หรงเหยี่ยนมองเขาด้วยท่าทีระแวง “น้องเก้าหมายความว่าอย่างไร”
ไม่นานหรงจิ่นก็ปล่อยนางไป จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งขึ้นมาเช็ดมือแล้วโยนทิ้งให้อู๋ฉิงที่อยู่ด้านหลังกล่าว “ข้าก็แค่รู้สึกว่า…ด้วยบุคลิกของคุณชายมั่วแล้ว ข้างกายมีสาวรับใช้คนหนึ่งเช่นนี้ออกจะดูขัดตาไปเสียหน่อย”
ถึงแม้มั่วเวิ่นฉิงจะสีหน้าเฉยชาเรียบนิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นบุรุษที่สง่าผ่าเผย บุคลิกไม่ธรรมดา แต่หญิงสาวชุดขาวกลับไม่มีความอรชรอ้อนแอ้นอย่างที่ผู้หญิงพึงมีเลย แม้แต่ใบหน้ายังดูห้าวหาญ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นอัปลักษณ์แต่มักชวนให้เขาเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายตา
มั่วเวิ่นฉิงเองก็ไม่ได้โมโหอะไร เพียงแค่เงยหน้าเอ่ย “ขอบคุณองค์ชายเก้าที่ช่วยเตือน ข้าเก็บได้ระหว่างทาง ก็แค่เลี่ยงไม่ให้ดูน่าเกลียดก็เท่านั้น”
หรงจิ่นชะงักไป จากนั้นก็โบกมือยิ้มร่าแล้วหมุนตัวเดินออกประตูไป
กระทั่งเขาเดินไปไกลแล้ว ทว่าภายในห้องกลับยังคงได้ยินเสียงหัวเราะที่แสนเย่อหยิ่งขององค์ชายเก้าจากมุมไกล
พวกเขาสามคนที่อยู่ภายในห้องยังคงใบหน้าสงบเช่นเดิม หญิงสาวชุดขาวผู้นั้นมองหน้าหรงเหยี่ยน ทว่ามั่วเวิ่นฉิงกลับเผยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
เพียงแต่กวาดตามองหญิงสาวผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่งเอ่ย “ยังไม่ไปเปลี่ยนอีก”
หญิงสาวผู้นั้นถลึงตาจ้องมั่วเวิ่นฉิงแวบหนึ่งแล้วถึงหมุนตัวเดินเข้าห้องไป ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นชุดหนุ่มอกสามศอกเดินกลับออกมา พลันจับจ้องมั่วเวิ่นฉิงตรงหน้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น
“นี่…” แม้แต่หรงเหยี่ยนยังอดอุทานอย่างตกใจไม่ได้ “เมื่อครู่คือ…สหายมู่หรงหรือ” ถึงจะรู้ว่ามั่วเวิ่นฉิงมีหนทาง แต่ความจริงหรงเหยี่ยนกลับไม่รู้เลยว่ามั่วเวิ่นฉิงเอาเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน ทั้งๆ ที่ตอนเข้าไปกลับเป็นแค่หญิงสาวที่มีความสูงประมาณไหล่เขาเท่านั้น เหตุใดพอออกมาถึงกลายเป็นบุรุษที่มีความสูงพอๆ กับเขาได้เล่า
“คือว่า…สหายมู่หรงเคยฝึกวิชาหดกระดูกที่เขาเล่าลือกันในยุทธภพด้วยหรือ” หรงเหยี่ยนเอ่ยอย่างใคร่รู้
มู่หรงอวี้ทำหน้าบูดบึ้งโดยไม่ปริปากพูดอะไร มั่วเวิ่นฉิงลุกขึ้นแล้วเอ่ย “รีบพักผ่อน พรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ต้องเดินทางกลับเย่าหวังกู่แล้ว”
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่คิดจะไปเย่าหวังกู่!” มู่หรงอวี้เอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ครั้งนี้มั่วเวิ่นฉิงคร้านแม้แต่จะเปิดปากพูดอะไรแล้ว แต่แค่หันไปมองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกประตูไป
ครั้นเห็นมู่หรงอวี้โมโหจนสั่นไปทั้งร่าง หรงเหยี่ยนเลยทำได้แค่ตบบ่าของเขาพลางเอ่ยปลอบโยน เขาไม่อยากล่วงเกินหมอเทวดาอันดับหนึ่งในใต้หล้าเพียงเพราะมู่หรงอวี้หรอกนะ
หลังจากนั้นสองวันขบวนคณะทูตแคว้นเย่ว์ก็มาร่ำลาฮ่องเต้แคว้นหวาเพื่อออกจากเมืองหลวงเตรียมกลับแคว้นเย่ว์ เพราะองค์หญิงไหวหยางได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดี ครั้งนี้คนที่ไปส่งพวกเขาจึงมีเพียงฝูอ๋องพร้อมข้าหลวงระดับสามขึ้นไป หรงเหยี่ยนเอ่ยร่ำลาฝูอ๋อง โบกมือแล้วขึ้นม้าเตรียมตัวออกเดินทาง
ท่ามกลางขบวนขุนนางทูตแคว้นเย่ว์ หรงจิ่นนั่งอยู่ในรถม้าที่ทั้งกว้างขวางและสะดวกสบายคันหนึ่ง เขากำลังนั่งกึ่งนอนโดยมีหมอนอิงหนุนอยู่ด้านหลัง โต๊ะตรงหน้ามีของว่างจำพวกเมล็ดทานตะวันและผลไม้สดใหม่วางเรียงรายมากมายราวกับเป็นองค์ชายที่ออกมาเที่ยวเล่นพักผ่อนหย่อนใจก็มิปาน
ข้างกายไม่ไกลจากเขานักก็มีสาวรับใช้ในชุดสีเขียวสองคนและหญิงสาวชุดขาวอีกหนึ่งคนนั่งอยู่ด้วย สาวรับใช้ในชุดสีเขียวสองคนคอยรินชารินสุราให้องค์ชายอย่างระมัดระวังเป็นระยะๆ ทว่าหญิงสาวในชุดขาวผู้นั้นกลับเผยสีหน้าเหยเกนั่งอยู่มุมสุดบนรถม้าโดยไม่ขยับตัวเลย
“นั่นใครกัน เจ้า…ห่างจากข้าไกลๆ หน่อย” ครั้นเห็นหญิงสาวชุดขาวตรงมุมในสุด หรงจิ่นก็กลอกตาขาวใส่อย่างไม่ชอบใจนักเอ่ย “ข้าเกลียดสิ่งที่อัปลักษณ์ที่สุด เพราะมันทำลายสายตาข้า!”
หญิงสาวชุดขาวเผยสีหน้าแน่นิ่ง แต่มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อกลับกำหมัดแน่น หากใช้พละกำลังนี้บนร่างหรงจิ่นล่ะก็ เกรงว่าคงบีบคอเขาตายตรงนั้นแล้ว
สาวรับใช้สองคนคอยดูแลรับใช้ข้างกายหรงจิ่นมานานย่อมรู้นิสัยของเจ้านายและคุ้นชินดี พวกนางมองหญิงสาวชุดขาวผู้นั้นแล้วก็อดปิดปากหัวเราะเสียงเบาไม่ได้ องค์ชายเก้าขึ้นชื่อเรื่องชื่นชอบความงาม ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบใกล้ชิดผู้หญิง แต่สิ่งที่ผ่านตาต้องเป็นสาวงามเหนือใคร แม้แต่สาวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติข้างกายยังต้องหน้าตาจิ้มลิ้ม ถึงแม้แม่นางตรงหน้าจะไม่ถึงขั้นอัปลักษณ์ แต่กลับไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหน้าตาจิ้มลิ้มเลยสักนิด
ทำอย่างไรได้ในเมื่อองค์ชายสี่รั้นจะยัดนางเข้ามาในรถขององค์ชายเก้าให้ได้ มิน่าเล่าองค์ชายเก้าถึงไม่พอใจจนเอาความโกรธไประบายกับแม่นางผู้นี้
ภายในใจของหญิงสาวชุดขาว…มู่หรงอวี้ปรารถนาอยากบีบคอหรงจิ่นให้ตายตั้งนานแล้ว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลุดพ้นจากคนแซ่มั่วที่ไม่รู้ภูมิหลังผู้นั้นมาได้ ทว่าก่อนจะจากมากลับถูกเขายัดยาเม็ดใส่ปากมาเม็ดหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ร่างหดสั้นลงกลายเป็นผู้หญิงอีกครั้ง อีกทั้งยังบอกว่าหากภายในสองเดือนนี้ยังไม่ไปถอนยาที่เย่าหวังกู่ เขาก็จะกลายเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิต
ต่อมามั่วเวิ่นฉิงก็จากไปอย่างรวดเร็ว ทว่ามู่หรงอวี้กลับโชคร้ายถูกหรงเหยี่ยนจับยัดมาอยู่ในรถม้าของหรงจิ่น เพราะตลอดการเดินทางของพวกเขามีเพียงเจ้านายอย่างหรงจิ่นคนเดียวเท่านั้นที่นั่งรถม้า เขาคงมิอาจจัดรถม้าเพิ่มอีกคันให้บ่าวรับใช้ที่ไม่มีสถานะใดได้กระมัง อีกอย่างถึงแม้อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจะหายแล้วแต่ก็ต้องพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย ดังนั้นเลยขี่ม้าด้วยไม่ได้ แต่สวรรค์รู้ดีว่ามู่หรงอวี้ยอมขี่ม้าอยู่ด้านนอกดีกว่าอยู่ในเกี้ยวคันเดียวกับคนใจดำปากคอเราะรายอย่างหรงจิ่นเสียอีก
ทว่ามู่หรงอวี้ที่สบถด่าอย่างโกรธแค้นในใจกลับไม่รู้เลยว่าหรงจิ่นที่เผยสีหน้ารังเกียจเขาในเวลานี้กลับหัวเราะลั่นในใจนานแล้ว กงอ๋องผู้สูงศักดิ์ในวันวานกลับกลายเป็นสาวอัปลักษณ์หน้าตาน่าเกลียดคนหนึ่ง…หากชิงชิงเห็นฉากนี้เข้าคงดีใจแย่กระมัง
หรงจิ่นนึกเสียดายอยู่บ้างที่มิอาจเก็บใบหน้าเช่นนี้ของมู่หรงอวี้ไว้เชยชมพร้อมกับชิงชิงได้ โอ๊ย…ก็เพราะชิงชิงไม่ยอมรอไปพร้อมข้า เลยพลาดโอกาสครั้งใหญ่เข้าเลยไหมล่ะ
จากนั้นเขาก็มองมู่หรงอวี้แวบหนึ่งอย่างนึกเสียดาย เขาจะฉกฉวยโอกาสฆ่ามู่หรงอวี้ไม่ได้ มิเช่นนั้นหรงเหยี่ยนจะนึกสงสัยเอาได้ แต่รอถึงแคว้นเย่ว์แล้วหากคิดจะจัดการเก็บกวาดมู่หรงอวี้ก็มีโอกาสอยู่ถมเถไป แน่นอนว่าหากใครบางคนต้องมีชีวิตเช่นนี้ไปชั่วชีวิตล่ะก็…อยู่ต่ออีกหลายปีหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน
หรงจิ่นลูบคางพลางครุ่นคิดบางอย่าง
เหมือนสัมผัสได้ถึงความคิดชั่วร้ายของใครบางคน มู่หรงอวี้จึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบและอดตัวสั่นสะท้านเฮือกไม่ได้
*****
“คุณหนู พวกองค์ชายไปกันแล้ว” รอกระทั่งขบวนแคว้นเย่ว์หายลับตาไป เหล่าผู้คนที่มาส่งแขกก็พากันกลับ สองพี่น้องที่สวมชุดชาวบ้านธรรมดาคู่หนึ่งท่ามกลางฝูงชนที่มาดูเรื่องสนุกๆ ก็เดินมุ่งหน้าออกนอกเมืองไป
มู่ชิงอีพยักหน้าพลางยกมือขึ้นเก็บเส้นผมที่ตกลงมาปิดหน้า เอ่ยถามเสียงเรียบ “มู่หรงอวี้อยู่ในขบวนแคว้นเย่ว์ด้วยหรือ”
อู๋ซินพยักหน้ากล่าว “ขอรับ ก่อนหน้านี้มีเจ้าสำนักเย่าหวังกู่คอยช่วยเหลือ ตอนที่ใต้เท้าเซ่าพาคนเข้าไปตรวจค้นในจวนราชทูตแคว้นเย่ว์ก็ถูกเขาพาไปหลบซ่อนตัวเช่นกัน”
“มั่วเวิ่นฉิง...ผีเสื้อหลงทาง…” มู่ชิงอีมุ่นคิ้วสงสัย ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องมู่หรงอวี้แล้ว จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงขรึม “มีข่าวของพี่ใหญ่กับพี่ชายบ้างไหม”
อู๋ซินส่ายศีรษะกล่าว “ไม่มีเลยขอรับ หากคุณชายใหญ่กับองค์ชายรู้เรื่องนี้ล่ะก็ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ทุกคนเดือดร้อนคงไม่ติดต่อมาหาพวกเราแน่นอน”
“พวกพี่ใหญ่ต้องรู้แล้วแน่นอน” มิเช่นนั้นคงไม่แม้แต่จะไม่เจอหน้าแล้วเดินทางกันไปเองเช่นนั้น บนโลกนี้มีเรื่องมากมายที่อยู่เหนือความคาดหมาย เหมือนที่กู้อวิ๋นเกอและกู้ซิ่วถิงสามารถคาดเดาอนาคตได้ดั่งเทพเซียน แต่กลับคาดไม่ถึงว่าบนโลกใบนี้จะมีของชนิดหนึ่งที่เรียกว่าผีเสื้อหลงทางสามารถดมกลิ่นหญ้าเก้าหยางสลายวิญญาณบนร่างพี่ชายได้จนไล่ล่าตามหาร่องรอยพี่ชายเจอ และยิ่งคาดไม่ถึงว่าจู่ๆ มั่วเวิ่นฉิงเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ที่ครอบครองผีเสื้อหลงทางผู้นี้จะปรากฏตัวในเมืองหลวงแคว้นหวาเช่นกัน