มู่ชิงอีมองเขาด้วยท่าทีสงบเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าพูดออกมาไม่ได้ ข้าเองก็ไม่อยากฟังเช่นกัน มนุษย์เราโลภมากไม่มีที่สิ้นสุดดั่งงูเขมือบช้าง ตระกูลกู้ช่วยเจ้า สอนเจ้า แต่สุดท้ายดันสร้างความหิวกระหายให้เจ้าแทน ตอนนี้ทุกอย่างของตระกูลกู้ล้วนถูกเก็บกลับหมด ส่วนเจ้า…ก็ไปตามทางของเจ้าแล้วกัน เหมยเหนียง ให้คนส่งตัวเขาไปที่ศาล”
“เจ้าค่ะ คุณชาย”
เหมยเหนียงลุกขึ้นเรียกองครักษ์ด้านนอกประตูมาเอาตัวโจวเฉิงออกไป
ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องหนังสือก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที มู่ชิงอีจับจ้องทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเอ่ยว่า “ทุกท่านก็เช่นกัน หากชดใช้จริงๆ ข้าก็จะไม่ถือโทษเอาความ แต่หากเกิดจากสาเหตุอื่น…ภายในเจ็ดวัน จงจัดการเรื่องบัญชีใหม่แล้วส่งมาให้ที่จวนแล้วข้าจะไม่เอาความใดด้วยอีก มิเช่นนั้นก็เตรียมเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนโจวเฉิงก็แล้วกัน หากรับใช้ตระกูลกู้ด้วยความจริงใจ ข้าไม่มีทางเอารัดเอาเปรียบอยู่แล้ว แต่หากทำตัวเกลือเป็นหนอนหรือคิดจะช่วงชิงของของที่ไม่ใช่ของตน เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าเป็นเจ้านายที่ไม่เห็นหัวลูกน้องก็แล้วกัน”
ครั้นได้ฟังคำพูดของมู่ชิงอี ทุกคนก็อดสั่นสะพรึงในใจไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ลอบผ่อนลมหายใจไปด้วย เพราะอย่างน้อย…คุณชายก็ยังหาวิธีให้พวกเขาชดเชยคืนบ้างแต่ไม่ถึงขั้นถูกบีบจนถึงทางตันเหมือนโจวเฉิง ทุกคนในนั้นต่างเข้าใจดีว่าคุณชายต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู และโจวเฉิงก็คือผู้โชคร้ายที่กลายเป็นไก่ตัวนั้น
“ทุกคน เข้าใจหรือไม่” แววตาเย็นยะเยือกดั่งหิมะของมู่ชิงอีกวาดมองใบหน้าของทุกคน ทุกคนจึงรีบลุกขึ้นขานรับ “ขอรับ คุณชาย”
“ดีมาก ทุกท่านเชิญกลับเถิด”
“ขอรับ ข้าขอตัวก่อน”
ครั้นเห็นทุกคนออกไปกันแล้ว เหมยเหนียงถึงพรูลมหายใจยาวแล้วมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีชื่นชมเอ่ย “มิน่าผู้ดูแลเฝิงถึงวางใจคุณชาย คุณชายออกแรงทีก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เหมยเหนียงเลื่อมใสนัก”
มู่ชิงอียิ้มเฝื่อนอย่างเหนื่อยหน่ายกล่าว “ข้าเองก็ถูกบีบให้ทำแบบนี้ รอผู้ดูแลเฝิงมาถึง ข้าก็คงไม่ต้องเปลืองแรงมาคิดเรื่องพวกนี้แล้ว” เรื่องพวกนี้ต้องจัดการอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรสำหรับนาง แต่เรื่องที่ตามมาหลังจากนี้คงมีไม่น้อย มู่ชิงอีรู้แก่ใจดีว่าตนคงมิอาจจดจ่ออยู่กับเรื่องดูแลกิจการเหล่านี้ได้ หากไม่ใช่เพราะคนพวกนี้กำเริบเสิบสันไม่เกรงกลัวสิ่งใดจนเกินไป เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะเรียกเจอผู้ดูแลพวกนี้ด้วยซ้ำ
“คุณชาย…คุณชาย…ปล่อยข้านะ ข้าจะเข้าไปพบคุณชาย” เสียงโหวกเหวกดังแว่วมาจากนอกประตู มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจนัก อู๋ซินเอ่ยเสียงเรียบ “โจวหลีเอ๋อร์”
มู่ชิงอีนวดหว่างคิ้วก่อนพยักหน้าเอ่ย “ให้นางเข้ามา”
เหมยเหนียงออกไปบอกองครักษ์นอกประตู หลังจากนั้นโจวหลีเอ๋อร์ก็พุ่งพรวดเข้ามาพร้อมน้ำตานองหน้าแล้วคุกเข่าลงที่พื้นเสียงดัง ตุ๊บ! ต่อหน้ามู่ชิงอี ร่ำไห้วิงวอนว่า “คุณชาย…คุณชายปล่อยบิดาของข้าไปเถิด ข้าขอร้องคุณชาย…ปล่อยเขาไปเถิดเจ้าค่ะ”
“เหมยเหนียง เจ้าไปจัดการธุระก่อนเถิด” มู่ชิงอีมุ่นคิ้วแล้วเงยหน้าออกคำสั่งกับเหมยเหนียงที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่อีกฝั่ง “ทางนี้ข้าจัดการเอง”
เหมยเหนียงผ่อนลมหายใจ ถึงแม้นางจะไม่ชอบผู้ดูแลที่เหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกนี้นัก แต่นางก็รู้จักคนพวกนี้มาไม่ต่ำกว่าสิบปีแล้ว อีกทั้งเคยไปมาหาสู่กันมานานจึงมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีไม่เลวเลย พอบัดนี้เห็นโจวเฉิงมีจุดจบเช่นนี้ แง่หนึ่งก็รู้สึกว่าเป็นกรรมที่เขาสมควรได้รับ แต่อีกแง่หนึ่งก็นึกเห็นใจเขาอยู่ไม่น้อย
“เจ้าค่ะ เหมยเหนียงขอตัว”
ในห้องหนังสือกลับมาสงบลงอีกครั้ง ตอนนี้เหลือเพียงมู่ชิงอีที่นั่งอยู่ อู๋ซินที่ยืนอยู่และโจวหลีเอ๋อร์ที่นั่งคุกเข่าน้ำตาอาบหน้าบนพื้น
ปีนี้โจวหลีเอ๋อร์อายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ซึ่งถือเป็นช่วงอายุที่เสน่ห์และความงามของเด็กผู้หญิงจะบานสะพรั่งมากที่สุด ถึงแม้นางจะไม่ได้สวยถึงขั้นล่มเมืองแต่ก็หน้าตางดงามน่าเย้ายวนไม่เบา เดิมทีสาวงามงุดหน้าร่ำไห้เช่นนี้คงชวนให้ใครต่อใครนึกเห็นใจ แต่คนที่เห็นใจเหล่านี้คงไม่ได้รวมถึงร่างที่เป็นหญิงเช่นกันอย่างมู่ชิงอีและคนที่ไร้ความรู้สึกไร้หัวใจอย่างอู๋ซิน
ยิ่งไปกว่านั้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของมู่ชิงอีมีผู้หญิงแบบไหนบ้างที่นางไม่เคยเจอมาก่อน ตกลงแล้วเป็นการร้องไห้จริงๆ หรือบีบน้ำตาคงต้องดูให้แน่ชัดอีกที
“เจ้าจะพูดเรื่องอันใดหรือ” ผ่านไปสักพักมู่ชิงอีถึงเปิดปากเอ่ยถามเสียงเรียบ
โจวหลีเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาประสานสายตาแน่นิ่งเย็นชานั้นด้วยท่าทีตกใจ อดผุดความรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาในใจไม่ได้ สายตาที่มองนางของคุณชายกู้ผู้นี้กลับไม่มีท่าทีหวั่นไหวใดทั้งสิ้น ต่อให้เขาจะไม่สนใจผู้หญิง แต่หากคนทั่วไปเห็นสาวน้อยร่างบอบบางอ้อนแอ้นคนหนึ่งร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ ย่อมต้องเกิดความรู้สึกสงสารบ้างไม่ใช่หรือ
มู่ชิงอีมองโจวหลีเอ๋อร์ที่คุกเข่าบนพื้นจากมุมสูง จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งเชิดคางนางขึ้นอย่างเบามือ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้า…อยากพูดอะไรอย่างนั้นหรือ”
โจวหลีเอ๋อร์อดเผยสีหน้าแดงระเรื่อไม่ได้รีบกล่าว “คุณชาย…ข้า ขอร้องคุณชายโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วย ท่านพ่อของข้าจงรักภักดีต่อคุณชายและตระกูลกู้มากไม่มีทางกล้าคิดไม่ซื่อแน่นอน…คุณชายปล่อยตัวท่านพ่อข้าไปเถิด”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ชิงอีบางเบาและอ่อนโยน นางจับจ้องสาวน้อยที่กำลังมองตนอย่างน่าสงสารด้วยท่าทีสงบ จากนั้นก็กระฉากแขนของนางขึ้นแล้วถลกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยภายใต้สีหน้าเคอะเขินของสาวน้อยผู้นี้ บนข้อมือนวลเนียนสีขาวหิมะปรากฏกำไลหยกสีขาวสลักลวดลายกิ่งไม้เลื้อยพันกัน มู่ชิงอีเล่นกำไลนั้นอย่างเบามือแล้วเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “หยกขาวไขมันแพะของขึ้นชื่อแคว้นเป่ยฮั่น ผลงานของช่างแกะสลักหยกอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ต่อให้เป็นคุณหนูบุตรสาวของตระกูลผู้ดีร่ำรวยแค่ไหนก็ใช่ว่าจะมีในครอบครองได้กระมัง”
โจวหลีเอ๋อร์ใบหน้าซีดขาว กำไลบนข้อมือชิ้นนั้นเป็นทรัพย์สมบัติที่นางภาคภูมิใจมาตลอด ทว่าเวลานี้กลับเหมือนกำไลเหล็กที่ถูกแผดเผาจนลวกมือแทน
“คุณชาย…คุณชาย ข้า…”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ข้าไม่สนว่าพ่อของเจ้าจะจงรักภักดีต่อข้าหรือไม่ วันหน้าข้าคงไม่กล้าใช้งานลูกน้องที่ทรยศเจ้านายอยู่แล้ว หากเจ้าอยากช่วยพ่อของเจ้าจริงๆ สู้กลับไปคิดว่าจะคืนเงินที่ติดค้างข้าเช่นไรดีกว่า เห็นแก่ที่โจวเฉิงอยู่รับใช้ตระกูลกู้มาหลายสิบปี ข้าไม่ส่งตัวเขาเข้าคุกก็ได้”
“ไม่…” โจวหลีเอ๋อร์รีบส่ายหน้าแล้วดีดดิ้นหมายจะเก็บมือที่ถูกมู่ชิงอีจับไว้อยู่กลับมา พวกนางชินกับชีวิตที่แสนสุขสำราญนานแล้ว หากเอาของทุกอย่างคืนตระกูลกู้ไปหมด ทั้งครอบครัวนางก็ต้องตกอับอดอยากปากแห้ง ที่สำคัญกว่านั้นก็คือต่อให้ตอนนี้จะเอาทุกสิ่งทุกอย่างของพวกนางขายจนเกลี้ยงก็ไม่มีทางชดใช้จำนวนเงินที่ท่านพ่อติดค้างไว้ครบแน่นอน
นางคือคุณหนูของตระกูลโจว นางไม่อยากใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้น
“คุณชาย ขอร้องคุณชายปล่อยพวกเราไปเถิดเจ้าค่ะ หลีเอ๋อร์…หลีเอ๋อร์ยินดีอยู่เป็นบ่าวรับใช้เพื่อชดใช้บุญคุณของคุณชาย” ครั้นคิดถึงจุดนี้ โจวหลีเอ๋อร์ก็คว้าแขนเสื้อของมู่ชิงอีไว้แล้ววิงวอนอย่างเศร้าสร้อย เพียงแต่น้ำตาคลอเบ้าและท่าทีออดอ้อนเช่นนี้กลับเป็นแผนการหลอกล่อที่เห็นได้ชัดนัก
ครั้นเห็นว่านางไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง มู่ชิงอีเลยยิ้มเย็นชากล่าว “อยู่เป็นบ่าวรับใช้อย่างนั้นหรือ พอดีเลย…ข้าเพิ่งมาเมืองหลวงเลยต้องผูกสัมพันธ์อีกหลายที่ ได้ยินมาว่าองค์ชายเก้าชื่นชอบสาวงาม ข้าว่าหน้าตาของหลีเอ๋อร์ก็ไม่แย่ เมื่อวานจวนองค์ชายเก้ามีลูกน้องตายไปคนหนึ่งมิใช่หรือ หากตอนนี้ส่งไปอีกสักคนคงเป็นการผูกมิตรกับองค์ชายเก้าด้วยพอดี”
“หา? ไม่นะเจ้าคะ” ได้ยินเช่นนั้นโจวหลีเอ๋อร์ก็ตกใจจนหน้าถอดสีในทันที ตอนนี้พวกเขาอาจจะแค่ใช้ชีวิตลำเค็ญหน่อยเท่านั้น แต่หากเข้าจวนองค์ชายเก้าไปจริงๆ จะมีชีวิตรอดหรือไม่นั้นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ด้วยชื่อเสียงในเมืองหลวงขององค์ชายเก้าจึงมีทั้งคนที่ชอบสุดขีดและกลัวสุดขีดไปพร้อมกัน ด้านหนึ่งหญิงสาวทุกคนต่างหลงใหลในความหล่อเหลาเหนือใครของเขากันทั้งสิ้น แต่อีกด้านหนึ่งพวกนางกลับหวาดกลัวกับอารมณ์และนิสัยที่ยากจะคาดเดาได้ของเขา สำหรับหญิงสาวอย่างโจวหลีเอ๋อร์ที่ไม่เคยเจอหรงจิ่นมาก่อนย่อมหวาดกลัวมากกว่าหลงใหลอยู่แล้ว ครั้นได้ยินมู่ชิงอีเอ่ยเชิงประสงค์ร้ายเช่นนี้ นางจะไม่กลัวได้เช่นไร