อยู่ดีๆ บัดนี้ก็ปรากฏตัวเจ้านายโผล่มากะทันหัน อีกทั้งยังเป็นเจ้านายที่อายุน้อยคนหนึ่งเท่านั้นด้วย คนพวกนี้ย่อมเกิดความรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว ความรู้สึกนั้นเปรียบเสมือนเขากำลังกลืนกินอาหารหายากชั้นเลิศได้เพียงครึ่งเดียว ทว่าเพิ่งลิ้มลองรสชาติยังไม่ทันได้ดื่มด่ำรสสัมผัสดีก็ถูกคนบีบบังคับให้คายออกมา เพราะเหตุนี้จึงมีคนรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก
ขณะที่ทุกคนต่างกำลังถกเถียงกันอยู่ในห้องหนังสือ นอกประตูก็ปรากฏตัวหนุ่มน้อยรูปงามสวมชุดสีขาวกุมพัดในมือคนหนึ่งย่างกรายเข้ามาช้าๆ ทุกคนต่างพากันชะงักในแวบแรก ไม่ว่าใครได้เจอะเจอหนุ่มน้อยผู้นี้ก็คงอดใจไม่ไหวชื่นชมในความสง่างามดูอนาคตไกล หล่อเหลาราศีจับสักครั้ง บุคคลเช่นนี้หากกล่าวว่าเป็นคุณชายที่ได้รับการดูแลสั่งสอนมาจากตระกูลผู้ดีมีความรู้ละก็ย่อมเชื่อกันอยู่แล้ว แต่หากกล่าวว่าเขาจะมาดูแลกิจการใหญ่โตเหล่านี้กลับทำให้ใครต่อใครคงมิอาจยอมจำนนได้ แค่เพียงแวบแรกที่เห็นก็อดใจแค่นเสียงดูถูกใส่ไม่ได้แล้ว
“ท่านนี้คือคุณชายของพวกเรา คุณชายหลิวอวิ๋น” เหมยเหนียงระบายยิ้มให้ทุกคน
“ขอคารวะคุณชาย” ผู้ดูแลทุกคนต่างกุลีกุจอรีบลุกขึ้นทำความเคารพ เพียงแต่หว่างคิ้วกลับไม่แสดงความยำเกรงเลยสักนิด เหมยเหนียงเองก็เห็นท่าทางของคนพวกนั้นจึงมุ่นคิ้วเล็กน้อย กำลังเปิดปากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าพอเห็นมู่ชิงอีส่ายศีรษะเบาๆ ถึงยอมกลืนคำพูดนั้นเก็บกลับไป
มู่ชิงอีเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหลักด้านหน้าสุด ส่วนเหมยเหนียงนั่งลงตรงทางฝั่งขวาของนาง ทว่าอู๋ซินกลับยืนอยู่ด้านหลังนางไม่ขยับไปไหนพลางกวาดตามองทุกคนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ครั้นเห็นเช่นนั้น ทุกคนต่างก็พากันผงะไปแล้วเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “คุณชาย นี่คือ…”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือองครักษ์ติดตามตัวข้า ไม่ต้องสนใจหรอก”
ครั้นเห็นว่าอู๋ซินไม่ใช่คนหาเรื่องด้วยง่ายๆ ทุกคนพลันแอบกระสับกระส่ายในใจ ชั่วขณะนี้พวกเขาเดาไม่ออกว่าตกลงแล้วเจ้านายตัวน้อยผู้สุขุมเยือกเย็นตรงหน้าผู้นี้เป็นใครกันแน่
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้คิดจะเกรงอกเกรงใจพวกเขาแต่อย่างใด นางคว้าสมุดบัญชีเล่มหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะด้านข้างแล้วโยนลงตรงกลางโต๊ะพลันเอ่ยถาม “ของใคร”
ทุกคนต่างเงยหน้ามองแวบหนึ่ง จากนั้นบุรุษรูปร่างผอมแห้งใบหน้าดูซื่อสัตย์จริงใจอายุราวสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนกล่าว “รายงานคุณชาย ของข้าเอง ข้าคือโจวเฉิงผู้ดูแลร้านอาหารขอรับ”
มู่ชิงอีเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเย็นชากล่าว “กิจการร้านอาหารของตระกูลกู้ครองตลาดใหญ่ในแคว้นเย่ว์ เจ้ารับผิดชอบร้านอาหารหกแห่งในละแวกเมืองหลวง ซึ่งหนึ่งในนั้นยังรวมถึงหอเย่ว์หวาร้านอาหารชั้นนำในเมืองหลวงที่รายได้ทะลุเจ็ดหมื่นชั่งทุกเดือนด้วย ไหนตอนนี้เจ้าบอกข้ามาสิ เหตุใดตลอดสี่ปีมานี้ในบัญชีกลับเหลือเงินไม่ถึงสามแสนชั่งได้เล่า”
โจวเฉิงเผยสีหน้าตื่นตระหนก กัดฟันเอ่ย “รายงานคุณชาย ข้าเอารายได้จากกิจการส่งมอบให้ผู้ดูแลเหมยทุกปี! ในสมุดบัญชีของร้านอาหารย่อมไม่มีอยู่แล้ว”
มู่ชิงอียิ้มเยาะแล้วเอ่ย “ใช่ ผ่านไปสามปี สามปีก่อนเจ้าส่งมอบให้ห้าแสนชั่ง สองปีก่อนเจ้าส่งมาสามแสนห้าหมื่นชั่ง ปีก่อนเจ้าส่งมาสองแสนชั่ง เหตุผลเพราะ…กิจการไม่ดี?”
“คือ…เวลานี้ในเมืองหลวงเองก็มีร้านอาหารผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เลยทำมาค้าขายยากมากจริงๆ” โจวเฉิงยังคงแถไม่เลิก
มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว “ในเมื่อเจ้าทำธุรกิจไม่เป็น เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำ ข้าค่อยหาคนอื่นมารับช่วงต่อ อีกเรื่อง…ในบัญชียังขาดเงินไปอีกหกแสนเจ็ดหมื่นสามพันสองร้อยชั่ง เจ้าต้องหามาชดใช้ให้ครบ หากขาดไปแค่ชั่งเดียว…พวกเราก็ไปเจอกันที่ศาลเถิด”
“หก…หกแสนเจ็ดหมื่นสามพันสองร้อยชั่ง” โจวเฉิงหน้าซีด ระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้เขาจะไปหาเงินหกแสนเจ็ดหมื่นสามพันสองร้อยชั่งมาจากไหน และยิ่งคิดไม่ถึงว่ากู้หลิวอวิ๋นผู้นี้จะคำนวณเศษเงินได้ชัดเจนครบถ้วนขนาดนี้ “ไม่! คุณชายใส่ร้ายป้ายสีกันแล้ว…ข้า…ข้าจะไปมีเงินมากมายขนาดนั้นได้เช่นไรกัน”
มู่ชิงอีฉีกยิ้มเอ่ย “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นจวนหลังใหญ่ในเมืองหลวงหลังนั้น รวมถึงเรือนสามแห่งนอกเมือง อีกทั้งได้ยินมาว่าอนุคนที่สี่ของเจ้าก็ใช้เงินซื้อมาตั้งหนึ่งหมื่นเจ็ดพันชั่ง ถ้าขายๆ ทิ้งไปคงพอหามาได้สักแสนกว่าชั่งกระมัง แล้วก็ร้านค้าภายใต้นามของฮูหยินเจ้าหลายร้านพวกนั้นด้วย…โจวเฉิง เจ้ากำเริบเสิบสานนัก!”
พอตบโต๊ะ หนุ่มน้อยที่ดูเหมือนร่างเล็กตัวบางกลับแผ่ความน่าเกรงขามออกมาไม่น้อย ครั้นเห็นสีหน้าของหนุ่มน้อยตรงหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็ง ทุกคนก็ลอบตื่นตระหนกในใจ “โจวเฉิง เดิมทีเจ้าเป็นแค่บัณฑิตตกอับ ยาจกที่ยากจนข้นแค้นไม่มีกิน ผู้ดูแลที่รับผิดชอบกิจการในเมืองหลวงรุ่นก่อนช่วยเหลือเจ้าเอาไว้ บ่มเพาะเลี้ยงดูเจ้าจนกลายเป็นผู้ดูแลร้านอาหาร แต่เจ้ากลับตอบแทนตระกูลกู้เช่นนี้หรือ ตอนนี้ข้าจะบอกเจ้าให้ ในเมื่อตระกูลกู้สามารถชุบเลี้ยงเจ้ามาได้ ตระกูลกู้เองก็สามารถเหยียบเจ้าจนจมกองโคลนใหม่ได้เช่นกัน!”
โจวเฉิงยังอยากฮึดสู้เป็นครั้งสุดท้าย “ไม่นะ คุณชายใส่ร้ายข้าแล้ว ข้าเคารพยกย่องตระกูลกู้มาชั่วชีวิต แต่สุดท้ายกลับมีจุดจบเช่นนี้…คุณชายใส่ร้ายข้า ข้าไม่ยอม! พวกเจ้าจะไม่ยอมช่วยข้าพูดบ้างเลยหรือ วันนี้ข้ามีจุดจบเช่นไร พรุ่งนี้พวกเจ้าเองก็คงไม่ต่างกันกับข้าหรอก”
บางคนที่นั่งอยู่ก็พลอยหวั่นไหวตามไปด้วย ชั่งใจครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มีคนเปิดปากเอ่ย “คุณชาย…”
ยังพูดไม่ทันจบ มู่ชิงอีก็คลี่ยิ้มกล่าว “ผู้ดูแลหวง เจ้าอย่าเพิ่งรีบเปิดปากพูดเลย อีกเดี๋ยวข้ายังต้องสะสางบัญชีกับเจ้า!”
“ผู้ดูแลเฉิน ผู้ดูแลหลิน” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ
บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งและผู้เฒ่าอายุหกสิบปีคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างนอบน้อม“คุณชาย”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ตลอดหลายปีนี้พวกเจ้าสองคนลำบากไม่น้อย นอกจากเงินเดือนของปีนี้ ทุกคนจะได้เพิ่มอีกสองหมื่นชั่ง ส่วนอีกเรื่องผู้ดูแลหลิน ข้าได้ยินมาว่าท่านมีบุตรชายที่มีความสามารถมากอยู่คนหนึ่ง หากสนใจเจ้าลองชี้นำสอนงานเขาดู หากมีความสามารถมากพอจะรับได้ วันหน้าก็ให้มารับช่วงต่อจากเจ้าเถิด”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นผู้ดูแลหลินก็ยิ้มร่า เขายอมทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อกิจการในมือมาชั่วชีวิต รวมถึงดูแลกิจการที่ทำเงินไม่น้อยอีกด้วย แต่เขากลับมีบุตรชายถึงสองคน กิจการแค่นี้คงไม่พอแบ่งแน่นอน หากให้บุตรชายคนโตสืบทอดมรดกตนแล้วให้ลูกคนรองมารับตำแหน่งต่อจากเขาก็ถือว่าเป็นธรรมต่อบุตรชายทั้งสองของเขาแล้ว
“ขอบคุณความเมตตาของคุณชายมากขอรับ ข้าจะชี้นำสอนงานบุตรชายข้าอย่างดี มิกล้าทรยศต่อพระคุณนี้ของคุณชายแน่นอน”
มู่ชิงอีพยักหน้าสื่อว่าให้อู๋ซินมาประคองตัวผู้เฒ่าลุกขึ้น จากนั้นก็หันไปมองผู้ดูแลเฉินอีกฝั่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้ดูแลเฉินยังหนุ่มยังแน่น เจ้ายังอยากก้าวหน้ากว่านี้หรือไม่เล่า”
ผู้ดูแลเฉินผงะไปแล้วรีบเอ่ย “ข้ายินดีเสียสละยอมทำทุกอย่างเพื่อคุณชายอยู่แล้วขอรับ”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าเสียสละทำทุกอย่าง ขอแค่พยายามอย่างเต็มที่ก็พอ” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ต่อจากนี้ไป กิจการในมือของโจวเฉิงก็มอบให้เจ้าจัดการต่อแล้วกัน”
“ขอรับ คุณชาย” ผู้ดูแลเฉินดีใจยกใหญ่ เพราะเดิมทีกิจการในมือที่โจวเฉิงดูแลมีมากกว่าเขาถึงสองสามเท่า ถึงแม้โจวเฉิงจะไม่ได้เป็นเจ้าของร้านอาหารเหล่านี้แต่เป็นแค่ผู้ดำเนินกิจการเท่านั้น ทว่าก็นับว่ามีหน้ามีตาในแวดวงค้าขายของเมืองหลวงพอสมควรแล้ว
ครั้นเห็นมู่ชิงอีกล่าวเสียงอ่อนเสียงหวานว่าจะเอาทุกอย่างของตนมอบให้คนอื่น โจวเฉิงก็เผยสีหน้าเกรี้ยวโกรธ “คุณชาย…คุณชาย ข้าถูกใส่ความ…คุณชายโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนทีเถิด”
“ตรวจสอบให้ชัดเจนหรือ” มู่ชิงอีมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มกล่าว “หากเจ้าบอกข้าได้ว่า…เจ้าไปเอาเงินจากไหนมาซื้อตัวอนุภรรยาและซื้อจวนซื้อเรือนพวกนั้นได้ล่ะก็…ข้าอาจจะพิจารณาเรื่องการตรวจสอบดู”
โจวเฉิงพูดไม่ออก เขาจะพูดออกมาได้เช่นไร เพราะเขาเป็นผู้ดูแลมานาน อีกทั้งมีเงินมหาศาลไหลผ่านมือทุกวันแล้วจะไม่ให้หวั่นไหวได้อย่างไร ตอนแรกเริ่มเขาแค่งุบงิบมาเล็กน้อย ขอแค่เขาระมัดระวังตัวหน่อยใครก็คงดูไม่ออก ทว่าตอนหลังเขากลับโลภมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหักห้ามใจไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีมานี้ไม่มีเจ้านายคนใดมาสอดส่องดูแลสักคนเลยทำให้เขาค่อยๆ ทำตามอำเภอใจมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งบางทียังเผลอคิดวิธีจะฮุบกิจการเหล่านี้มาเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ