ตอนที่ 299 องค์ชายเก้าผู้ที่ถนัดก่อเรื่องทำร้ายคนอื่นแต่กลับไม่มีผลดีอะไรกับตัวเอง (2)
“หลบไป หลบไป!” ขณะที่หนานกงอวี้กำลังจะเปิดปากพูด ฉับพลันถนนด้านล่างก็มีเสียงดังอึกทึกครึกโครมดังแว่วมา อีกทั้งยังมีเสียงเกือกม้าดังแทรกเข้ามาด้วย หนานกงอวี้เป็นคนที่เรียนวิทยายุทธมาย่อมฟังออกว่ามีคนขี่ม้าเร็วกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เลยอดสีหน้าเปลี่ยนไม่ได้ “สารเลว! ใครใจกล้าขี่ม้าในเมืองหลวงเช่นนี้กันนะ”
ครั้นเหล่าผู้คนบนท้องถนนเห็นม้าสง่าผึ่งผายวิ่งมาด้วยความเร็วจากมุมไกลจึงทยอยหลบเข้าสองฝั่งข้างทาง ทว่าย่อมมีคนที่ปฏิกิริยาเชื่องช้าอยู่แล้ว หญิงชราเส้นผมขาวโพลนคิ้วขมวดมุ่นคนหนึ่งที่ยืนซื้อของจากแผงร้านค้าด้านข้างริมฝั่งถนน นางกำลังยิ้มตาหยีหมุนตัวหมายจะเดินข้ามถนน เห็นได้ชัดว่าหญิงชราหูไม่ค่อยดีนักจึงไม่ได้ยินเสียงของม้าเร็วที่กำลังวิ่งพุ่งเข้ามาแต่อย่างใด
“ยังไม่รีบหลบไปอีก! รนหาที่ตาย!” บนม้ามีสาวน้อยหน้าตาสะสวยสวมเสื้อกันลมครึ่งตัวสีแดงอ่อนปักลายดอกพุดตานคนหนึ่งพร้อมกำแส้อ่อนสีแดงในมือ เมื่อเห็นหญิงชราผู้นั้นก็สีหน้าเปลี่ยน พลันแส้ยาวในมือก็ตวัดฟาดร่างของหญิงชราผู้นั้น
“สมควรตายนัก!” หนานกงอวี้เอ่ยสาปแช่งเสียงต่ำ ต่อให้เขาลุกขึ้นพุ่งตัวเข้าไปช่วยก็คงไม่ทันการแล้ว ทุกคนบนท้องถนนเผลอกรีดร้องขึ้นอย่างตกใจ จากนั้นก็มองไปที่สาวน้อยผู้นั้น เพราะต่อให้หญิงชราไม่ถูกม้าเหยียบตายก็ต้องถูกแส้ของสาวน้อยผู้นั้นฟาดใส่อยู่ดี
ทว่าจู่ๆ กลับเห็นเงาสีขาวประกายพาดผ่าน ทันใดนั้นม้าตัวงามที่สาวน้อยผู้นั้นควบอยู่ก็ร้องคำรามพลันยกขาหน้าขึ้นชี้ฟ้า กระทั่งทำเอาสาวน้อยที่หมายจะฟาดแส้ใส่หญิงชราก็ได้รับแรงกระแทกจนร่างเกือบหล่นลงจากหลังม้าไปด้วย แส้เส้นนั้นจึงตวัดฟาดไม่โดนหญิงชรา
พอทุกคนมองอีกทีถึงสังเกตเห็นบุรุษหนุ่มสวมชุดขาวดั่งหิมะสีหน้าสุขุมเยือกเย็นคนหนึ่งอยู่ข้างม้าตัวนั้น พวกเขาก็อดกรีดร้องอุทานขึ้นอีกครั้งไม่ได้
มั่วเวิ่นฉิงหรือ? มู่ชิงอีที่อยู่ด้านบนเลิกคิ้วมองอย่างตกใจ
ทว่าหนานกงอวี้กลับผ่อนลมหายใจ จากนั้นก็เพ่งสายตาจับจ้องสาวน้อยบนหลังม้าตัวนั้นพลันเอ่ยเสียงเบา “หรงซินเย่ว์”
“หนานกงรู้จักนางด้วยหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างแปลกใจ แซ่หรง ฉะนั้นน่าจะเป็นคนของเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์แน่นอน
หนานกงอวี้เอ่ยด้วยท่าทีปวดเศียรเวียนเกล้า “นางเป็นบุตรสาวคนโตของจื้ออ๋อง มียศเป็นผิงหูจวิ้นจู่ นางกำเริบเสิบสานขึ้นทุกวัน จริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าขี่ม้าในเมืองหลวงเช่นนี้”
มู่ชิงอีคลับคล้ายคลับคลาพอรู้เรื่องของผิงหูจวิ้นจู่อยู่บ้าง นางเป็นบุตรสาวคนที่สามขององค์ชายคนโตหรงหวงและเป็นหลานสาวที่อายุมากที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ บัดนี้นางเพิ่งอายุได้สิบแปดชันษา มีคนเล่าลือกันว่านางนิสัยจองหองโอหังไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ถึงขนาดกล้าควบม้าเร็วพุ่งพรวดเข้ามาในย่านคนพลุกพล่านของเมืองหลวงเช่นนี้ เห็นทีคำเล่าลือคงน่าเชื่อถือจริงๆ
หนานกงอวี้ถอนหายใจเอ่ย “ได้ยินมาว่าฝ่าบาทคิดจะให้ผิงหูจวิ้นจู่อภิเษกกับอานซุ่นจวิ้นอ๋องที่เพิ่งถูกแต่งตั้งยศ มิน่าเล่า นางถึงไม่พอใจ”
“อานซุ่นจวิ้นอ๋องหรือ อ๋องต่างสกุลที่เพิ่งถูกแต่งตั้งคนนั้นน่ะหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงโปรดปรานจวิ๋นอ๋องผู้นั้นไม่น้อย”
เขารู้ว่าน้องชายผู้นี้ตรงหน้าเป็นคนแคว้นหวา ทว่าน้ำเสียงแปลกๆ นั้นกลับไม่ได้ทำให้หนานกงอวี้เก็บมาใส่ใจนัก ในเมื่อคนมากมายต่างรู้ว่าจูอวี้ผู้นั้นเป็นคนแคว้นหวา ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องต่างสกุล อีกทั้งไม่ใช่อ๋องต่างสกุลในแคว้นเย่ว์อีกต่างหาก ฉะนั้นการได้รับแต่งตั้งตำแหน่งจากฝ่าบาทย่อมไม่ใช่เรื่องไร้ต้นสายปลายเหตุอย่างแน่นอน หากซินเย่ว์จะนึกไม่พอใจก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หนานกงอวี้พยักหน้าเอ่ย “ผิงหูจวิ้นจู่ผยองเย่อหยิ่ง แล้วนางจะเต็มใจอภิเษกกับจวิ้นอ๋องที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นคนๆ นั้นยังเป็นคนที่ตวนอ๋องเอาตัวกลับมาอีกด้วย” ตวนอ๋องและจื่ออ๋องเป็นคู่กัดกัน เกรงว่าจื้ออ๋องเองก็คงไม่นิ่งดูดายปล่อยให้บุตรสาวอภิเษกกับคนที่เป็นพวกเดียวกับตวนอ๋องอย่างชัดเจนหรอกกระมัง
บนถนนด้านล่าง ผิงหูจวิ้นจู่เองก็ถูกทำให้ตกใจไม่น้อย ครั้นได้สติจากอาการตื่นตระหนก นางก็มองบุรุษชุดขาวที่กำลังประคองหญิงชราหูไม่ดีคนนั้นเดินไปหลบริมถนนด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นนางก็ร้องลั่นด้วยความโมโหอย่างอดไม่ได้ “เจ้าหยุดนะ!”
หลังจากมั่วเวิ่นฉิงพาหญิงชรามารวมกับกลุ่มฝูงชนริมถนนแล้วถึงหันกลับมามองหญิงสาวบนหลังม้าด้วยท่าทีสงบ เอ่ยเสียงเรียบ “หากขี่ม้าเร็วเข้ามาในย่านที่คนพลุกพล่าน ตามกฎต้องถูกบั่นหัว”
ผิงหูจวิ้นจู่อดแค่นเสียงเบาใส่ไม่ได้ นางย่อมรู้กฎของแคว้นเย่ว์ดีอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้นางโมโหมากเกินไปเลยคุมตัวเองไม่อยู่ชั่วขณะ อีกอย่าง…นี่ก็ไม่ได้ทำให้ใครบาดเจ็บมิใช่หรือ คนที่ตกใจคือนางต่างหากเล่า
“เจ้าช่างเหิมเกริมนัก ใครจะกล้าบั่นหัวข้าได้” ไม่ว่าผู้มีอำนาจหรือประชาชนธรรมดาตาดำๆ ก็ต้องใช้กฎหมายเดียวกัน แต่บนโลกนี้จะมีเชื้อพระวงศ์คนใดต้องมาโดนข้อหาเพียงเพราะคนธรรมดาต่ำต้อยแค่นี้กันเล่า เรื่องแบบนั้นแค่เอามาหลอกชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลยมากกว่า
“เจ้าต่างหากที่ทำให้ข้าขวัญเสีย ยังไม่ขอโทษข้าอีก!” ครั้นเห็นบุรุษตรงหน้าเผยสีหน้าเย็นชาราวกับไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ผิงหูจวิ้นจู่ก็ไฟโทสะปะทุ นางเป็นถึงผิงหูจวิ้นจู่ หลานสาวคนโตของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าเสด็จปู่จะให้นางอภิเษกกับจูอวี้อานซุ่นจวิ้นอ๋องอะไรนั่น คิดว่านางเป็นสตรีแล้วจะไม่รู้ภูมิหลังของจูอวี้นั่นหรือ อานซุ่นจวิ้นอ๋องอะไรกัน เขาก็เป็นแค่องค์ชายตกอับที่ถูกขับไล่ออกจากเชื้อพระวงศ์ไร้ชื่อไร้สกุลคนหนึ่งก็เท่านั้น ตอนนี้ดูทรงแล้วแม้แต่คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนยังดูโดดเด่นกว่าเขาด้วยซ้ำ กระนั้นยังเพ้อฝันจะมาเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ของข้าอีก!
ทว่าผิงหูจวิ้นจู่กลับไม่รู้ว่าบุรุษที่นางเห็นไม่ใช่แค่คนสัญจรไปมาทั่วๆ ไป แต่เขาเป็นผู้มีปัญญาที่แม้แต่ในฝูงชนนับหมื่นก็ยังหาไม่เจอสักคน
มั่วเวิ่นฉิงมุ่นคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกเพียงว่าหญิงสาวตรงหน้าทั้งขี้โวยวาย ดื้อรั้นและไร้มารยาทถึงขีดสุด เขามาจากเย่าหวังกู่ มีศักดิ์เป็นผู้สืบทอดเจ้าสำนักเย่าหวังกู่มาตั้งแต่กำเนิด สถานะสูงศักดิ์ แม้แต่เดินทางไปทั่วยุทธจักร ทุกหนแห่งไม่ว่าชาวบ้านประชาราษฎร์หรือผู้มีอำนาจล้วนให้ความเกรงใจอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าเขาทั้งสิ้น ไม่มีใครกล้าเสียมารยาทกับเขาเช่นนี้เลย หากไม่ใช่ว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้าคนมากมาย ด้วยการกระทำต่ำทรามของสตรีคนนี้ มั่วเวิ่นฉิงคงป้อนยาพิษให้นางกินไปแล้ว
มั่วเวิ่นฉิงกวาดตามองผิงหูจวิ้นจู่ด้วยแววตาเรียบนิ่งก่อนหมุนตัวเดินจากไป
“สามหาว!” ครั้นถูกคนดูแคลนเช่นนี้ ผิงหูจวิ้นจู่จะข่มอารมณ์โกรธไว้ได้เช่นไร นางจึงยกแส้ขึ้นแล้วตวัดฟาดไปที่แผ่นหลังของมั่วเวิ่นฉิง
“หยุดนะ!”
ครั้งนี้กลับเป็นหนานกงอวี้ที่รุดหน้าเข้าไปช่วย พอเห็นผิงหูจวิ้นจู่คิดจะตวัดแส้ หนานกงอวี้ก็พุ่งตัวลงมากจากหน้าต่างทันทีแล้วยกมือขึ้นดึงแส้สีแดงนั้นไว้กลางอากาศ
“หนานกงอวี้ เจ้าบังอาจนัก!”
ลำพังแค่แรงมือของหนานกงอวี้ก็สามารถฉุดกระชากผิงหูจวิ้นจู่ที่นั่งอยู่บนหลังม้าลงมาได้แล้ว โชคดีที่ผิงหูจวิ้นจู่เป็นวิทยายุทธ นางลงจากหลังม้าด้วยท่าทีโงนเงนเล็กน้อย ครั้นเท้าจรดแตะพื้นก็จับจ้องหนานกงอวี้ตาเขม็ง
หนานกงอวี้เลิกคิ้วเอ่ย “จวิ้นจู่แค่ขี่ม้าเร็วเข้ามาในย่านคนพลุกพล่านยังพอว่า แต่คิดไม่ถึงว่าจะยกแส้ขึ้นมาทำร้ายร่างกายคนอื่นด้วย เช่นนั้นพวกเราไปขอร้องต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮาให้ช่วยตัดสินเรื่องนี้กันดีกว่ากระมัง”
ผิงหูจวิ้นจู่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แค่นเสียงเบาทีหนึ่งก่อนจะเก็บแส้ตัวเองกลับมาแล้วเอ่ย “ข้าไม่มีเวลามาโอ้เอ้กับเจ้า ให้เขาขอโทษข้า ข้าก็จะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
“ช่างน่าขัน หากไม่ได้คุณชายผู้นี้ยื่นมือเข้ามาช่วย หญิงชราคนเมื่อครู่คงถูกท่านเหยียบตายไปแล้ว ท่านยังจะให้เขาขอโทษอีกหรือ ท่านมีเหตุผลบ้างหรือไม่” หนานกงอวี้ยิ้มเยาะ
ผิงหูจวิ้นจู่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แค่ชาวบ้านชั้นต่ำคนหนึ่ง ตายก็ตายไปสิ จะอะไรหนักหนาเล่า”
ทุกคนตรงนั้นต่างสีหน้าเปลี่ยนแล้วจับจ้องสาวน้อยที่เผยสีหน้าหยิ่งผยองอย่างไม่ชอบใจ ถึงแม้พวกเขาจะเป็นราษฎรคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจอิทธิพลใดแต่ก็ยังมีศักดิ์ศรีในตัวเอง ครั้นถูกจวิ้นจู่ผู้สูงส่งก่นด่าอย่างดูถูกเช่นนี้ย่อมไม่มีใครพอใจอยู่แล้ว
หนานกงอวี้เลิกคิ้วแล้วคลี่ยิ้มเชิงดูแคลนใส่นางก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ใต้หล้านี้ไม่มีคนชั้นต่ำ ยกเว้นก็แต่ท่านแล้ว”