อู๋ซินและมู่ชิงอีต่างเงียบกริบไม่พูดอะไร หากว่ากันตามจริงรูปโฉมของคุณชายใบหน้าเย็นชาผู้นั้นไม่ใช่หนุ่มหล่อเหลาที่สุดที่พวกเขาเคยเจอมา ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นกู้ซิ่วถิงหรือหรงจิ่นต่างก็หล่อกว่าเขาอยู่มาก กระทั่งมู่หรงซีหรือเว่ยอู๋จี้ต่างก็หน้าตาสูสีพอๆ กับเขา เพียงแต่บุคลิกเย็นชาราวกับน้ำแข็งเช่นนี้กลับเห็นได้น้อยนัก
แต่เดี๋ยวก่อนคุณชายมั่ว…มู่ชิงอีแววตาเป็นประกาย สุดท้ายภายในใจกลับพอจะคาดเดาตัวตนของคุณชายชุดขาวผู้นั้นได้รางๆ ใช่เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ มั่วเวิ่นฉิงหรือไม่นะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอเขาในสถานที่แบบนี้ นับว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว!
ครั้นนึกถึงพี่ใหญ่และพี่ชายที่ในเวลานี้ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด ฉับพลันแววตาสุกใสงดงามของมู่ชิงอีก็มีไอเย็นพาดผ่าน
หากจะบอกว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยม ความจริงก็เป็นแค่หลังบ้านของตัวเองที่จัดสรรห้องว่างเอาไว้เตรียมรับแขกก็เท่านั้น เดือนๆ หนึ่งก็ใช่ว่าจะมีแขกมาเข้าพักอะไรมากมาย ดังนั้นต่อให้จะเป็นโรงเตี๊ยมแห่งเดียวของทั่วทั้งตำบล แต่การค้ากลับอยู่ในระดับปานกลาง นอกจากมู่ชิงอีและอู๋ซินแล้ว เวลานี้ในโรงเตี๊ยมก็มีเพียงมั่วเวิ่นฉิงและบุรุษวัยกลางคนอีกคนหนึ่งซึ่งมาถึงก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ถึงแม้จะเห็นจากมุมไกลๆ แวบหนึ่ง แต่นางดูออกว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่พ่อค้าธรรมดาอย่างแน่นอน
“ปกติพ่อค้าที่ทำการค้าถูกกฎหมายจะไม่เดินทางเส้นนี้หรอก” ครั้นมองความคิดของมู่ชิงอีออก อู๋ซินก็เอ่ยตอบเสียงนิ่ง
บัดนี้ทั้งสองแคว้นสงบสุข ถึงแม้แถบเขตชายแดนจะไม่ได้เข้มงวดเรื่องการเข้าออก แต่ก็ใช่ว่าใครอยากเข้าก็เข้าได้ ใครอยากออกก็ออกได้เสียเมื่อไร อีกทั้งตรงทางเข้าออกตรงชายแดนยังต้องใช้หนังสือผ่านด่านเพื่อยืนยันตัวตน คนเฉกเช่นอย่างพวกเขาซึ่งไม่สะดวกเปิดเผยสถานะ รวมถึงคนที่อยากจัดการเรื่องบางเรื่องอย่างลับๆ ไม่ให้ใครรู้ย่อมต้องหาทางออกอื่น พรมแดนระหว่างแคว้นเย่ว์และแคว้นหวามีภูเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านกั้นขวางไว้ ถึงแม้ในหลายๆ ที่จะมีกองทหารทางการเฝ้าประจำการ แต่หากไม่คุ้นชินกับเส้นทางก็ใช่ว่าเข้าไปแล้วจะออกมาได้
อีกทั้งตำบลแห่งนี้เป็นเส้นทางลับเล็กๆ ที่แคว้นเย่ว์ใช้ทะลุผ่านมายังแคว้นหวา ส่วนมากบุคคลที่จะใช้เส้นทางนี้ได้ล้วนเป็นบุคคลที่มีภูมิหลังอยู่ในยุทธภพ
“อย่างนี้นี่เอง” มู่ชิงอีพยักหน้า การได้เจอะเจอกับมั่วเวิ่นฉิงนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ตอนนี้นางมีแค่อู๋ซินอยู่ข้างกาย ส่วนตัวนางเองก็เป็นแค่ไก่อ่อนที่ไร้ความสามารถ ทว่ามั่วเวิ่นฉิงกลับขึ้นชื่อเรื่องการใช้พิษจนเป็นที่เลื่องลือสร้างความน่าเกรงขามในหมู่คนยุทธภพจนน่าทึ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้ เวลานี้มู่ชิงอีจึงไม่อยากหาเรื่องใครที่นี่ “พักที่นี่หนึ่งคืนแล้วพรุ่งนี้เรารีบออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่กันเถิด”
อู๋ซินพยักหน้าเห็นด้วยพลางยิ้มกล่าว “อีกแค่สองวัน พวกเราก็จะถึงเขตแดนของแคว้นเย่ว์ ถึงตอนนั้นหากมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงก็อีกไม่นานแล้ว” พอข้ามหมู่เขาตรงชายแดนแล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเพื่อเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ก็ถือว่าเข้าเขตที่ราบเดินทางได้สะดวกสักที หากพวกเขาขี่ม้าไม่ช้าไม่เร็วใช้เวลาราวๆ สิบวันก็คงถึง
ตกกลางดึก มู่ชิงอีนั่งภายใต้แสงไฟพลางพลิกเปิดอ่านบันทึกที่พกติดตัวมาด้วย จากนั้นก็เงยหน้ามองเปลวไฟที่แน่นิ่งไม่ขยับ นางขมวดคิ้วแวบหนึ่งพลันไม่รู้ว่าทำไมนางถึงรู้สึกว่าคืนนี้คงไม่ได้ผ่านไปอย่างสงบแน่นอน
“อู๋ซิน”
ชั่วพริบตาเดียว อู๋ซินก็ผลักประตูเข้ามาจากด้านนอกแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “คุณหนูขอรับ” มู่ชิงอีเอ่ย “ไม่ต้องยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกแล้ว หาที่นั่งเถิด”
“คุณหนู นี่…” เขาเป็นผู้ชายไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่จะสร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของคุณหนูมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่อยากถูกองค์ชายเก้าโกรธแค้นริษยาหรอกนะ
มู่ชิงอีส่ายหน้ากล่าว “ข้าสังหรณ์ใจว่าคืนนี้จะเกิดเรื่องขึ้น”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นอู๋ซินก็พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เขาหยิบเก้าอี้ขึ้นมาวางไว้หน้าประตูแล้วนั่งลงตรงนั้น ถึงแม้คุณหนูจะไม่มีวิทยายุทธติดตัวแต่สติปัญญาและการวางอุบายต่างๆ ในหลายวันมานี้กลับอยู่ในสายตาของอู๋ซินมาตลอด ในใจเขาจึงยกย่องเลื่อมใสในตัวนางมานานแล้ว
เพราะเหตุนี้พวกเขาสองคนภายในห้อง คนหนึ่งก็นั่งอ่านหนังสือภายใต้แสงไฟไป ส่วนอีกคนก็นั่งฝึกกำลังภายในตรงหน้าประตูอย่างเงียบๆ
“มีคนมาแล้ว” ตามที่คาดเอาไว้ เพิ่งผ่านเวลาเที่ยงคืนมาได้ไม่นาน จู่ๆ อู๋ซินก็เปิดตาแล้วยกมือขึ้นปัดเพื่อดับแสงไฟตรงหน้ามู่ชิงอี
ท่ามกลางความมืดมิด มู่ชิงอีวางหนังสือลงพลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้นางจะหูตาว่องไว แต่การได้ยินก็สู้ยอดฝีมือที่มีกำลังภายในไม่ได้อยู่ดี ค่ำคืนอันเงียบสงัด นอกจากเสียงจักจั่นที่ร้องไม่ได้ศัพท์ด้านนอก นางก็พอสัมผัสได้ถึงสถานการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้น
ไม่นานลานด้านนอกก็มีเสียงเบาดังแว่วมา เห็นได้ชัดว่ามีคนบุกเข้ามาด้านในแล้ว
“เจ้าสำนักมั่ว ในเมื่อพวกเรามาแล้ว เจ้าสำนักมั่วก็อย่าหลบซ่อนตัวอีกต่อไปเลย โปรดมอบหญ้าเซียนเก้าเมฆามาให้พวกเราเสียดีๆ พวกเราเองก็ไม่ได้อยากสร้างความลำบากใจให้เจ้าสำนักหรอก” เสียงแหบพร่าเสียดหูดังขึ้น ยามที่ได้ยินช่างชวนให้รู้สึกแย่จับใจ
มั่วเวิ่นฉิงไม่ได้โต้กลับอะไร ผ่านไปพักหนึ่งคนๆ นั้นถึงเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “เจ้าสำนักมั่ว บัดนี้เรื่องที่หญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่กับท่านดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งใต้หล้า ถึงแม้อิทธิพลของเย่าหวังกู่จะยิ่งใหญ่ แต่เกรงว่าก็คงรักษาสมบัติเช่นนี้ไว้ไม่ได้หรอกกระมัง สู้ท่านส่งมอบมาดีกว่า เราจะได้ถือโอกาสนี้ผูกมิตรซึ่งกันและกันไปด้วยเลย ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเย่าหวังกู่อยู่แล้ว ในเมื่อ…จะมีใครที่ไม่ต้องเผชิญกับภยันอันตรายจนต้องการให้หมอมารักษากันบ้างเล่า ขอแค่ท่านเจ้าสำนักส่งมอบของมาดีๆ ข้ารับรองว่าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าสำนักแน่นอน”
“น่ารำคาญ!” ผ่านไปนาน ในที่สุดภายในห้องก็มีเสียงของมั่วเวิ่นฉิงดังแว่วมา นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงอีได้ยินเขาเปิดปากพูด ช่างแข็งกร้าวเหมือนความเย็นชาในตัวเขาจริงๆ ไม่มีความอ่อนโยนแฝงอยู่เลยสักนิด ไม่รู้ว่าคนแบบนี้มีพื้นเพเช่นไรถึงยอมช่วยคนอย่างมู่หรงอวี้ได้
ครั้งนี้ในลานเงียบไปอยู่นาน คนๆ นั้นถึงเปิดปากยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าโทษว่าข้าล่วงเกินแล้วกัน!” พูดจบ ฉับพลันด้านนอกก็ปรากฏเพลิงไฟสว่างไสวทำให้ภายในห้องที่แสนมืดมิดสว่างวาบขึ้นมาทันที มู่ชิงอีอยู่ด้านในก็ยังมองเห็นเงาคนรางๆ จำนวนไม่น้อยสะท้อนบนบานหน้าต่าง
“พวกเจ้าต้องการเช่นใดกันแน่” ตรงประตูห้อง มั่วเวิ่นฉิงผุดเสียงเบาขึ้น เห็นได้ชัดว่ามั่วเวิ่นฉิงเดินออกมาจากในห้องแล้ว
หัวหน้าคนนั้นยิ้มเยาะเอ่ย “จุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่เจ้าสำนักมั่วก็รู้ดี เจ้าสำนักมั่วโปรดมอบเจ้าสิ่งนั้นมาเถิด”
“ถ้าข้าให้ แล้วพวกเจ้าจะกล้าเอาไปหรือไม่เล่า” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยถามเสียงเรียบ
หัวหน้าผู้นั้นอดสะท้านเฮือกไม่ได้ เพราะคำถามของมั่วเวิ่นฉิงกล่าวไม่ผิดเลย สิ่งที่เจ้าสำนักเย่าหวังกู่หยิบยื่น คงมีคนธรรมดาใต้หล้าไม่กี่คนที่จะใจกล้าบ้าบิ่นยื่นมือเข้าไปหยิบ ยิ่งไปกว่านั้นคงมีไม่กี่คนที่จะกล้าเข้าไปค้นตัวมั่วเวิ่นฉิงด้วย ดังนั้นกระทั่งความคิดที่ว่าจัดการฆ่ามั่วเวิ่นฉิงก่อนแล้วค่อยเข้าไปหาหญ้าเซียนเก้าเมฆาจึงไม่มีทางสำเร็จ
“อีกอย่างถ้าเอาไปแล้ว พวกเจ้าคิดจะทานมันสดๆ อย่างนั้นหรือ” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยถาม
ฉับพลัน บรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง หญ้าเซียนเก้าเมฆาเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากมาก เล่าลือกันว่าสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้ในเวลาสั้นๆ เพียงชั่วข้ามคืน รวมถึงช่วยทำให้อายุยืนยาวไม่แก่ไม่ตาย แต่ปัญหาก็คือ…ในใต้หล้านี้ไม่มีใครเคยเห็นหญ้าเซียนเก้าเมฆาสักคน ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นใช้งานเช่นไร ใครจะรู้ว่ากลืนเข้าไปโต้งๆ เลยจะได้ผลไหม หรือว่าจะระเบิดจนตัวตายกันแน่
หัวหน้าคนนั้นหัวเราะเสียงเย็นชากล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เกรงว่าคงต้องขอเชิญเจ้าสำนักมั่วไปกับเราด้วยแล้ว”
“แล้วก็สองคนในห้องนั้น ก็ออกมาด้วยเถิด!”
มู่ชิงอีและอู๋ซินสบตากันท่ามกลางความมืด มู่ชิงอีค่อยๆ ลุกขึ้น
จากนั้นก็ค่อยๆ ผลักประตูเปิดออกไป แสงไฟเจิดจ้าภายในโถงทำให้อดหรี่ตาลงไม่ได้ เวลานี้ถึงมองเห็นอย่างชัดเจน ในห้องโถงมีบุรุษสวมชุดดำสิบกว่าคนกำลังยืนพร้อมอาวุธรบในมือ บุรุษวัยกลางคนที่พวกเขาเคยเห็นว่าร่วมพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกันก่อนหน้านี้ก็คือหนึ่งในนั้น ดูทรงเขาคงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามั่วเวิ่นฉิงจะใช้เส้นทางนี้เดินทางเลยชิงมาดักรอที่นี่ก่อน