นับต่อจากนี้ไป ชื่อเสียงในเรื่องของความโหดขององค์ชายเก้าก็ยิ่งมากขึ้น เพิ่มระดับความน่ากลัวให้ตัวเองจนใครต่อใครกระทั่งลูกเล็กเด็กแดงที่ร้องห่มร้องไห้ตอนกลางคืนต่างเงียบกริบได้สำเร็จเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินข่าวนี้อู๋ซินก็พานตัวสั่นสะท้านตามไปด้วย เขาเพียงจับจ้องคุณหนูที่นั่งอ่านสมุดบัญชีด้วยสีหน้าเรียบนิ่งโดยไม่สะทกสะท้านและทำได้แค่ปิดปากเงียบกริบเท่านั้น
มู่ชิงอีไม่ออกจากจวนเลยมาเป็นเวลาสองวันเพราะเอาแต่นั่งตรวจสอบสมุดบัญชีในระยะเวลาสองสามปีนี้อยู่ในจวน ส่วนสมุดบัญชีที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ส่งมาก็ล้วนถูกส่งมาในหนึ่งวันถัดมาตามหลัง ทว่ามู่ชิงอีแค่เปิดอ่านคร่าวๆ ครั้งเดียวก็ยิ้มเยาะแล้วโยนไปไว้อีกฝั่ง สองวันนี้นอกจากดูสมุดบัญชีแล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือทำความเข้าใจเรื่องระหว่างเหล่าผู้ทรงอิทธิพลในเมืองหลวงตลอดหลายปีมานี้ ถึงแม้มู่ชิงอีจะไม่รู้ว่าเหตุใดองค์ชายถึงให้ความสนใจเรื่องพวกนี้มากกว่าเรื่องกิจการของตระกูลตนเสียอีก ทว่านางก็ยังคงพยายามส่งเอกสารข้อมูลที่ตนพอจะรวบรวมได้ไปให้ ส่วนที่ขาดเหลือย่อมใช้ให้อู๋ซินที่เคยเป็นองครักษ์และคนติดตามสำคัญข้างกายหรงจิ่นไปจัดการหาเพิ่มเติมอยู่แล้ว
เหมือนว่าจะแตกต่างจากเหล่าองค์ชายแคว้นหวาที่เอาแต่แอบแก่งแย่งชิงดีกันอย่างลับๆ เพราะการช่วงชิงของแคว้นเย่ว์เปิดเผยโจ่งแจ้งและโหดเหี้ยมอำมหิตมากกว่า ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะอายุเลยหกสิบชันษาไปนานแล้ว แต่ความสามารถในการปกครองแคว้นเย่ว์กลับเหนือกว่าฮ่องเต้แคว้นหวาอยู่มาก เขาไม่เกรงกลัวการแก่งแย่งชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชายเลยสักนิด กระทั่งแอบสื่อความหมายเชิงให้กำลังใจในการช่วงชิงบัลลังก์แก่พวกเขาอีกต่างหาก เพื่อแย่งกันแสดงความสามารถต่อหน้าเสด็จพ่อ ขอแค่เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงรับสั่ง เหล่าองค์ชายย่อมพร้อมทุ่มสุดแรงทำอย่างเต็มที่ เพราะเหตุนี้ทั่วทั้งราชสำนักจึงดูขลังและมีชีวิตชีวากว่าแคว้นเย่ว์มากทีเดียว
มู่หรงเทียนแห่งแคว้นเย่ว์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วัยเยาว์เฉกเช่นเดียวกับฮ่องเต้แคว้นหวา ช่วงวัยหนุ่มยิ่งทรงพระปรีชาสร้างความรุ่งเรืองให้บ้านเมืองไม่น้อย หากกล่าวถึงคุณงามความดีคงเรียกได้ว่าเขาเบียดแทรกอยู่ในสามลำดับแรกตั้งแต่สถาปนาแคว้นเย่ว์มาตลอดหลายร้อยปีเลยกว่าว่าได้ เพียงแต่ช่วงวัยหนุ่มของมู่หรงเทียนเรียกได้ว่าทั้งปราดเปรื่องและเด็ดขาดแต่ก็ยังให้ความเคารพยกย่องคนที่มีคุณธรรมและความสามารถอยู่บ้าง ทว่าพออายุมากขึ้นมู่หรงเทียนกลับยิ่งเข้มงวดกระทั่งเลือดเย็นต่อขุนนางและบุตรของตนมากกว่าเดิม
เรื่องอย่างประหารยกครัว ในแคว้นเย่ว์ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรด้วยซ้ำ แม้แต่เหตุการณ์ที่ขุนนางหรือตระกูลผู้ทรงอิทธิพลถูกตีตายในราชสำนักก็ยังเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในแคว้นหวาคงมิอาจจินตนาการได้ เพราะต่อให้ฮ่องเต้แคว้นหวาจะเกลียดชังกู้มู่เหยียน แต่สุดท้ายก็จับเข้าคุกแล้วให้กรมอาญาตัดสินลงโทษ
และเพราะความโหดเหี้ยมอำมหิตของมู่หรงเทียน เหล่าองค์ชายที่ช่วงชิงบัลลังก์จึงต้องรู้จักขอบเขตต่อหน้าพระองค์เช่นกัน กระทั่งบัดนี้กลับยังไม่เคยปรากฏข่าวที่ว่าเหล่าองค์ชายฆ่ากันเองเพื่อช่วงชิงบัลลังก์ให้เห็นเลย
มู่หรงเทียนมีโอรสสิบเอ็ดคนและธิดาเก้าคน หนึ่งในนั้นองค์ชายคนโตหรงหวงปีนี้อายุก็ปาไปสี่สิบสองชันษาแล้ว ถูกแต่งตั้งเป็นจื้ออ๋อง คนเล็กสุดคือองค์ชายสิบเอ็ด ปีนี้อายุได้สิบเจ็ดชันษาแล้ว บัดนี้สถานการณ์ในราชสำนักวุ่นวายซับซ้อนมาก จากฮองเฮาที่ให้กำเนิดองค์ชายคนโตจื้ออ๋อง องค์ชายแปดและองค์ชายสิบเอ็ดคือพวกเดียวกัน องค์ชายสี่ตวนอ๋อง องค์ชายห้า องค์ชายเจ็ดและองค์ชายสิบคือพวกเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีองค์ชายสองจวงอ๋องหรงเซวียนที่มีความดีความชอบเรื่องการทหารและองค์ชายหกเป็นพวกเดียวกัน อีกทั้งยังมีหรงจิ่นองค์ชายเก้าผู้โดดเดี่ยวนอกเหนือจากคนเหล่านี้ด้วยอีกคน เพราะเหตุนี้หรงจิ่นจึงพยายามทุ่มเทดึงตัวที่ปรึกษามาจากแคว้นหวา เห็นได้ชัดว่าสุดท้ายเขาเองก็เตรียมลงแข่งช่วงชิงบัลลังก์ในไม่ช้าก็เร็วเช่นกัน
“เช่นนั้น…แล้วองค์ชายสามเล่า” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
อู๋ซินมองมู่ชิงอีที่กำลังจับจ้องม้วนกระดาษตรงหน้าพลางครุ่นคิดบางอย่าง เขาลังเลครู่หนึ่งถึงเอ่ย “องค์ชายสามสวินอ๋อง เขา…สุขภาพไม่ดี แต่ไหนแต่ไรมาเลยไม่ได้เข้าร่วมการช่วงชิงบัลลังก์กับเหล่าองค์ชายคนอื่นๆ อยู่แล้วขอรับ”
“สุขภาพไม่ดีหรือ” มู่ชิงอีมองอู๋ซินด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม องค์ชายเก้าเองก็ขึ้นชื่อว่าสุขภาพไม่ดีเหมือนกัน ทว่าฆ่าใครกลับไม่เคยออมมือเลยสักครั้ง
อู๋ซินลูบจมูกไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจกล่าว “เรื่องนี้…ให้องค์ชายเก้าเป็นคนบอกท่านเองจะดีกว่าขอรับ”
“เหมยเหนียงเล่า” ครั้นไม่ได้คำตอบจากอู๋ซิน มู่ชิงอีเลยเบือนสายตาไปจับจ้องเหมยเหนียงที่ยืนอยู่อีกฝั่งแทน เหมยเหนียงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งถึงกล่าว “ความจริง…เรื่องนี้เหมยเหนียงเองก็ทราบไม่ค่อยแน่ชัดนัก เดิมทีองค์ชายสามเป็นบุตรชายของเหวยกุ้ยเฟยที่สวรรคตไปแล้ว ต่อมาองค์ชายได้อภิเษกกับบุตรภรรยาเอกของตระกูลเหมยขึ้นเป็นพระชายา สิบเก้าปีก่อนจู่ๆ พระชายาสวินก็สวรรคตไป นับตั้งแต่นั้นมาองค์ชายสามก็ร่างกายอ่อนแอป่วยอยู่เรื่อยๆ”
มู่ชิงอีผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว มุ่นคิ้วเอ่ย “ตระกูลเหมย…เหมือนว่าท่านแม่ขององค์ชายเก้าก็เป็นคนของตระกูลเหมยมิใช่หรือ” หากไม่ใช่เพราะสีหน้าที่ดูแปลกพิกลของอู๋ซิน เดิมทีมู่ชิงอีเองก็คงไม่คิดไปในแนวทางนี้ แต่เพราะความเหมาะเจาะในเรื่องของเวลากลับทำให้คนเข้าใจได้อย่างง่ายดายมาก จู่ๆ เมื่อสิบเก้าปีก่อนพระชายาเหมยก็เสด็จสวรรคตไป ประจวบกับสิบเก้าปีก่อนจู่ๆ พระสนมเหมยก็เข้าวังมาและได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ตอนนั้นเหลือเพียงหรงจิ่นองค์ชายเก้า ถึงแม้สองปีหลังจากนั้นพระสนมเหมยจะล่วงลับไปแล้ว แต่จากท่าทีที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงปฏิบัติกับหรงจิ่นกลับแตกต่างออกไปจนกล่าวได้ว่าความโปรดปรานของพระสนมเหมยในตอนนั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แน่นอน
“คุณชาย…หากอยากรู้เรื่องนี้ คุณชายไปถามองค์ชายเก้าเองจะดีกว่า” อู๋ซินเอ่ยตอบด้วยสีหน้าขาวซีด
ทว่าเหมยเหนียงกลับไม่มีความคิดเห็นใดกับเรื่องนี้ ข่าวเรื่องที่พระชายาเหมยและเหมยกุ้ยเฟยเป็นสายเลือดเดียวกันต่างรับรู้โดยถ้วนหน้ากันนานแล้ว ส่วนความจริงที่แท้จริงย่อมไม่ใช่เรื่องที่เหล่าประชาชนทั่วไปจะรับรู้ได้ อย่างมากก็เป็นแค่การคาดเดาและข่าวที่กุขึ้นมาของพวกคนที่เบื่อหน่ายก็เท่านั้น
มู่ชิงอีพยักหน้าพลันแอบคาดเดาในใจได้คร่าวๆ นางเองก็ไม่ได้มีงานอดิเรกชอบบีบบังคับอู๋ซินแล้วรั้นจะให้ขุดเรื่องส่วนตัวของคนอื่นให้ได้ขนาดนั้น เพียงแต่ในเมื่อตัดสินใจมุ่งมั่นว่าจะช่วยหรงจิ่นแล้ว เรื่องที่ควรรู้ย่อมต้องเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ ก่อนถึงจะถูก
“คุณชาย ผู้ดูแลทุกท่านขอเข้าพบเจ้าค่ะ” โจวหลีเอ๋อร์ที่อยู่นอกประตูเดินเข้ามาเอ่ยรายงานเสียงเบา ในเมื่อเหล่าผู้ดูแลใจกว้างยอมส่งบุตรสาวเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ หากไม่ใช้งานสักหน่อยคงรู้สึกผิดต่อพวกเขาน่าดู เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากพวกเขารู้ว่าคุณชายตระกูลกู้ที่พวกเขากำลังใช้แผนนี้ด้วยกลับเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นางใคร่รู้นักว่าพวกเขาจะทำสีหน้าเช่นไร
“ข้ารู้แล้ว ออกไปเถิด” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ
โจวหลีเอ๋อร์มองมู่ชิงอีด้วยความเง้างอนแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าเดินออกไปอย่างไม่พอใจนัก ถึงอย่างไรนางก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามร่างบางอ้อนแอ้น แต่หลายวันมานี้คุณชายผู้นี้กลับไม่มองหน้านางเลยสักนิด หรือเพราะยังเด็กเกินไปเลยไม่เข้าใจเรื่องชอบสตรีอย่างนั้นหรือ แต่เหล่าคุณชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันในเมืองหลวงต่อให้จะไม่ได้แต่งงานแต่ส่วนมากมักจะมีหญิงสาวคอยรับใช้อยู่ในจวนอยู่แล้วทั้งนั้น
ครั้นเห็นท่าทีไม่พอใจของโจวหลีเอ๋อร์ เหมยเหนียงก็อดปิดปากแอบหัวเราะไม่ได้
“หัวเราะเรื่องใดหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
เหมยเหนียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายอายุแค่นี้แต่กลับดึงดูดเหล่าแม่นางได้ไม่น้อย…หากผ่านไปอีกสักสองสามปีเกรงว่าคงทำเอาองค์ชายเก้าหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเย่ว์คงต้องยอมถอยให้แล้วกระมัง หากเหมยเหนียงอายุน้อยกว่านี้สักยี่สิบปี ไม่แน่ข้าเองก็คงหลงคุณชายหัวปักหัวปำตามไปด้วย”
มู่ชิงอีอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้ จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนกล่าวขึ้นว่า “ไปเถิด ไปเจอเหล่าผู้ดูแลพวกนั้นกัน”
ในห้องหนังสือใหญ่หน้าจวนมีคนนั่งอยู่จำนวนไม่น้อยแล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ดูแลกิจการตระกูลกู้ที่อยู่ในละแวกเมืองหลวงทั้งสิ้น แน่นอนว่าคนพวกนี้ย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าเจ้าของกิจการมีสถานะเป็นใครกันแน่ หรือเพราะเหตุนี้เลยทำให้มีคนไม่น้อยผุดความคิดบางอย่างที่ไม่ควรคิดขึ้น เดิมทีตอนที่ตระกูลกู้ยังอยู่ยังมีความสามารถและมีคนคอยจัดการดูแลจึงทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดไม่ซื่อ แต่เพราะหลายปีมานี้เฝิงจื่อสุ่ยคนเดียวยุ่งจนแทบทำอะไรไม่ทัน อีกทั้งเหมยเหนียงเองก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง คนพวกนี้เลยเริ่มคิดเล่นตุกติกขึ้นมา