หรงจิ่นเงียบไปนานราวกับกำลังไตร่ตรองความจริงในคำพูดของเว่ยอู๋จี้ สักพักถึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพราะจุดประสงค์ใด แต่…อย่ามาขวางเรื่องของข้า”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเฝื่อนอย่างเอือมระอา “ข้าแค่หวังว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นจะไม่มาหาเรื่องวุ่นวายกับข้าก็พอแล้ว” หากเรื่องวิทยายุทธ เขาไม่กลัวคุณชายอวิ๋นอิ่นเลย แต่ปัญหาคืออวิ๋นอิ่นไม่มีเรื่องใดที่ต้องเป็นห่วง แต่เขากลับมีกิจการใหญ่โตและหันเสวี่ยโหลวที่ต้องคอยเป็นกังวล นับตั้งแต่อวิ๋นอิ่นจงใจตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาเมื่อสองปีก่อน เว่ยอู๋จี้ก็รู้สึกว่าตนต้องปวดเศียรเวียนเกล้าทุกวี่วัน แบบนี้สู้ตัดสินความเป็นความตายให้จบๆ ไปเลยเสียยังดีกว่า
หรงจิ่นแค่นเสียงใส่แล้วหมุนตัวเดินจากไป
“อู๋จี้…” ทันทีที่หรงจิ่นเดินจากไป เชียนหลิงก็กรีดร้องอย่างตกใจพร้อมโผเข้าหาอ้อมอกของเว่ยอู๋จี้พร้อมร่างบางของนางที่ยังสั่นเทาเล็กน้อย “อู๋จี้ เขา…”
อู๋จี้ลูบแผ่นหลังนางอย่างเบามือ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะ เขาไปแล้ว”
เชียนหลิงพยักหน้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า “เหตุใดเขาถึงมาหาเจ้าอีกหรือ” ความจริงเชียนหลิงอยากถามว่าเหตุใดเขาถึงมักมาหาเรื่องเจ้าอยู่บ่อยๆ ต่างหาก
เว่ยอู๋จี้ยกมือขึ้นลูบจมูกปอยๆ อย่างเหนื่อยหน่ายใจเอ่ย “น่าจะเพราะเห็นข้าขัดหูขัดตากระมัง ไม่ต้องกลัว พวกเราใกล้กลับแคว้นเย่ว์กันแล้ว”
“อืม” เชียนหลิงพยักหน้าอย่างกลัดกลุ้ม แล้วเอาหน้ามุดลงกลางอกของเว่ยอู๋จี้
เว่ยอู๋จี้เงยหน้ามองแสงจันทร์บนท้องฟ้า บนใบหน้าหล่อเหลาแฝงรอยยิ้มราวกำลังขบคิดอะไรอยู่
หลังจากออกจากจวนตระกูลเว่ยมา หรงจิ่นก็ยกมือขึ้นถอดหน้ากากบนหน้าออก ใบหน้างดงามเหนือใครเผยความชั่วร้ายเย็นชาให้เห็นภายใต้แสงจันทร์ หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “พี่สี่ หรือ มือของท่านจะเอื้อมยาวเกินไปแล้ว? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าโทษว่าน้องเก้าหาเรื่องเดือดร้อนให้ก็แล้วกัน”
“อู๋ฉิง”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย” อู๋ฉิงปรากฏตัวขึ้นด้านหลังอย่างไร้สุ่มเสียง หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “ไปบอกเซ่าจิ่นและจ้าวจื่ออวี้ ไม่สิ…บอกมู่หรงเสียและมู่หรงจ้าวด้วยว่ามู่หรงอวี้อยู่ที่จวนราชทูตแคว้นเย่ว์”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย” อู๋ฉิงไม่นึกสงสัยเลยสักนิด จากนั้นก็หมุนตัวหายไปจากท้องถนน
ในห้องส่วนลึกที่สุดของจวนราชทูตแคว้นเย่ว์ห้องหนึ่ง สีหน้าของมู่หรงอวี้ยังคงซีดขาว แต่สติสัมปชัญญะกลับยังดีอยู่ ครั้นได้ฟังข่าวสารที่หรงเหยี่ยนนำกลับมาก็สีหน้าย่ำแย่ลงในทันที “เนี่ยอวิ๋นและจ้าวจื่ออวี้พาคนไปเอง แต่คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยมู่หรงซีกับกู้ซิ่วถิงหนีไปได้ สองคนนั้นทำบ้าอะไรกัน!”
สมควรที่มู่หรงอวี้จะโมโห ไม่ง่ายเลยกว่าจะคว้าโอกาสจัดการฆ่าได้หลายคนในคราวเดียว อีกทั้งยังปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น วันหน้าหากคิดจะแก้แค้นกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีคงไม่ง่ายแล้ว
หรงเหยี่ยนขมวดคิ้วกล่าว “เนี่ยอวิ๋นจงใจปล่อยพวกเขาไป เจ้าเองก็ไม่ได้บอกว่าเนี่ยอวิ๋นผูกมิตรกับจังชิงและมู่หรงซี”
เพราะเดิมทีพวกเขาไม่ได้คบค้าสมาคมอะไรด้วย! มู่หรงอวี้รู้สึกแค่ว่าอยากกระอักเลือดตายไปเสีย ตัวตนของจังชิงผู้นั้นดูแปลกพิกลเพราะอยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวงซึ่งยังว่าไปอย่าง แต่มู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงยิ่งแล้วใหญ่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยผูกมิตรอะไรกับเนี่ยอวิ๋นเลย
“ตอนนี้เจ้าสำนักมั่วยังพอมีวิธีหาตัวพวกเขาหรือไม่” มู่หรงอวี้หันไปถามมั่วเวิ่นฉิงพลางขมวดคิ้วถาม
มั่วเวิ่นฉิงเงยหน้าขึ้นแล้วมองมู่หรงอวี้ด้วยสายตาราบเรียบแวบหนึ่งเอ่ย “ขอแค่มีผีเสื้อหลงทาง ไม่ว่ามู่หรงซีจะไปที่ใดย่อมหาเขาเจอ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตวนอ๋อง…” มู่หรงอวี้มองไปทางหรงเหยี่ยน หรงเหยี่ยนกล่าวพลางขมวดคิ้ว “ถึงแม้ข้าจะเห็นด้วยกับวิธีถอนรากถอนโคนเช่นนี้ แต่…หากพูดกันตามตรงมู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดกับข้าและแคว้นเย่ว์เลย” หากจะให้เขาส่งคนไปไล่ล่าตามฆ่าก็ต้องมีเบี้ยต่อรองที่ทำให้เขาพึงพอใจเสียก่อน ในเมื่อบุ่มบ่ามส่งคนไปตามไล่ฆ่าคน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องทรัพยากรคนกับหวัดเบี้ยหรอก เพราะเขาก็ต้องสร้างปมแค้นกับคนพวกนั้นด้วย
มู่หรงอวี้สีหน้าขรึมลงกัดฟัน ก่อนจะล้วงหยิบม้วนกระดาษฉบับหนึ่งจากใต้เสื้อโยนใส่คนในห้อง หรงเหยี่ยนรับมาแล้วเปิดอ่าน จากนั้นก็แสดงท่าทีเหมือนพึงพอใจมากแล้วพยักหน้าพลางยัดเก็บม้วนกระดาษเข้าใต้เสื้อตนอย่างระมัดระวัง
มั่วเวิ่นฉิงมองการกระทำระหว่างพวกเขาสองคนแน่นิ่งแต่ไม่พูดอะไรราวกับไม่สนใจเรื่องพวกนี้อย่างสิ้นเชิง หลังจากพวกเขาพูดจบ มั่วเวิ่นฉิงถึงเอ่ยเสียงเข้มกับมู่หรงอวี้ว่า “หากเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าต้องตามข้ากลับเย่าหวังกู่”
มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วเพราะไม่สบอารมณ์กับน้ำเสียงออกคำสั่งของเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าขอบคุณในบุญคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ แต่…อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว เหตุใดต้องไปเย่าหวังกู่ด้วย”
มั่วเวิ่นฉิงลุกขึ้นเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าบอกเจ้า ไม่ได้ปรึกษาหารือกับเจ้า” พอพูดจบ เขาก็ไม่รอดูปฏิกิริยาใดๆ ของมู่หรงอวี้แล้วชิงเดินออกจากห้องไปก่อนเลย
“เจ้า!” บนโลกใบนี้มีน้อยคนนักที่จะใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวเด็ดขาดเช่นนี้สนทนากับเขา มู่หรงอวี้เดือดดาลขึ้นมาชั่วขณะ ทว่ากลับเห็นเพียงเงาแผ่นหลังของมั่วเวิ่นฉิงเท่านั้น
ครั้นหรงเหยี่ยนเห็นท่าทางโกรธของมู่หรงอวี้ เขาก็ขบคิดบางอย่างแล้วเลิกคิ้วเอ่ย “เจ้าสำนักเย่าหวังกู่มีฝีมือการรักษาดั่งเทพเซียน ยิ่งเรื่องพิษ…ยิ่งเหนือใครในใต้หล้า กงอ๋อง…”
มู่หรงอวี้เอ่ยอย่างหงุดหงิดใจ “เย่าหวังกู่แล้วอย่างไร ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไรว่าจะไปเย่าหวังกู่อะไรนั่น”
หรงเหยี่ยนฉีกยิ้มพลางถอนหายใจ “เย่าหวังกู่เป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์ที่คนมากมายในใต้หล้าปรารถนาอยากเข้าไป บัดนี้เจ้าสำนักเป็นฝ่ายเชื้อเชิญเอง นับว่าเป็นบุญวาสนาของกงอ๋อง” เพียงแต่ไม่รู้ว่ามู่หรงอวี้กับสำนักเย่าหวังกู่มีความสัมพันธ์ใดกัน เพราะถึงขั้นทำให้คนเย็นชาหน้านิ่งอย่างมั่วเวิ่นฉิงยอมถ่อมาไกลเป็นพันๆ ลี้เพื่อมาช่วยชีวิตเขาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังจะพาเขากลับเย่าหวังกู่ไปพร้อมกันด้วย
มู่หรงอวี้ไม่ได้เรียนตำราหมอย่อมไม่มีความสนใจใดๆ กับเย่าหวังกู่อยู่แล้ว เขาต้องการแค่อำนาจค้ำฟ้าปกครองทั่วทั้งใต้หล้านี้ได้ในเร็ววัน แต่ไม่ใช่หมอจิตใจเมตตาที่คอยช่วยชีวิตคน
“องค์ชาย! องค์ชาย! เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่หรงเหยี่ยนคิดจะหยั่งเชิงถามความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเย่าหวังกู่ ฉับพลันองครักษ์นอกประตูก็พุ่งเข้ามาหา
หรงเหยี่ยนมุ่นคิ้วเอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ถึงได้กระวนกระวายใจขนาดนี้”
องครักษ์กล่าวรายงานพร้อมเสียงหายใจหอบถี่ “ใต้เท้าเซ่าอิงเทียนฝู่อิ่นพาคนมา บอกสงสัยว่า…จะมีกบฏซ่อนตัวอยู่ในจวนราชทูตแคว้นเย่ว์”
หรงเหยี่ยนยิ้มเยาะกล่าว “ข้าหลวงตัวเล็กอย่างอิงเทียนฝู่อิ่นคนหนึ่งมีสิทธิ์มาตรวจค้นจวนราชทูตแคว้นเย่ว์ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
องครักษ์เอ่ย “แต่คนที่มากับใต้เท้าเซ่ายังมีทั้งอานซีจวิ้นอ๋องจ้าวจื่ออวี้ จื้ออ๋อง องค์ชายเจ็ดและแม่ทัพใหญ่ปกป้องแคว้นเว่ยหลีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหรงเหยี่ยนก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที เซ่าจิ่นจะนับประสาอะไรด้วยได้ แต่พวกที่ตามมาด้วยกลับยศใหญ่กันทั้งนั้น จากนั้นก็ได้ยินองครักษ์กล่าวรายงานต่อ “อีกอย่างใต้เท้าเซ่าบอกว่าได้ส่งคนเข้าวังไปขอพระราชโองการมาแล้วด้วย เกรงว่าอีกไม่นาน…พระราชโองการของฮ่องเต้แคว้นหวาคงมาถึง”
หรงเหยี่ยนกัดฟันพร้อมใบหน้าเรียบตึง เหตุที่เอาตัวมู่หรงอวี้มาซ่อนตัวในจวนราชทูตแคว้นเย่ว์เพราะที่นี่คงไม่ถูกใครตรวจค้นง่ายๆ แต่หากเซ่าจิ่นมีหลักฐานจริงๆ กระทั่งขอพระราชโองการของฮ่องเต้แคว้นหวามาได้ล่ะก็…
“ตอนนี้ยังออกไปได้หรือไม่” หรงเหยี่ยนเอ่ยถาม องครักษ์ส่ายศีรษะอย่างลำบากใจ “ทหารทางการของอิงเทียนฝู่และกองทหารที่จ้าวจื่ออวี้และเว่ยหลีพามาด้วยล้อมรอบจวนราชทูตแคว้นเย่ว์ไว้หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“บัดซบ! อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวออกไป!” หรงเหยี่ยนก่นด่าเสียงทุ้มต่ำ กัดฟันเอ่ย “ไปเชิญตัวเจ้าสำนักมั่วมา!”
“พ่ะย่ะค่ะ”