“ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าถลกหนังม้ามาให้เจ้า เป็นอย่างไรเล่า”
“ข้าขอประมูลแสนตำลึง!” ในที่สุดหนานกงอวี้ก็ข่มอารมณ์ไม่ไหวโพล่งออกมา ทุกคนต่างอุทานเสียงดังแล้วมองไปทางหรงจิ่นอย่างพร้อมเพรียง
หรงจิ่นที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนเลิกคิ้วด้วยท่าทีสง่าเอ่ยขึ้นว่า “แสนตำลึงหรือ…ดูท่าทางหนานกงอวี้จะเป็นคนรักม้าจริงๆ ม้าตัวนี้…ให้เจ้าไปแล้วกัน ข้าช่วยทำให้เจ้าสมหวังดีกว่า”
ชิ! ทุกคนต่างลอบสบถในใจ จากนั้นก็มองไปทางหนานกงอวี้ราวกับมองคนโง่คนหนึ่งเสียอย่างนั้น มีเพียงคนขายม้าคนเดียวที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม กระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจ พลันนึกซาบซึ้งใจต่อองค์ชายเก้าไม่หยุดหย่อน
“ม้าล้ำค่าคู่ควรกับแม่ทัพเลื่องชื่อ ยินดีกับคุณชายหนานกงด้วยจริงๆ” ครั้นเห็นสีหน้าย่ำแย่ของหนานกงอวี้ หรงจิ่นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีว่า “ข้าหวังว่าวันหน้าจะได้เห็นคุณชายหนานกงขี่ม้าตัวนี้ลงสนามศึก แผ่แสนยานุภาพจนศัตรูต่างถอยหนี”
หนานกงอวี้ที่เดิมทีเผยสีหน้าเรียบตึงก็พยายามเค้นรอยยิ้มแข็งทื่อออกมา จากนั้นก็มองมู่ชิงอีอย่างละอายใจกล่าว “คือว่า…ข้าน่าจะต้องคืนเงินเจ้าช้าหน่อยแล้ว” พูดไปแล้วก็รู้สึกอับอาย ทั้งๆ ที่เป็นถึงคุณชายรองแห่งจวนแม่ทัพใหญ่ทรงอิทธิพลแท้ๆ แต่กลับยืมเงินสหายที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก อีกทั้งยังคืนให้ไม่ไหวอีกต่างหาก หนานกงอวี้มองม้าตัวสีขาวที่ได้ครอบครองมาเป็นของตนอย่างเศร้าใจ สองสามปีข้างหน้าเขาคงทำได้แค่กินข้าวเปลือกประทังชีวิตแล้ว
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้ายังไม่รีบไปจากเมืองหลวง หนานกงสะดวกเมื่อไรค่อยว่ากันเถิด พวกเราเป็นสหายกันมิใช่หรือ” มู่ชิงอีกลับยิ่งละอายใจมากกว่า นางไม่กล้าบอกเหตุผลที่หนานกงอวี้ต้องโชคร้ายใช้เงินซื้อม้าตัวหนึ่งแพงกว่าเดิมสองเท่าเช่นนี้ สาเหตุหลักๆ เพราะถูกใครบางคนพานโกรธเรื่องนางเข้าแล้ว
“ขอบใจหลิวอวิ๋นมาก ข้า…” หนานกงอวี้ยิ้มอย่างอึดอัดใจ เขาไปเที่ยวเป็นเพื่อนหลิวอวิ๋นไม่ได้แล้ว เขาต้องไปหาเงินค่าม้า ความจริงด้วยตระกูลของหนานกงอวี้หากอยากได้ล่ะก็ เงินแสนตำลึงใช่ว่าจะเอามาไม่ได้ เพียงแต่อาจเกี่ยวพันถึงเรื่องไม่ดีมากมายไปด้วย แต่ไหนแต่ไรมาหนานกงอวี้เป็นคนตรงไปตรงมา เขาไม่อยากวุ่นวายกับราชสำนัก เขายอมใช้ชีวิตลำบากลำบนกว่าหน่อยดีกว่า บัดนี้เพื่อม้าสุดที่รักตัวนี้ เขาคงทำได้แค่แบกหน้าไปขอยืมเงินท่านพี่กับท่านพ่อก่อนแล้ว
มู่ชิงอีเองก็รู้ถึงความอึดอัดของหนานกงอวี้เช่นกันจึงเอ่ยยิ้มๆ “หนานกงรีบไปจัดการธุระเถิด ข้ายังอยากเดินเล่นรอบๆ ต่อ หากมีเวลาพวกเราค่อยออกมาดื่มชาด้วยกันเป็นอย่างไรเล่า”
หนานกงอวี้พยักหน้ายิ้มๆ “ได้ ครั้งหน้าข้าเลี้ยงสุราหลิวอวิ๋นเอง หากหลิวอวิ๋นมีเรื่องอันใดก็ส่งคนมาหาข้าที่จวนแม่ทัพได้เลย”
มู่ชิงอีขานรับพลางอมยิ้ม หลังจากเห็นหนานกงอวี้เดินออกไปหารือเรื่องปัญหาการจ่ายเงินกับเจ้าของม้าตัวนั้นเป็นการส่วนตัวแล้ว นางถึงเหลือบมองใครบางคนที่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อยด้วยสายตาเรียบเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากตลาดม้าไป
“ชิงชิง” หรงจิ่นร้องเรียกเดินตามติดอยู่ด้านหลัง หน้าตาภายนอกของพวกเขาสองคนตกเป็นเป้าสายตาได้ง่าย ยังดีที่มู่ชิงอีเพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรกเลยไม่ได้มีสถานะอะไร แต่หรงจิ่นไม่เหมือนกัน คนอย่างพวกเขาสองคนไม่ต้องทำอะไรก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหรงจิ่นที่เดินตามติดหลังมู่ชิงอีด้วยท่าทีน่าสงสารเช่นนั้น มู่ชิงอีจึงถอนหายใจอย่างเอือมระอา หมุนตัวแล้วลากหรงจิ่นหายวับเข้าไปในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งตรงข้างทางที่ไม่เตะตาใครนัก
หลังจากหาห้องส่วนตัวนั่งลงแล้ว มู่ชิงอีถึงมองหรงจิ่นพลันเอ่ยถาม “วันนี้องค์ชายเก้าสนุกนักหรือเพคะ”
หรงจิ่นเปล่งเสียงไม่พอใจด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดแล้วมองมู่ชิงอีอย่างน้อยใจ “ชิงชิงใจร้าย มาถึงเมืองหลวงตั้งหลายวันแล้วแต่ไม่มาเยี่ยมข้าเลย เสียแรงที่ข้าคอยสอดส่องคิดถึงชิงชิงอยู่ตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าชิงชิงจะไปเที่ยวกับเจ้าบื้ออย่างหนานกงอวี้เสียได้”
“เทียบกันแล้วหนานกงอวี้ฉลาดสู้ท่านไม่ได้ก็จริง แต่หลอกแกล้งเขาแบบนี้ท่านมีความสุขมากนักหรือ มีผลดีอะไรกับท่านบ้างหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ บางคนมักถนัดก่อเรื่องทำร้ายคนอื่นแต่กลับไม่มีผลดีอะไรกับตัวเองเลย เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่นก็คือหนึ่งในตัวอย่างนั้น
หรงจิ่นแค่นเสียงใส่เอ่ย “ใครบอกว่าไม่มีผลดีเล่า ยิ่งไปกว่านั้นข้ามีความสุขต่างหากที่เป็นผลดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใครใช้ให้เจ้าบื้อนั่นทำให้ข้าไม่ชอบใจกันเล่า”
เจ้าบื้อหรือ มองอย่างไรหนานกงอวี้ก็ดูจะอายุมากกว่าท่านหลายปีกระมัง
มู่ชิงอีคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาเรื่องหนานกงอวี้แล้วจึงเงยหน้าเอ่ย “องค์ชายมาหาหม่อมฉันด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ”
หรงจิ่นชักไม่ชอบใจแล้ว “หากไม่มีเรื่องอะไรก็มาหาเจ้าไม่ได้หรือ ชิงชิง ข้านึกว่าเจ้ามาถึงแคว้นเย่ว์แล้วจะมาพักในจวนข้าเสียอีก ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะคิดหาวิธีย้ายออกจากวังมาได้”
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ในเมื่อไม่มีเหตุผล หม่อมฉันจะไปพักในจวนองค์ชายได้อย่างไรเล่าเพคะ”
หรงจิ่นแววตาเป็นประกายวูบไหว “เจ้าก็มาเป็นพระชายาของข้าสิ เพียงเท่านั้นก็มาอยู่ในจวนของข้าได้แล้วมิใช่หรือ ข้าจะรีบเข้าวังไปกราบทูลขอพระราชโองการอภิเษกเจ้ามาเป็นพระชายาอวี้เดี๋ยวนี้เลย”
มู่ชิงอีผลักใบหน้าหล่อเหลาที่ขยับเข้ามาใกล้นางออกไปอีกฝั่งอย่างไร้ซึ่งความปรานี ยิ้มเย็นชากล่าว “ดังนั้นองค์ชายเก้าคิดจะอภิเษกกับสตรีที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งขึ้นเป็นพระชายาหรือ หรือจะบอกว่า…เรื่องที่องค์ชายเก้าต้องการที่ปรึกษาก่อนหน้านี้ก็แค่พูดเล่นๆ เท่านั้น ท่านต้องการแค่หญิงสาวที่มีรูปโฉมคู่ควรกับท่านคนหนึ่งแค่นั้นหรือ”
หรงจิ่นสีหน้าเจื่อนลงทันที ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าหากจะให้ชิงชิงตอบตกลงอภิเษกกับเขาคงยากกว่าให้ชิงชิงตอบรับเป็นผู้ช่วยช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทอยู่มาก ขณะเดียวกันเขาก็อดดีใจไม่ได้ที่ตอนนั้นเขาเอ่ยปากขอร้องให้ชิงชิงมาเป็นผู้ช่วยแต่ไม่ใช่มาเป็นพระชายา มิเช่นนั้นเกรงว่าชิงชิงคงไม่มีทางมาแคว้นเย่ว์แน่นอน แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อมาถึงแคว้นเย่ว์แล้ว ชิงชิงย่อมเป็นของข้าคนเดียว
“ในเมื่อชิงชิงเองก็ยอมรับแล้วว่าเป็นที่ปรึกษาของข้า เช่นนั้นก็ยิ่งต้องมาอยู่ในจวนข้าเพื่อให้คำชี้แนะได้สะดวกมิใช่หรือ มีที่ปรึกษาที่ไหนกันพักจวนอยู่ไกลขนาดนี้ อยากจะเจอสักครั้งยังต้องเดินมาตั้งไกลอีกต่างหาก” หรงจิ่นเอ่ยพลางยิ้มตาหยีแล้วรีบฉกฉวยโอกาสเอ่ยหว่านล้อม
มู่ชิงอีตกใจอยู่บ้างที่เขาล้มเลิกหัวข้อสนทนาเรื่องพระชายาอย่างง่ายดายเช่นนี้ ไม่ง่ายเลยที่นางจะพยักหน้าเอ่ยตอบตกลงอย่างอารมณ์ดีว่า “รอท่านเฝิงมารับช่วงต่อกิจการของแคว้นเย่ว์แล้วหม่อมฉันก็จะเข้าพักที่จวนเลย เป็นอย่างไรเล่าเพคะ”
ความจริงพวกเขาต่างรู้อยู่แก่ใจดี ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่ชิงอีไม่เต็มใจเป็นพระชายาอวี้อะไรนี่หรอก เพราะต่อให้นางเต็มใจจริงๆ ก็ไม่มีทางเป็นจริงใดในทันที ถึงอย่างไรหรงจิ่นก็เป็นคนจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์และเป็นถึงองค์ชายแคว้นเย่ว์คนหนึ่ง เขาจะตัดสินใจเรื่องอภิเษกได้เองเสียที่ไหน ต่อให้ไม่ช่างเลือกก็ไม่มีทางอภิเษกกับหญิงสาวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งได้อยู่ดี
หรงจิ่นยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้เลยทำให้มู่ชิงอียิ่งพอใจมากกว่าเดิม อย่างน้อยก็ยังมีแผนว่าจะช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทอยู่บ้าง หากหรงจิ่นรั้นจะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น ในฐานะผู้ช่วยในกองทหารและที่ปรึกษาของจวนอวี้อ๋องในวันข้างหน้าอย่างนางคงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย
ครั้นได้คำมั่นสัญญาจากนางแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของหรงจิ่นก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มทันที รอยยิ้มสดใสเจิดจ้านั้นสะท้อนเข้าตาของมู่ชิงอีจนพานอดก่นด่าว่า เจ้าปีศาจร้าย ในใจไม่ได้
“ชิงชิงดีที่สุดแล้ว ข้าจะเตรียมจัดหาที่พักดีๆ ให้ชิงชิง ชิงชิงต้องชอบมากแน่นอน” หรงจิ่นเอ่ยพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม หากคนนอกเห็นองค์ชายเก้าอวี้อ๋องที่ขึ้นชื่อว่าใจเหี้ยมร้ายกาจฉีกยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนี้คงพากันตกใจน่าดู
ครั้นได้คำตอบที่ตนต้องการแล้ว ในที่สุดหรงจิ่นก็มีอารมณ์คุยเรื่องงานจริงจังสักที เขามองมู่ชิงอีพลางเอ่ย “เรื่องมู่หรงอวี้ ชิงชิงมีแผนการเช่นใดหรือ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “ตอนนี้เขาเป็นอานซุ่นจวิ้นอ๋องที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงแต่งตั้งเองกับมือ ต่อให้ทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงเกียรติยศของเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์ ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องคุ้มกันเขาระยะหนึ่งแน่นอน หม่อมฉันจะทำอะไรเขาได้เล่า”