว่างที่ความสัมพันธ์ระหว่างมู่หรงอวี้และเย่าหวังกู่ยังไม่ชัดเจน คนของสำนักเย่าหวังกู่ตรงหน้าก็ควรเคารพอยู่ห่างๆ คงดีกว่า
“สาว…งาม” ครั้นหัวหน้าโจรป่าที่นอนโอดครวญพะงาบๆ บนพื้นเห็นว่าพวกเขากำลังจะไปก็รีบเปิดปากร้องเรียกไว้
อู๋ซินหันไปพร้อมใช้คมดาบแหลมจ่อคอเขาในทันที “มีเรื่องอันใดจะพูดอีกหรือ”
“เปล่า…เปล่านะ สาวงาม…อย่า แม่นาง ข้าหวังดีจริงๆ ตำบลด้านหน้าเข้าไปไม่ได้นะ คนที่เข้าไปไม่มีใครออกมาได้สักคน”
อู๋ซินขมวดคิ้วเอ่ย “เหลวไหล ข้าออกจากที่นี่มาได้ตั้งหลายครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นเลยสักครั้ง” ถึงแม้เขากับอู๋ฉิงจะเป็นองครักษ์ตามติดตัวองค์ชายเก้า ทว่าความจริงตอนอยู่แคว้นเย่ว์กลับไม่ได้อยู่รับใช้ข้างกายองค์ชายเก้าบ่อยครั้งนัก เรื่องบางเรื่องที่องค์ชายเก้าไม่สะดวกจัดการหรือไม่มีเวลาไปจัดการก็จะใช้ให้พวกเขาสองคนช่วยจัดการให้ ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางเข้าออกเขตชายแดนบ่อยๆ
“เอ๊ะ” หัวหน้าโจรป่าผู้นั้นมองอู๋ซินอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง “คุณชาย…คุณชายผู้นี้มีวิทยายุทธขั้นสูงย่อมไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่แม่นางผู้นี้…”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “ขอบใจในความเป็นห่วงของเจ้า แต่ข้าไม่เป็นไรหรอก”
หัวหน้าโจรป่าผู้นั้นยิ้มกว้าง ครั้นเห็นสาวน้อยใบหน้างดงามตรงหน้าฉีกยิ้มให้ตน เขาก็อดตะลึงงันไม่ได้
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เลิกเป็นโจรป่า เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเถิด หากเจ้าเผชิญกับยอดฝีมืออะไรทำนองนั้นอีก ครึ่งชีวิตนี้ของเจ้าคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว” เมื่อพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไปพร้อมอู๋ซินโดยไม่ได้สนใจโจรป่าที่กำลังนิ่งตะลึงค้างผู้นี้อีก
หัวหน้าโจรป่าผู้นั้นทอดมองเงาแผ่นหลังที่เดินไปไกลอย่างชะงักงัน จากนั้นก็มองเหล่าสหายที่นอนตายอยู่อีกฝั่ง จากนั้นความเสียใจก็ไหลพรั่งพรูออกมาจนร้องไห้ยกใหญ่
เขาอยากเป็นโจรป่านักหรือไร แต่สถานที่บ้าๆ แห่งนี้กลับไม่มีอะไรสักอย่าง แม้แต่ดินยังเพาะปลูกอะไรไม่ได้เลย กระทั่งตั้งแต่เป็นโจรป่ามาตลอดหนึ่งปีกลับทำมาหากินได้แค่สามถึงห้าครั้ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอเหยื่อถึงสองกลุ่ม อีกทั้งฝีมืออำมหิตกันทั้งคู่ด้วย สาวงามพูดไม่ผิดเลยจริงๆ ว่าการเป็นโจรป่าช่างไม่มีอนาคตเอาเสียเลย
จากมุมที่ไกลออกไป ครั้นได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของโจรป่าผู้นั้น มู่ชิงอีก็ระบายยิ้มออกมา นิสัยของหัวหน้าโจรป่าผู้นั้นช่างน่าสนใจดีจริงๆ
เมื่อได้เข้ามาในตำบล ตำบลแห่งนี้มีขนาดเล็กมากตามที่คาดเอาไว้ ซ้ายขวามีถนนเพียงสองสายและมีประชากรอาศัยอยู่แค่ร้อยกว่าครัวเรือน ประชาชนในตำบลแห่งนี้ล้วนสวมชุดผ้าป่าน นอกจากนี้เสื้อผ้ายังขาดวิ่น ใบหน้าสีเหลืองและซูบตอบ
พอเห็นแววตาปนฉงนใจของมู่ชิงอี อู๋ซินก็เอ่ยเสียงเบา “ที่ดินของเขตชายแดนเพาะปลูกไม่ดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่แห่งนี้ใช่ว่าจะได้รับผลกระทบมาจากเรื่องสงคราม ทว่าเป็นเพราะภูมิศาสตร์” เพราะภูมิศาสตร์ตรงนี้เป็นที่หุบเขาสูงระดับไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะเรื่องสงครามหรือการค้าจึงไม่ค่อยผ่านเส้นทางนี้นัก ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ป่าเขา ฉะนั้นที่ดินไว้ใช้ในการเพาะปลูกจึงน้อย ทรัพยากรน้ำก็น้อย ดังนั้นชาวบ้านที่นี่พอกินให้อิ่มท้องได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ปริมาณน้ำฝนจากตะวันออกมาตะวันตกและทิศใต้มาทิศเหนือค่อยๆ ลดน้อยลง อีกทั้งละแวกตำบลแห่งนี้ ด้วยภูมิศาสตร์แล้วจึงไม่มีแม่น้ำสักสาย แม้แต่แม่น้ำเล็กๆ ยังไม่มี ทว่ามีเพียงสายธารเล็กมากๆ สายหนึ่ง ทุกๆ ครั้งที่เข้าช่วงฤดูร้อนก็จะแห้งเหือด สถานที่แบบนี้ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย ไม่รู้ว่าเหตุใดชาวบ้านพวกนี้ถึงปักหลักอยู่แต่ที่นี่ไม่ไปไหน
“ในตำบลเล็กๆ นี้มีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง พวกเราไปกันเถิดขอรับ” อู๋ซินเอ่ยเสียงเบา
มู่ชิงอีพยักหน้า นางไม่คุ้นชินสถานที่แห่งนี้นักจึงย่อมฟังอู๋ซินอยู่แล้ว
ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมที่เล็กมากจริงๆ บนประตูเก่าทรุดโทรมมีตัวอักษรเขียนหวัดๆ ว่าโรงเตี๊ยม ด้านในก็ไม่ได้มีห้องโถงใหญ่สว่างไสวอย่างที่โรงเตี๊ยมทั่วไปเขาเป็นกัน ด้านในมีเพียงโต๊ะวางไว้สองสามตัว แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่พอรับได้ก็คือที่นี่ถือว่าสะอาดพอตัว
“เอ๊ะ เหตุใดวันนี้แขกถึงมามากนักเล่า” ด้านในโต๊ะต้อนรับ สาววัยกลางคนในชุดสีบานเย็นคนหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับพลางเอ่ยอย่างตกใจ
มู่ชิงอีกลับไม่ได้แปลกใจนัก เพราะในตำบลแห่งนี้มีโรงเตี๊ยมแค่แห่งเดียว หากบุรุษชุดขาวผู้นั้นยังไม่รีบข้ามภูเขาใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเบื้องหน้าเพื่อเดินทางกลับแคว้นเย่ว์ เขาก็ต้องพักที่นี่เช่นกัน
เถ้าแก่เนี้ยกวาดตาลอบมองมู่ชิงอีอยู่หลายที ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คิดไม่ถึงว่าสถานที่กันดารห่างไกลแบบนี้จะได้เห็นสาวงามเช่นนี้ด้วย”
มู่ชิงอียิ้มแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เถ้าแก่เนี้ยก็ชมเกินไป ไม่ทราบว่ายังเหลือห้องพักอีกหรือไม่เล่า”
เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจ “มีก็มีอยู่หรอก เพียงแต่เหลือแค่ห้องเดียวแล้ว พวกท่านทั้งสอง…”
อู๋ซินเอ่ยเสียงขรึม “ไม่เป็นไร พักแค่คืนเดียว ข้าคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกก็ได้แล้ว”
เถ้าแก่เนี้ยเองก็ไม่ได้นึกแปลกใจอะไร นางโบกมือพลางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกท่านทั้งสองก็ตามข้ามาเถิด”
ห้องพักตั้งอยู่ด้านหลังของโรงเตี๊ยม ลักษณะคล้ายเรือนสี่ประสานขนาดเล็กๆ ที่จัดสรรห้องออกเป็นสามสี่ห้อง เถ้าแก่เนี้ยเดินนำพวกเขาเข้ามา ประจวบกับบุรุษชุดขาวใบหน้าเย็นชาผู้นั้นเดินออกมาจากห้องฝั่งตรงข้ามพอดี เขาไม่แม้แต่เหลือบตามองด้วยซ้ำก็เดินออกไปเลย
เถ้าแก่เนี้ยปิดปากอมยิ้มพลางมองมู่ชิงอี “แม่นางก็คิดว่าคุณชายผู้นั้นหล่อเหลามากเหมือนกันใช่ไหมเล่า ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยเจอบุรุษคนใดหล่อเหลาขนาดนี้มาก่อน แน่นอนว่า…หนุ่มข้างกายแม่นางท่านนี้ก็ไม่แพ้กันเลย”