ทุกคนอดสบตากันไม่ได้ ท่านอ๋องเชิญคนที่เพิ่งรู้จักคนหนึ่งมาเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนอ๋อง แบบนี้เรียกว่าสะเพร่าเกินไปแล้ว ต่อให้ท่านอ๋องจะไม่คิดแก่งแย่งช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่ถึงอย่างไรก็เป็นองค์ชายคนหนึ่ง ทำอะไรลวกๆ เช่นนี้ได้ที่ไหนกัน ถึงแม้องค์ชายเก้าจะเลื่องชื่อเรื่องความเอาแต่ใจไม่ค่อยมีมารยาท แต่ทุกคนก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาทำเกินกว่าเหตุยิ่งกว่าที่คาดเอาไว้เสียอีก
“คุณชายกู้ คุณชายคิดว่าตัวเองมีความสามารถพอจะรับหน้าที่หัวหน้าผู้ดูแลหรือไม่” เซี่ยตงผู้นั้นกัดฟันเอ่ยถาม
มู่ชิงอีเลิกคิ้วงามน้อยๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อท่านอ๋องเชิญข้ามาด้วยความจริงใจ หากลองดูสักหน่อยจะเป็นไรเล่า ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต ผ่านหนึ่งปีครึ่งไปไม่แน่หากข้ามีทางอื่นไปก็อาจไปเลยก็ได้ คิดว่าคงไม่ถึงขั้นเตะถ่วงงานในจวนหรอกกระมัง”
ครั้นทุกคนได้ยินเช่นนั้นไฟโทสะก็ปะทุทันที ส่วนหรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างหรี่ตาเล็กน้อยพลางจับจ้องมู่ชิงอีที่พูดจาด้วยท่าทีไม่รีบร้อนตรงหน้าแน่นิ่ง
มู่ชิงอียิ้มเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ต่อไปว่า “ดังนั้นวันหน้า…ทุกคนโปรดอย่าถือสาหาความกันเลย” พอสื่อความหมายออกไปเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลได้หรือไม่ แต่ตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลจวนอวี้อ๋องแห่งนี้ก็ถูกลิขิตไว้ว่าเป็นของเขาไปแล้ว
“เหลวไหล! เหลวไหลชัดๆ!” เซี่ยตงอดตวาดขึ้นด้วยความโมโหไม่ได้ จากนั้นสายตาที่ทุกคนมองไปทางมู่ชิงอีก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเหยียดหยามมากกว่าเดิม กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้อายุเพิ่งสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น นอกจากหน้าตาที่ดูหล่อเหลามากแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เห็นมีอะไรดูโดดเด่นเลยจริงๆ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายเก้าเป็นคนชื่นชอบความสวยความงาม เกรงก็แต่…
เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนเผยอารมณ์เกรี้ยวโกรธจนเกือบประทับคำด่าว่าปลิ้นปล้อนเด่นหราชัดบนใบหน้าแล้ว มู่ชิงอีก็เหลือบมองหรงจิ่นอย่างหัวเสียแวบหนึ่ง แต่หรงจิ่นกลับปิดปากหาวอย่างเกียจคร้านโดยไม่สนใจนางเลยสักนิด เอ่ย “เรื่องที่ข้าจะพูดก็มีแค่นี้แหละ เอาเป็นว่า…หากวันหลังในจวนมีเรื่องอันใดก็มารายงานกับหัวหน้าผู้ดูแลกู้แล้วกัน หากไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่ต้องเอาเรื่องหยิบย่อยไร้สาระใดมารบกวนข้าล่ะ เข้าใจหรือไม่”
“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองด้วยเถิด!” เซี่ยตงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเอ่ยโน้มน้าวเสียงขรึม หัวหน้าผู้ดูแลจวนกุมอำนาจใหญ่ควบคุมทั่วทั้งจวน ขณะที่พระชายายังไม่โผล่มาย่อมมีอำนาจเป็นรองเพียงท่านอ๋องเท่านั้น หน้าที่สำคัญเช่นนี้จะมอบหมายให้เด็กน้อยที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น…
แต่ละคนมองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ทยอยนั่งคุกเข่าช่วยกันเอ่ยโน้มน้าว ไม่ว่าจะด้วยความจงรักภักดีหรือเพื่อผลประโยชน์ของตนก็ตามแต่ หัวหน้าผู้ดูแลอย่างกู้หลิวอวิ๋นปรากฏตัวกะทันหันเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าทำเอาทุกคนทำใจยอมรับไม่ได้สักเท่าไร
หรงจิ่นขมวดคิ้ว อีกทั้งหว่างคิ้วยังแฝงความหงุดหงิดไว้ไม่น้อย จากนั้นก็จับจ้องทุกคนด้วยสายตาอันตรายเอ่ย “ข้าเป็นอวี้อ๋องหรือพวกเจ้าเป็นอวี้อ๋องกันแน่”
“คือว่า…ย่อมเป็นท่านอ๋องอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังไม่พอใจอะไรกับการตัดสินใจของข้าอีกหรือ” หรงจิ่นเอ่ยเสียงนิ่ง
“พวกกระหม่อมเองกำลังทำเพื่อจวนอ๋อง ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองด้วยเถิด”
หรงจิ่นยิ้มเย้ยทีหนึ่งเอ่ย “ไม่ต้องไตร่ตรองหรอก ข้าไตร่ตรองทบทวนมาสี่ห้ารอบแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปกู้หลิวอวิ๋นก็คือหัวหน้าผู้ดูแลจวน หากใครไม่พอใจก็ออกจากจวนไปได้เลย หากใครปากมาก…ก็อย่าโทษว่าข้าใจเหี้ยมแล้วกัน ใช่แล้ว…ข้าไม่ได้ตั้งกฎว่าจะไม่ลงโทษคนหมู่มากหรอกนะ อย่างมากข้าก็แค่ทูลขอเสด็จพ่อเปลี่ยนผู้ดูแลยกชุดไปเลยก็แค่นั้น เหอะ!”
พอพูดจบ หรงจิ่นก็ลุกขึ้นแล้วลากตัวมู่ชิงอีเดินเข้าด้านในไปโดยไม่สนใจเหล่าผู้ดูแลที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังเลยสักนิด
ครั้นเห็นหรงจิ่นจากไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ ทุกคนก็สบตากันเพราะไม่รู้จะทำเช่นไรดี เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะให้กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้มาเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนอ๋อง อีกอย่างพวกเขาต่างรู้นิสัยของหรงจิ่นเป็นอย่างดีว่าพูดอะไรก็ทำเช่นนั้นจริงๆ
“ผู้ดูแลเซี่ย กู้…กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้เป็นใครกันแน่” คนข้างกายค่อยๆ ทยอยเปิดปากถาม เดิมทีเซี่ยตงมีความหวังจะได้เป็นหัวหน้าผู้ดูแลของจวนอวี้อ๋องมากที่สุด แต่ตอนที่พวกเขาถูกประทานให้อวี้อ๋อง ท่านอ๋องกลับไม่ได้ตัดสินใจว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าผู้ดูแล ตำแหน่งนี้จึงว่างมาโดยตลอด ถึงอย่างไรจวนอวี้อ๋องก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่มากมายอะไรนักและไม่ได้มีเรื่องใดที่ไม่สะดวกด้วย ทว่าอยู่ดีๆ กลับปรากฏตัวเด็กน้อยไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งมาเป็นหัวหน้าผู้ดูแล ทุกคนย่อมไม่มีทางจำนนอยู่แล้ว
เซี่ยตงสีหน้าดูไม่สู้ดีนัก ทำได้เพียงส่ายศีรษะกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าท่านอ๋องจะมีเพื่อนแบบนี้ด้วย”
ผู้ดูแลเซี่ยพูดจาเกรงใจเกินไปแล้ว เพราะเดิมทีท่านอ๋องไม่มีเพื่อนสักคนด้วยซ้ำ
หนึ่งในนั้นกล่าว “ดูจากท่าทางของคุณชายกู้แล้วไม่เหมือนคนเมืองหลวงเลย” หากในเมืองหลวงมีบุคคลหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นสักคนขนาดนี้ ต่อให้ภูมิหลังตระกูลเป็นคนธรรมดาก็เกรงว่าคงดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองแล้ว
คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้าเห็นด้วยตามๆ กัน พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้มาก่อน
“หรือว่าเป็นคนที่ท่านอ๋องเพิ่งรู้จักจริงๆ”
หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่านอ๋องก็สร้างเรื่องวุ่นวายมากพอตัว
“พวกเราควรทำเช่นไรดี หรือต้องยอมรับเจ้าเด็กนั่นว่าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนแล้วจริงๆ หรือ”
“หากไม่ยอมรับแล้วจะทำอันใดได้เล่า วิธีการของท่านอ๋องใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นมาก่อน”
“พูดถูก หากไม่ยอมรับแล้วจะทำอันใดได้เล่า” มีคนถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ได้แค่ติดตามรับใช้องค์ชายคนหนึ่งเช่นนี้ ชีวิตเราจะยังมีความหวังใดอีกหรือ
เซี่ยตงมองประตูใหญ่ของห้องหนังสือที่ปิดสนิทแวบหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อนแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ในเมื่อเขากล้ารับหน้าที่นี้ก็คงมีความสามารถใดบ้างแหละ หากไม่รอดจริงๆ ต่อให้ท่านอ๋องปกป้องเขา เขาก็ต้องไปเองอยู่ดี”
ทุกคนผงะไปแล้วอดแลกเปลี่ยนสายตาที่แฝงเลศนัยบางอย่างไม่ได้ เซี่ยตงพูดถูก ตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลจวนใช่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่แค่อยู่ว่างๆ จิบชาพูดคุยเดินเล่นในสวนได้เสียเมื่อไร หากไม่มีความสามารถ เรื่องรุมเร้ามากมายในแต่ละวันคงบีบจนทำให้เขาเป็นบ้าได้ด้วยซ้ำ เจ้าเด็กสกุลกู้กล้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเองก็ต้องแสดงความสามารถให้พวกเขาเห็นถึงจะถูก ในเมื่อหากไม่รู้จักประมาณตนก็ควรฉวยโอกาสตอนที่รู้ว่าความสามารถตัวเองไม่ถึงรีบหลบออกไปเสีย
พอมอบหมายตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลจวนให้มู่ชิงอีเรียบร้อยแล้วก็ทิ้งเหล่าผู้ดูแลจวนคนอื่นๆ ให้นิ่งตะลึงค้างไปเช่นนั้น จากนั้นหรงจิ่นก็ลากตัวมู่ชิงอีเข้ามาด้านในอย่างอารมณ์ดี
โครงสร้างของจวนอวี้อ๋องแตกต่างจากจวนอ๋องคนอื่นๆ เพราะมันเหมือนสวนป่าไม้ที่วิจิตรงดงามแห่งหนึ่งมากกว่า ดังนั้นเรือนต่างๆ ในจวนอ๋องจึงไม่ได้ใช้โครงสร้างจัดสรรแบ่งส่วนอย่างเป็นระเบียบ ทว่ากลับสร้างโดยยึดภูมิทัศน์จากความว่างเปล่าเป็นหลัก อย่างเช่นสวนของเรือนใหญ่ที่ใช้พักผ่อนหย่อนใจของหรงจิ่นเองก็มีทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ด้านหลังด้วย เพียงแต่ขนาดพื้นที่ทะเลสาบของเรือนแห่งนี้ใหญ่พอๆ กับจวนอ๋องทั่วไปแล้ว ไม่แปลกใจที่ความโปรดปรานเช่นนี้ของฝ่าบาทถึงทำให้องค์ชายคนอื่นต่างไม่ชอบขี้หน้าหรงจิ่นนัก
เรือนของมู่ชิงอีตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามสวนพักผ่อนหย่อนใจแห่งนี้ เป็นเรือนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง...ชื่อว่าเรือนชิงหนิง เพราะระหว่างกลางมีทะเลสาบนั้นคั่นไว้แต่ขนาดไม่ใหญ่นัก ดังนั้นทั้งสองเรือนจึงห่างกันราวยี่สิบกว่าจั้ง กลางทะเลสาบยังมีศาลาเล็กๆ ตั้งอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีทางเดินเหนือทะเลสาบที่ทำจากไม้สองท่อนเชื่อมต่อระหว่างสองเรือนนี้
เห็นได้ชัดว่าเรือนแบบนี้ไม่ใช่ที่พักสำหรับหัวหน้าผู้ดูแลเลย แต่ว่าหรงจิ่นกลับไม่สนใจคำคัดค้านของคนอื่นแล้วลากมู่ชิงอีเลี้ยวเข้ามาในเรือนชิงหนิงด้วยท่าทีตื่นเต้น
เพราะเรือนชิงหนิงอยู่ติดกับสวนพักผ่อนหย่อนใจของหรงจิ่นเลยงดงามและสงบเป็นพิเศษ ถึงแม้จะเข้าเดือนเก้าแล้ว แต่ทั่วทั้งภายในเรือนยังคงมีดอกไม้แปลกๆ นานาชนิดหลากสีเบ่งบานสะพรั่งอยู่ กระทั่งในสวนหย่อมหน้าห้องหนังสือยังก็มีต้นไผ่สีเขียวมรกตอยู่ด้วย ส่วนภายในห้องถูกออกแบบตกแต่งเรียบง่ายงดงามเช่นกัน การตกแต่งให้กลิ่นอายเหมือนจวนตระกูลของบัณฑิตในแคว้นหวา ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจตกแต่งเช่นนี้