หรงจิ่นฟุบตัวลงบนโต๊ะอย่างเกียจคร้าน มองมู่ชิงอีพลางยิ้มแผ่วเบา “ข้าไม่เชื่อว่าชิงชิงจะไม่มีแผนอะไรเลยแล้วปล่อยมู่หรงอวี้ไปใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญเช่นนี้จริงๆ หรอก ได้ยินมาว่ามู่หรงอวี้จะเป็นดองกับผิงหูจวิ้นจู่แล้ว”
“ผิงหูจวิ้นจู่หรือ อภิเษกด้วยก็ใช่ว่าจะแย่เสียทีเดียว” มู่ชิงอีกลับไม่ใส่ใจนัก ด้วยนิสัยของผิงหูจวิ้นจู่ หากอภิเษกกับนาง คนที่เป็นฝ่ายโชคร้ายคือใครนั้นกลับเป็นเรื่องที่พูดยาก ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้มู่หรงอวี้เองก็เพิ่งมาแคว้นเย่ว์ครั้งแรก ทุกคนคงเข้าใจว่าเขาเป็นคนของตวนอ๋องแน่นอน แต่หากเขาอภิเษกกับบุตรสาวของจื้ออ๋อง เรื่องวันหน้าคงพูดยาก อีกแง่หนึ่งการที่มู่หรงอวี้ติดตามตวนอ๋องมาแคว้นเย่ว์ก็นับว่าไม่ใช่แผนการที่ดีอะไรนัก ถึงแม้สถานการณ์ตอนนั้นจะไม่มีเส้นทางให้เขาเลือกแล้ว แต่ด้วยนิสัยของมู่หรงเทียนฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ย่อมไม่มีทางให้ความสำคัญและยิ่งไม่มีทางเชื่อใจเขาแน่นอน ขอแค่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ครองบัลลังก์ต่อไปอีกวัน ท่านอ๋องที่ไม่มีอิทธิพลอำนาจสอดคล้องกับตำแหน่งคงเป็นจุดจบสุดท้ายชั่วชีวิตนี้ของมู่หรงอวี้แล้ว
ครั้นได้ฟังคำวิเคราะห์ของมู่ชิงอี แววตาที่หรงจิ่นใช้เงยหน้าขึ้นมองนางก็ยิ่งเป็นประกายมากกว่าเดิม “อ้อ ชิงชิงคิดว่าเสด็จพ่อไม่มีทางเชื่อใจมู่หรงอวี้อย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “หากองค์ชายเก้าอยู่ในตำแหน่งนั้น ท่านจะเชื่อใจมู่หรงอวี้หรือ”
หรงจิ่นหรี่ตายิ้มเยาะ “ข้าคงรีบฆ่ามู่หรงอวี้ทิ้งเสีย” คนที่กล้าทรยศบ้านเมืองเพื่ออำนาจย่อมไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่กล้าทำอีกแล้ว ในเมื่อวันนี้มู่หรงอวี้กล้าทรยศแคว้นหวา พรุ่งนี้ก็ต้องทรยศแคว้นเย่ว์ได้แน่นอน
“ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็เช่นกัน เพียงแต่เขาไม่ได้ใจร้อนเฉกเช่นองค์ชายเก้าก็เท่านั้น” มู่ชิงอีดื่มชาสีเขียวหยกในแก้วก่อนยิ้มกล่าวด้วยท่าทีสงบ
นิสัยคนอย่างมู่หรงเทียนคงกล้าลงไม้ลงมือได้แม้กระทั่งบุตรชายและขุนนางของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นแค่องค์ชายเร่ร่อนคนหนึ่งที่หลบหนีมาพักพิงจากแคว้นอื่น ในฐานะที่เป็นคนตำแหน่งชั้นสูงย่อมเกลียดชังคนทรยศเข้าไส้ ในเมื่อมู่หรงอวี้ทรยศแคว้นหวา ทางฝั่งฮ่องเต้แคว้นเย่ว์คงลิขิตไว้แล้วว่าเขาคงไม่มีโอกาสจะผงาดขึ้นได้อีกชั่วชีวิต
“มั่วเวิ่นฉิงเองก็มาเมืองหลวง ได้ยินมาว่า…ชิงชิงรู้จักกับเขาแล้วหรือ” หรงจิ่นมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยถาม
มู่ชิงอีพยักหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นอย่างเป็นกังวล “ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่ชายเป็นเช่นใดบ้างแล้ว” หรงจิ่นขมวดคิ้ว ถึงแม้จะไม่ชอบกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีเท่าไรนัก แต่กลับทนเห็นชิงชิงหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นห่วงพวกเขาไม่ได้ จึงเอ่ยปลอบเสียงเบา “ชิงชิงวางใจเถิด ข้าส่งคนออกไปตามหาพวกเขาแล้ว ขอแค่เขาปรากฏตัวในแคว้นเย่ว์ ต้องหาตัวพวกเขาเจอในอีกไม่ช้านี้แน่นอน”
มู่ชิงอีทำได้แค่พยักหน้า ถึงแม้จะเป็นห่วงพี่ใหญ่และพี่ชาย แต่ใต้หล้านี้ช่างกว้างใหญ่นัก นอกเสียจากพวกเขาจะเป็นฝ่ายติดต่อนางกลับมา มิเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเบื้องหลังหรงจิ่นจะมีอำนาจมากเพียงใด แต่อย่างน้อยก็มีความหวังมากกว่านางเร่ตามหาไปทั่วเพียงลำพังอย่างแน่นอน
“ตอนนี้อย่าเพิ่งไปมาหาสู่กับมั่วเวิ่นฉิงจะดีกว่า” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ หากยังตามหาตัวพี่ชายไม่เจอ ไปมาหาสู่กับมั่วเวิ่นฉิงก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตกลงแล้วมั่วเวิ่นฉิงกับมู่หรงอวี้เป็นอะไรกัน ถึงแม้ดูจากตัวตนของมั่วเวิ่นฉิงอาจจะไม่ได้ชวนให้เกลียดชังสักเท่าไร ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามนุษย์เราใช่ว่าจะแบ่งประเภทคนได้จากความดีความชั่วอย่างเดียว หลายครายังต้องมีจุดยืนเหมือนกันด้วย อย่างน้อยนางต้องแน่ใจก่อนว่ามั่วเวิ่นฉิงยืนฝั่งเดียวกับมู่หรงอวี้โดยไม่ได้ไร้เงื่อนไขใด มิเช่นนั้นต่อให้มั่วเวิ่นฉิงตอบตกลงนางก็ไม่กล้าให้เขาตรวจอาการให้พี่ชายอยู่ดี
หรงจิ่นพยักหน้า เขาไม่ได้สนใจมั่วเวิ่นฉิงจึงยึดตามคำพูดของชิงชิงอยู่แล้ว
มู่ชิงอีลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองหรงจิ่นที่สีหน้าซีดขาวกว่าคนปกติเอ่ยขึ้นว่า “ท่านไปหามั่วเวิ่นฉิงให้ลองตรวจอาการดูเสียหน่อย ในเมื่อเขายอมมาเมืองหลวง คงเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของมู่หรงอวี้อีกแน่นอน กฎที่ไม่ให้ผูกมิตรกับคนในเชื้อพระวงศ์อะไรนั่นคงไม่เหมารวมถึงชีวิตคนด้วยหรอกกระมังเพคะ”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็น ข้าเป็นแบบนี้แล้ว อย่าว่าแต่เขาเลย เพราะเหมือนเขาเองก็คงไม่มีปัญญาหรอก” ครั้นเห็นเขาปฏิเสธเสียงแข็งเช่นนั้น มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ฝืนใจ นางแค่ลอบวางแผนในใจว่าวันหลังถามให้ชัดเจนก่อนค่อยคิดวางแผนอีกทีดีกว่า
“ทูลองค์ชาย เถ้าแก่หยางขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฉิงกล่าวทูลรายงานเสียงเบาจากด้านนอก
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “ให้เขาเข้ามาได้”
ประตูถูกผลักเปิดออก จากนั้นมู่ชิงอีก็ต้องตกใจเพราะค้นพบว่าเถ้าแก่หยางที่อู๋ฉิงพูดถึงก็คือเจ้าของม้าตัวสีขาวที่ตลาดม้าคนก่อนหน้านี้นี่เอง พอเถ้าแก่หยางเห็นมู่ชิงอีที่นั่งอยู่ข้างกายหรงจิ่นก็ผงะไปชั่วครู่ แต่ไม่นานก็ได้สติแล้วประสานมือทำความเคารพอย่างนอบน้อมกล่าว “ข้าน้อยขอคารวะอวี้อ๋อง คารวะท่าน…”
“คุณชายกู้” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ
“คารวะคุณชายกู้”
หรงจิ่นโบกมือแล้วเอ่ย “เอาเถอะ เป็นอย่างไรบ้าง…หนานกงอวี้เอาตั๋วเงินมาให้หรือยัง” เถ้าแก่หยางผู้นั้นพยักหน้ารัวๆ พร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้าเอ่ย “ท่านอ๋องคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำดั่งเทพ เซียน ตั๋วเงินหมื่นตำลึงไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย นี่เป็น…น้ำใจเล็กน้อยจริงๆ ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่พูด เถ้าแก่หยางก็เอาตั๋วเงินปึกหนึ่งวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของหรงจิ่นด้วยสองมือแล้วก็ขอตัวออกไปอย่างรู้กาลเทศะ
หรงจิ่นยักคิ้วอย่างลำพองใจส่งให้ชิงชิงที่กำลังจับจ้องตนอย่างตกตะลึง หยิบตั๋วเงินบนโต๊ะขึ้นมาดูแวบหนึ่งแล้ววางลงตรงหน้ามู่ชิงอี มู่ชิงอีหยิบมาดู เถ้าแก่หยางผู้นั้นใจกว้างไม่เบาเพราะเป็นตั๋วเงินมูลค่าห้าพันตำลึงราวสิบใบได้ ทั้งหมดรวมเป็นเงินห้าหมื่นตำลึง
“หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“ให้ชิงชิงอย่างไรเล่า ชิงชิงใช้เงินเก่งเกินไป เพิ่งเจอหนานกงอวี้ครั้งแรกก็ให้เขายืมเงินมากขนาดนั้นแล้ว หากเขาไม่คืนจะทำอย่างไร แต่ไม่เป็นไร ข้าหากลับมาคืนให้แล้ว เงินของข้าให้ชิงชิงใช้หมดเลย” หรงจิ่นเอ่ยอย่างจริงใจ
ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้หรือ
มู่ชิงอีหางตากระตุก เป็นถึงองค์ชายท่านอ๋องแห่งราชวงศ์ คิดไม่ถึงว่าจะรวมหัวกับคนค้าม้าหลอกถลุงเงินคนอื่นเช่นนี้ หากเป็นพวกลูกตระกูลใหญ่บ้านรวยโง่เง่าที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไปทั่วยังว่าไปอย่าง แต่ดันหลอกเอาเงินกับสุภาพชนที่ทำอะไรตรงไปตรงมาอย่างหนานกงอวี้เสียได้ เขาทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอได้อย่างไรกัน
“เถ้าแก่คนนี้ใจกว้างใช้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะให้เงินมากขนาดนี้” ทั้งหมดได้มาแสนตำลึง หรงจิ่นไม่ได้ทำอะไรแค่นั่งตรงนั้นพูดไม่กี่ประโยคก็ได้มาห้าหมื่นตำลึงแล้ว ลำพังแค่หลอกคนอื่นไปทั่วโดยไม่ต้องลงเงิน ลูกไม้แบบนี้องค์ชายเก้าถนัดยิ่งนัก
หรงจิ่นกลับไม่ใส่ใจเอ่ยด้วยท่าทีเรียบเฉย “หากไม่มีข้า อย่างมากเขาก็คงขายได้แค่สามหมื่นตำลึง ตอนนี้กลับทำเงินได้เพิ่มอีกสองหมื่นตำลึง จะมีเรื่องใดให้ไม่พอใจอีกหรือ”
“ที่พูดก็ถูก” อีกอย่างได้ผูกปฏิสัมพันธ์กับอวี้อ๋ององค์ชายเก้าอีกต่างหาก หากไม่ทำคงโง่น่าดู ดังนั้นคิดๆ เรื่องนี้แล้ว คนที่โชคร้ายเพียงหนึ่งเดียวก็ยังคงเป็นหนานกงอวี้อยู่ดี
“องค์ชายเก้าไม่ชอบขี้หน้าหนานกงอวี้หรือเพคะ” หนานกงอวี้เป็นบุตรชายของหนานกงเจวี๋ย หนานกงเจวี๋ยยังเป็นน้าแท้ๆ ของจวงอ๋องหรงเซวียนอีกต่างหาก หากหรงจิ่นจะไม่ชอบขี้หน้าของหนานกงอวี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
“เดิมทีก็ไม่หรอก แต่ตอนนี้ใช่แล้ว” องค์ชายเก้าเอ่ยเสียงแข็งกร้าว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะปลอบประโลมหรงจิ่นได้ ทั้งสองเพิ่งลุกขึ้นออกจากโรงน้ำชามา ทว่าเพิ่งลงมาก็เผชิญหน้ากับคนที่ไม่อยากเจอด้วย สีหน้าเปื้อนยิ้มสดใสในตอนแรกของหรงจิ่นเรียบตึงขึ้นมาทันที
ผู้มาเยือนก็คือบุรุษวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาสง่างามสวมชุดผ้าแพรปักลายเมฆสีขาวนวลผู้หนึ่ง บุรุษผู้นั้นสีผิวขาวซีด เห็นได้ชัดว่าสุขภาพไม่ดีนัก อีกทั้งรูปร่างก็ซูบผอม แววตาสุขุมเย็นยะเยือก ดูทรงแล้วน่าจะอายุราวสี่สิบปี แต่เส้นผมตรงข้างหูกลับขาวโพลนหมดแล้วราวกับผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน