“ข้าอยู่นี่” หรงจิ่นรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าก่อนนั่งลงพลางใช้แววตาน่าสงสารจับจ้องไปทางมู่ชิงอี
มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยท่าทีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ที่แท้ท่านก็รู้ด้วยหรือว่ากระหม่อมไม่ได้ออกจากห้องหนังสือมาสามวันแล้ว”
“นี่ข้าก็มาเยี่ยมเยียนชิงชิงแล้วมิใช่หรือ” หรงจิ่นเองก็สัมผัสได้ถึงรังสีอันตรายเช่นกัน เลยรีบยิ้มกว้างอย่างเอาใจ มู่ชิงอียิ้มเยาะเอ่ย “ในเมื่อท่านว่างมากขนาดนี้ สู้พวกเรามาถกปัญหากันไม่ดีกว่าหรือ”
“ปัญหาเรื่องใด” หรงจิ่นเอ่ยอย่างฉงนใจ
“อย่างเช่น…กิจการภายใต้นามของท่าน รวมถึงทรัพย์สินตอนที่ท่านยังมีศักดิ์เป็นองค์ชายในวังอยู่ เหตุใดในสามปีมานี้ถึงไม่ได้จัดการอะไรเลย หรืออย่างเช่น…เหตุใดเกือบจะหนึ่งเดือนแล้วแต่ของที่ได้รับพระราชทานตอนที่ท่านออกจากวังมาถึงยังกองอยู่ตรงนั้นอีก และอย่างเช่น…เหตุใดจดหมายแสดงความยินดีกองนี้ถึงยังไม่ตอบกลับไปเลยสักใบ!”
มู่ชิงอีเอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากจะโทษก็ต้องโทษที่ใครบางคนเสแสร้งแกล้งโง่จนเกินเหตุ จวนอวี้อ๋องเพิ่งถูกสร้างใหม่ เหล่าองค์หญิงองค์ชายขุนนางเครือญาติในเมืองหลวงย่อมต้องส่งของกำนัลส่งจดหมายมาแสดงความยินดีอยู่แล้ว แต่จวนอวี้อ๋องรับน้ำใจมาโดยไม่แสดงท่าทีใดกลับไปเลย อย่าว่าแต่จัดงานเลี้ยงขอบคุณ เพราะแม้แต่จดหมายแสดงความยินดียังไม่ตอบกลับสักฉบับ ดูจากแค่เรื่องนี้แล้ว หรงจิ่นยังคิดจะช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทอีกหรือ แบบนี้จะช่วงชิงได้อย่างไรเล่า ต่อให้ฝีดาบของคุณชายอวิ๋นอิ่นปลิดชีพองค์ชายคนอื่นๆ จนเกลี้ยงก็ใช่ว่าเหล่าขุนนางใหญ่จะยอมจำนนต่อเขาสักหน่อย
หรงจิ่นกะพริบตาปริบๆ “ของพวกนั้นต้องจัดการด้วยหรือ เสด็จพ่อตรัสว่าขอแค่ข้าเล่นอย่างมีความสุขก็พอ เรื่องอื่นย่อมมีคนช่วยจัดการให้อยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น คนที่จะช่วยท่านจัดการอยู่ที่ไหนเล่า” มู่ชิงอีกัดฟันเอ่ยถาม
“เหอะ” หรงจิ่นครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยอย่างละอายใจ “ถูกข้าฆ่าตายไปแล้ว” หากไม่ฆ่าเขาแล้วจะเก็บตำแหน่งนี้ไว้ให้ชิงชิงได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเจ้านั่นยังเป็นสายลับที่คนอื่นส่งมาอยู่ในจวนเขาอีกต่างหาก
มู่ชิงอีหยิบสมุดบัญชีกองหนึ่งบนโต๊ะโยนไปให้ “ท่านต้องอ่านสมุดบัญชีพวกนี้ให้เสร็จภายในวันนี้!”
หรงจิ่นเผยสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันทีแล้วถือสมุดบัญชีกองนั้นอย่างไม่ชอบใจนัก นี่เขามาชวนชิงชิงออกไปเที่ยวนะ!
ทว่าภายใต้แววตาเย็นชาของชิงชิง หรงจิ่นจึงตัดสินใจทำเรื่องที่สร้างความพอใจให้ชิงชิงก่อนแล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันจะดีกว่า เซวียเริ่นมองเจ้านายน้อยของตนที่ถือสมุดบัญชีหนาปึกกองนั้นเดินไปยังโต๊ะหนังสืออีกตัวด้านข้างด้วยท่าทีตกตะลึง กระทั่งขยี้ตามองอย่างเหลือเชื่อ จากนั้นก็ยังคงเห็นเจ้านายน้อยนั่งลงตรงโต๊ะด้านข้างพลางเริ่มพลิกเปิดสมุดบัญชีแล้ว คนรับใช้เก่าแก่ที่จงรักภักดีพลันรู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาแทบไหล
ตอนที่เจ้านายน้อยยังวัยเยาว์ก็ฉลาดหลักแหลมไม่น้อย ไม่รู้เหตุใดพอยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งเกียจคร้านทำแต่เรื่องไร้สาระขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดตอนนี้เจ้านายน้อยก็ปรับปรุงแก้ไขตัวแล้วหรือ หากเป็นเช่นนี้จริง วันหน้าหากเขาตายถูกฝังลงดินไปก็ยังพอจะให้ความกระจ่างแก่กุ้ยเฟยได้บ้าง
“ใครก็ได้มานี่ที” มู่ชิงอีหันไปมองใครบางคนที่ตั้งใจอ่านสมุดบัญชีพลางยู่ปากหน้าบึ้งด้วยสายตาเรียบนิ่ง จากนั้นก็เรียกหาคนโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
บ่าวรับใช้ที่รอรับใช้ตรงหน้าประตูก็รีบเดินเข้ามาฟังคำสั่ง
“ไปเชิญเหล่าผู้ดูแลมาที” มู่ชิงอีเอ่ยสั่งออกไป
“ขอรับ”
สักพักเหล่าผู้ดูแลก็ทยอยกันมาถึง มู่ชิงอีสั่งให้คนพาพวกเขาไปนั่งที่โถงรับแขกที่เชื่อมต่อกับห้องหนังสือ โถงรับแขกเล็กๆ กับห้องหนังสือเชื่อมต่อกันโดยมีเพียงตู้ชั้นวางของที่วางของล้ำค่าโบราณประดับเรียงรายกั้นไว้แถวหนึ่ง ไม่ว่าจะด้านในมองออกมาด้านนอกหรือด้านนอกมองเข้าไปด้านในต่างก็มองเห็นกันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
พวกผู้ดูแลที่ทยอยมาถึงก่อนหลังย่อมมองเห็นอวี้อ๋องที่กำลังสู้รบกับสมุดบัญชีกองโตด้านในอยู่แล้ว พวกเขาจึงอดมองหน้ากันด้วยท่าทีตกตะลึงไม่ได้ ใครต่างก็รู้ดีว่าอวี้อ๋องเลื่องชื่อว่าเป็นคนไม่สนใจเรื่องใด กระทั่งเรื่องในมือที่ต้องจัดการแต่ปาไปสามถึงห้าปีแล้วยังไม่จัดการก็มีด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าผู้ดูแลคนใหม่จะทำให้ท่านอ๋องอ่านสมุดบัญชีได้ เกรงว่าหากมองจากจุดนี้แล้วคนผู้นี้กลับไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
รอกระทั่งทุกคนมากันเกือบครบแล้ว มู่ชิงอีถึงวางพู่กันในมือลงแล้วเดินออกไป
“คารวะหัวหน้าผู้ดูแล” ถึงแม้ภายในใจจะยังไม่ยอมรับหัวหน้าผู้ดูแลที่ยังอ่อนเยาว์เกินไปอย่างมู่ชิงอีนัก แต่ไม่ว่าเช่นไรต่อหน้าท่านอ๋องก็ต้องให้เกียรติเขาบ้าง
“เชิญทุกคนนั่งลงเถิด” มู่ชิงอีโบกมือเบาๆ แล้วเดินมานั่งตรงเก้าอี้ตำแหน่งหน้าสุดในโถงรับแขก กระทั่งบ่าวรับใช้ส่งถ้วยชาให้ มู่ชิงอีก็ยังก้มหน้าครุ่นคิดบางอย่าง นิ่งเงียบอยู่นาน
ตอนแรกทุกคนยังยอมเสียเวลาไปกับนางบ้าง แต่หลังๆ เริ่มชักหมดความอดทน พวกเขารู้สึกว่าหัวหน้าผู้ดูแลหนุ่มน้อยมาใหม่คนนี้กำลังจงใจทำให้พวกเขาเสียเวลา
“ไม่ทราบว่าหัวหน้าผู้ดูแลเรียกพวกข้ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ ในมือ…ของพวกข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ” บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่แววตาเฉียบคม ความเย่อหยิ่งฉายชัดผ่านแววตาลุกขึ้นกล่าว ความหมายในคำพูดนั้นสื่ออย่างชัดเจนว่า หากหัวหน้าผู้ดูแลว่างมากอาจเรียกทุกคนมายื่นโง่ๆ เป็นเพื่อนท่านได้ แต่พวกเขาเหล่านี้กลับยังมีธุระที่ต้องจัดการอยู่อีก
“หืม” มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “มีเรื่องที่ต้องจัดการหรือ พอดีเลยข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องจัดการเช่นกัน รอข้าจัดการเสร็จแล้ว ทุกคนก็กลับไปได้ คิดว่าวันหน้าทุกคนทำอะไร…คงจะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้บ้าง”
บุรุษวัยกลางคนกวาดตามองมู่ชิงอีอย่างหัวเสียแล้วเอ่ย “ไม่ทราบว่าหัวหน้าผู้ดูแลอยากสั่งงานอะไรหรือ”
มู่ชิงอีหยิบสมุดพับเล่มหนึ่งขึ้นมาอย่างเนิ่บนาบแล้วอ่านรายชื่อยาวเป็นพรวนด้วยท่าทีสงบ จากนั้นก็กวาดตามองทุกคนแวบหนึ่งเอ่ย “คนที่ถูกอ่านรายชื่อเมื่อครู่ พวกเจ้าถูกไล่ออกแล้ว”
“อะไรนะ!” ทุกคนต่างก็ตกตะลึง เรื่องแรกที่หัวหน้าผู้ดูแลจัดการหลังได้รับตำแหน่งก็คือไล่คนเกือบหนึ่งในสามของผู้ดูแลออก ต่อให้จะเห่อตำแหน่งใหม่ขนาดไหนแต่ไม่ต้องถึงขั้นสร้างเรื่องใหญ่โตขนาดนี้กระมัง
“มีสิทธิ์อะไรกัน” บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกอย่างเดือดดาล เพราะเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกไล่ออกเช่นกัน
“มีสิทธิ์อะไรอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วเอ่ยยิ้มบางกล่าว “ข้าตรวจสอบดูแล้ว ทั้งนอกและในจวนของจื้ออ๋องมีผู้ดูแลทั้งหมดยี่สิบเจ็ดคน จวนจวงอ๋องยี่สิบเอ็ดคน จวนตวนอ๋องยี่สิบสามคน อีกทั้งจวนของอ๋องและองค์ชายคนอื่นๆ ต่างก็มีแค่สิบหกสิบเจ็ดคนถึงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น ข้าหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ ว่าเหตุใดจวนอวี้อ๋องถึงมีคนตั้งสามสิบเก้าคน”
“เรื่องนี้…ก็ต้องเป็นเพราะกิจการของอวี้อ๋องมีมากอยู่แล้ว” บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นอึกอักแต่ก็เค้นหาข้ออ้างที่แสนแข็งทื่อออกมาได้
“ความจริงก็มากอยู่หรอก” มู่ชิงอีโยนสมุดในมือทิ้งไปก่อนจะคว้าอีกเล่มด้านข้างขึ้นมาเอ่ย “ภายใต้นามของจวนอวี้อ๋องมีหมู่บ้านหลวงอยู่สี่แห่ง กิจการร้านค้าสามสิบเอ็ดแห่ง ไร่นาหกแห่ง ผู้ดูแลที่จัดการเรื่องกิจการเหล่านี้มีทั้งหมดยี่สิบหกคน เรื่องนี้ยังพอช่างมันได้ แต่หมู่บ้านหลวงหนึ่งแห่ง กิจการร้านค้าสิบเอ็ดแห่งและไร่นาสามแห่งล้วนเป็นสมบัติที่กุ้ยเฟยทิ้งไว้ นานสุดไม่ได้จัดการเรื่องบัญชีถึงหกปี ส่วนกิจการที่ฝ่าบาทเพิ่งพระราชทานให้จนถึงตอนนี้ผ่านมาได้หนึ่งเดือนแล้วแต่พวกเจ้ากลับส่งสมุดบัญชีที่ยังไม่สมบูรณ์มาให้ กระทั่งรายละเอียดที่ชัดเจนก็ยังไม่มี จวนอวี้อ๋องจะเก็บพวกเจ้าเอาไว้ทำไมเล่า”
“คือว่า…” ทุกคนพลันหน้าซีดจนดูไม่ได้ พวกเขาเห็นว่าหลายวันมานี้กู้หลิวอวิ๋นนิ่งสงบไม่มีท่าทีใด อีกทั้งยังหลงคิดว่าเป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่รู้เรื่องใดเลยคนหนึ่งเท่านั้น วันๆ เอาแต่เรื่องไร้สาระเล็กน้อยไปก่อกวนเขาก็ไม่เห็นจะปะทุความโกรธใดขึ้นมาจึงยิ่งกำเริบเสิบสาน คิดไม่ถึงว่ากู้หลิวอวิ๋นจะเข้าใจทุกเรื่องทั้งนอกและในจวนอ๋องได้อย่างถ่องแท้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวันเท่านั้น เกรงก็แต่ตัวท่านอ๋องเองคงรู้ไม่เท่าเขาด้วยซ้ำ