มู่ชิงอีเอ่ย “เกือบเที่ยงแล้ว”
มั่วเวิ่นฉิงมองนางพลางเอ่ย “พวกเจ้ารีบไปเถิด ไม่นานคงมีคนตามมา”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะยิ้มบางกล่าว “เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”
“เมื่อคืนข้าได้รับบาดเจ็บภายใน ข้าจะเป็นตัวถ่วงพวกเจ้าเอาได้” มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “หากตอนนี้ทิ้งเจ้าไป สู้ข้าทนดูดายไม่ช่วยท่านตั้งแต่ก่อนหน้านี้เสียยังดีกว่า หากเจ้าสำนักมั่วรู้สึกว่ายังขยับไหวอยู่ล่ะก็ พวกเรารีบไปกันเถิด ด้านหน้ามีคนไล่ล่าตามมาแล้วจริงๆ”
มั่วเวิ่นฉิงมองนางด้วยสายตาลึกล้ำแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วเกาะต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังประคองกายลุกขึ้นเงียบๆ
เดิมทีควรใช้เวลาในการเดินทางแค่สองวันเท่านั้น ทว่าพวกเขาสามคนเดินอยู่ในเขาเกือบห้าวันถึงจะออกมาได้ อู๋ซินคนเดียวต้องคอยดูแลสตรีที่ไม่มีวิทยายุทธติดตัวและบุรุษผู้ที่ได้รับบาดเจ็บภายในสองคน อีกทั้งยังต้องเดินอ้อมเพื่อหลบเลี่ยงคนที่ตามไล่ล่าอยู่ไม่น้อย กระทั่งในที่สุดพวกเขาก็เดินออกมาจากหุบเขา ทุกคนเลยอดลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้
หลายวันมานี้เพื่อหลบเลี่ยงคนที่ไล่ล่าตามมาด้านหลัง พวกเขาสามคนไม่มีใครได้พักผ่อนดีๆ เลยสักคน โชคดีที่มั่วเวิ่นฉิงเสนอยาบำรุงให้ ต่อให้มู่ชิงอีจะร่างกายค่อนข้างอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยมาหลายวันแต่กลับไม่ได้เจ็บป่วยอะไร โชคดีที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีผีเสื้อหลงทางคอยลอบทำร้าย ขณะที่เดินกันในป่าลึกพวกเขาสามคนต่างระมัดระวังตัวจนสุดท้ายก็ไม่ถูกใครเห็นเข้า
“หลายวันมานี้ลำบากพวกเจ้าทั้งสองคนแล้ว พวกเราแยกย้ายกันตรงนี้เถิด” ครั้นใกล้ถึงเบื้องหน้าเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในเขตแดนแคว้นเย่ว์ มั่วเวิ่นฉิงก็หันไปกล่าวกับพวกเขาสองคน
เดิมทีพวกมู่ชิงอีเองก็ไม่ได้คิดจะเดินทางพร้อมมั่วเวิ่นฉิงต่อเช่นกันเลยไม่ได้เกรงใจ พยักหน้าเอ่ย “เจ้าสำนักมั่วเกรงใจไปแล้ว พวกเราล่ำลากันตรงนี้เถิด”
มั่วเวิ่นฉิงมองมู่ชิงอีพลางมุ่นคิ้ว จากนั้นก็ยกมือขึ้นล้วงหยิบป้ายคำสั่งสีเงินอันหนึ่งออกมาแล้วส่งให้พร้อมกล่าว “หลายวันมานี้ต้องขอบคุณพวกเจ้าทั้งสองด้วย วันหน้าหากมีเรื่องใดก็ถือเจ้าสิ่งนี้มาหาข้าที่เย่ากู่หวังแล้วกัน”
มู่ชิงอีแอบหวั่นไหวในใจ คำมั่นสัญญาของเจ้าสำนักเย่ากู่หวังย่อมไม่สามารถเมินเฉยได้ จึงยื่นมือไปรับมาแล้วเอ่ย “เจ้าสำนักมั่ว ลาก่อน”
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้าแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
“คุณหนู เย่าหวังกู่ผู้นี้…” อู๋ซินขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยเสียงเบา เพราะก่อนหน้านี้มั่วเวิ่นฉิงช่วยชีวิตมู่หรงอวี้ไว้และยังทำเอาพวกเขาเหนื่อยแทบตาย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นมู่ชิงอีหรืออู๋ซินต่างมีความทรงจำที่ไม่ดีกับมั่วเวิ่นฉิงนัก เพียงแต่หลังจากได้ทำความรู้จักในช่วงระยะเวลาหลายวันมานี้ นอกจากเจ้าสำนักมั่วจะเป็นคนพูดน้อยไปบ้าง แต่ดูท่าทางจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “บางทีอาจมีเรื่องเข้าใจผิด หาตัวพี่ใหญ่กับพี่ชายให้เจอก่อนค่อยว่ากัน หากไม่ต้องเป็นปฏิปักษ์กับเย่าหวังกู่ก็เป็นเรื่องดีไม่น้อย” หากกล่าวกันตามจริงนางไม่อยากเป็นศัตรูกับคนอย่างมั่วเวิ่นฉิงเลย แต่ก่อนจะหาตัวพี่ใหญ่และพี่ชายเจอ นางจะไม่ไปมาหาสู่กับคนผู้นี้แน่นอน หากพี่ใหญ่และพี่ชายเป็นอะไรไป…ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดมั่วเวิ่นฉิงก็คือศัตรูของนาง
อู๋ซินพยักหน้า ในใจของคุณหนูเกรงว่าความสำคัญของคุณชายใหญ่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ เพราะผีเสื้อหลงทางของมั่วเวิ่นฉิงทำให้คุณชายใหญ่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย คุณหนูไม่ฉวยโอกาสลอบฆ่าเขาก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ครั้นเห็นสีหน้าเข้าใจของอู๋ซิน มู่ชิงอีก็ถอนหายใจ ใช่ว่านางไม่เคยคิดจะฆ่ามั่วเวิ่นฉิงสักหน่อย แต่นางไม่แน่ใจว่าตอนนั้นพวกเขาจะฆ่ามั่วเวิ่นฉิงได้จริงๆ หรือเปล่า คนอย่างมั่วเวิ่นฉิง ดูจากท่าทางของเขาไม่เหมือนคนที่จะสลัดเกราะป้องกันตัวเองทิ้งต่อหน้าคนแปลกหน้าสักเท่าไร หลังจากทำความรู้จักกันมาหลายวันนางก็ยิ่งมั่นใจ เพียงแต่นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดมั่วเวิ่นฉิงถึงพยายามหยั่งเชิงคนที่เพิ่งเคยเจอกันโดยบังเอิญอย่างนางเช่นนี้ด้วย
มู่ชิงอีเล่นป้ายคำสั่งสีเงินที่สลักคำว่า ‘มั่ว’ ในมือครู่หนึ่งก่อนจะระบายยิ้มออกมา อย่างน้อยหลายวันมานี้ใช่ว่านางจะไม่ได้อะไรเลย เพราะตราประทับของเจ้าสำนัก…คงไม่ใช่แค่ให้มั่วเวิ่นฉิงจัดการเรื่องธรรมดาๆ แน่นอน
พอเข้าเมืองมามู่ชิงอีก็เปลี่ยนจากชุดเด็กสาวเป็นชุดบุรุษสีขาว ในมือถือพัดรูปภูเขาแม่น้ำราวกับคุณชายรูปงามบุคลิกคล่องแคล่วปราดเปรียวคนหนึ่ง
อู๋ซินเองก็เปลี่ยนจากชุดแคว้นหวาเป็นชุดประจำแคว้นเย่ว์สีดำเช่นกัน ต่อให้พวกเขาสองคนเดินในเมืองเล็กๆ อย่างเขตชายแดนนี้แต่กลับไม่ตกเป็นเป้าสายตาของใครเลย พอเข้าเมืองมาก็ได้ยินข่าวเล่าลือมาไม่น้อย กล่าวว่าตวนอ๋องที่พาคณะทูตไปแคว้นหวาก่อนหน้านี้พาองค์ชายเก้ากลับมาถึงแคว้นแล้ว ฝ่าบาททรงปิติยินดีประทานเงินเดือนตำแหน่งชินอ๋องให้เป็นสองเท่า อีกทั้งยังแต่งตั้งบุตรคนรองอย่างตวนอ๋องขึ้นเป็นหรงจวิ้นอ๋อง กล่าวได้ว่าความโปรดปรานเช่นนี้เป็นสิ่งที่เหล่าองค์ชายทุกคนในแคว้นเย่ว์ต่างใฝ่ฝันทีเดียว
นอกเหนือจากนี้องค์ชายเก้าที่ออกเดินทางไปแคว้นหวากับตวนอ๋องก็ล้มป่วยอีกครั้งหลังจากกลับมาถึง ถึงแม้องค์ชายเก้าจะอายุเกือบยี่สิบชันษาแล้วแต่ยังมิได้อภิเษกแต่อย่างใด ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงแต่งตั้งองค์ชายเก้าขึ้นเป็นอวี้อ๋อง[1] อีกทั้งยังประทานจวนให้ย้ายออกไปอยู่นอกวังแล้ว
บรรดาองค์ชายแคว้นเย่ว์ต่างรับรู้เรื่องความโปรดปรานองค์ชายเก้าของฝ่าบาทกันถ้วนหน้า หลังจากองค์ชายแคว้นเย่ว์บรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่ว่าจะอภิเษกแล้วหรือไม่ก็ต้องย้ายออกจากวัง ทว่าองค์ชายเก้ากลับอยู่ในวังจนกระทั่งอายุสิบเก้า ถึงแม้จะไม่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใด แต่เหล่าองค์ชายองค์หญิงสูงส่งจนถึงลูกหลานคนมีอำนาจในเมืองหลวงกลับไม่มีใครกล้าหาเรื่ององค์ชายผู้นี้เลย และบัดนี้ในที่สุดฝ่าบาทก็คิดจะให้องค์ชายเก้าย้ายออกจากวังไปประทับที่จวนแล้ว แต่ก็ยังกลัวลูกรักจะน้อยใจเลยแต่ตั้งตำแหน่งชินอ๋องให้องค์ชายเก้าที่มิได้สร้างความดีความชอบใดเลย นี่จึงทำให้องค์ชายที่อายุสิบสี่สิบห้าชันษาเริ่มไม่ไว้วางใจในราชสำนัก เช่นนี้ภายในใจของบรรดาองค์ชายที่แก่งแย่งชิงดีทั้งในที่ลับและที่โล่งแจ้งจะยอมได้เช่นไร
อีกทั้งมีเรื่องที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงแต่งตั้งคนๆ หนึ่งที่มีนามว่าจูอวี้ขึ้นเป็นอานซุ่นจวิ้นอ๋อง ทั้งนอกและในราชสำนักแคว้นเย่ว์ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของคนผู้นี้และไม่มีใครรู้เลยว่าเหตุใดเขาถึงถูกแต่งตั้งตำแหน่ง แต่ด้วยความอำมหิตที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ใช้ปกครองแคว้นเย่ว์มาหลายสิบปีจึงทำให้เหล่าขุนนางและตระกูลชื่อดังต่างๆ ยอมจำนน ยามที่ฝ่าบาททรงป่าวประกาศเรื่องนี้ให้พวกเขาทราบ นอกจากพวกเขาจะกล่าวว่า ‘พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ’ แล้ว ทางที่ดีไม่ควรพูดอะไรอีก
เดิมทีเรื่องพวกนี้ไม่ได้แพร่สะพัดเร็วขนาดนี้ แต่มู่ชิงอีและอู๋ซินเดินทางมาช้า อีกทั้งอาศัยอยู่ในเขามาหลายวัน ตอนที่พวกเขาออกมาอย่าว่าแต่ขบวนที่เดินทางกลับมาของพวกหรงเหยี่ยนจะถึงนานแล้วเลย เพราะแม้แต่เรื่องต่างๆ ในเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ยังจบลงแล้วด้วย
เพียงแต่เหมือนเรื่องพวกนี้จะเป็นเรื่องที่พูดคุยสนทนากันหลังมื้ออาหารทั่วไป ทว่าพอมู่ชิงอีได้ฟังแล้วกลับรู้สึกสังหรณ์ใจลึกๆ ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
พวกเขาไม่มัวเสียเวลาระหว่างทางอีก มู่ชิงอีและอู๋ซินรีบเร่งม้าเร็วจนกระทั่งมาถึงเมืองหลวงแคว้นหวาภายในเวลาเจ็ดวัน
หากเทียบกับพื้นที่ราบลุ่มอย่างแคว้นหวาแล้ว ภายในเขตแคว้นเย่ว์จะมีภูเขาสูงใหญ่และแม่น้ำมากกว่า ถึงแม้เมืองหลวงจะตั้งอยู่ในพื้นที่ขนาดกว้างขวาง ทว่าด้านหลังกลับติดกับภูเขาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ทิวทัศน์งดงามแตกต่างจากแคว้นหวาอย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่เข้าเมืองมาก็มีผู้ดูแลกิจการภายใต้นามของตระกูลกู้ออกมาต้อนรับ ตระกูลกู้สามารถยืนหยัดได้เป็นร้อยปีโดยไม่ล้มเพราะใช้หลักการอย่างสำนวนที่ว่ากระต่ายมีสามโพรง[2] แต่ไหนแต่ไรมากิจการของตระกูลกู้ไม่ได้มีแค่ที่แคว้นหวาที่เดียว เท่าที่รู้มาแม้แต่แคว้นเย่ว์แคว้นเป่ยฮั่นซึ่งละแวกรอบแคว้นล้วนมีกิจการของตระกูลกู้ทั้งสิ้น หลังจากมู่ชิงอีตัดสินใจจะมาแคว้นเย่ว์กิจการหลักๆ ของตระกูลกู้ก็ค่อยๆ ย้ายมาที่แคว้นเย่ว์ รวมถึงพวกที่คอยดูแลกิจการต่างๆ ให้ตระกูลกู้อย่างพวกเฝิงจื่อสุ่ยเองก็ล่วงหน้ามาแคว้นเย่ว์ก่อนแล้ว เพียงแต่เพราะเฝิงจื่อสุ่ยมีงานมากมายล้นมือเลยมาช้ากว่ามู่ชิงอีอยู่เล็กน้อย
คนที่รุดหน้าเข้ามาต้อนรับมู่ชิงอีก็คือฮูหยินวัยกลางคนอายุราวๆ สามสิบห้าสามสิบหกปีคนหนึ่ง ใบหน้างดงาม อีกทั้งบุคลิกยังสง่างามเหมือนมาจากตระกูลผู้มีความรู้ เพียงแต่หากเทียบกับสตรีแคว้นเย่ว์แล้วออกจะใจกว้างและหนักแน่นกว่ามาก ครั้นเห็นพวกมู่ชิงอี อีกฝ่ายก็รีบเข้ามาต้อนรับแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ข้าเหมยเหนียงผู้ดูแลกิจการของตระกูลกู้ในแคว้นเย่ว์ คารวะคุณชายเจ้าค่ะ”
———————————
[1]อวี้อ๋อง ลำดับขั้นทัดเทียมกับชินอ๋อง
[2]กระต่ายมีสามโพรง สำนวนนี้หมายถึงเชิงว่าคนเจ้าเล่ห์ต้องหาที่หลบซ่อนตัวไว้หลายๆ ที่