มู่ชิงอีเองก็ไม่มองสีหน้าของใครเลยสักคน เอ่ยต่อเสียงเรียบว่า “เรื่องนี้ช่างมันเถิด ข้าจะถือว่าพวกเจ้างานยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องบัญชี ผู้ดูแลหวัง ตลอดหนึ่งปีมานี้หอวั่งซิงภายใต้การดูแลของเจ้าไม่มีกำไรเลย บอกข้าได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”
ผู้เฒ่าเส้นผมสีขาวโพลนคนหนึ่งยืนขึ้นพร้อมร่างโงนเงนกล่าว “คือว่า…หัวหน้าผู้ดูแลโปรดอะลุ่มอล่วยด้วยเถิด กิจการตอนนี้…”
มู่ชิงอีพูดขัดเขาอย่างไร้ซึ่งความปรานี “ข้ารู้แล้วว่าค้าขายยาก”
ผู้ดูแลหวังผู้นั้นแววตาเป็นประกาย ขณะที่กำลังจะพยักหน้า เสียงเย็นยะเยือกของมู่ชิงอีก็ดังขึ้น “ในเมื่อค้าขายยากเย็นนักก็เลิกทำเสีย ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปก็ปิดหอวั่งซิงนี้ไปเลย ส่วนเจ้า…ก็กลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเถิด”
ผู้ดูแลหวังตกใจยกใหญ่แล้วรีบเอ่ย “นี่…นี่จะเป็นไปได้เช่นใดกัน ข้า…ข้า” หอวั่งซิงไม่ได้ไร้กำไรดั่งที่เขาบอกเลยสักนิด ถึงแม้หอวั่งซิงจะไม่ได้เป็นโรงน้ำชาที่ดีที่สุดในเมืองหลวง แต่ก็ถือว่ากิจการเป็นไปด้วยดีไม่น้อย แล้วจะไม่มีกำไรเลยสักนิดจริงๆ ได้อย่างไร
มู่ชิงอีแค่นเสียงเบาเอ่ย “จำไว้ว่าก่อนที่เจ้าจะไปต้องหาเงินที่เจ้ายักยอกไปตลอดสองสามปีนี้มาชดใช้คืนด้วย เห็นแก่ที่เจ้าจัดการเรื่องในหอวั่งซิงแทนท่านอ๋องมาสิบกว่าปี ข้าจะไม่ถือความเอาผิดเจ้าแล้วกัน” มนุษย์เราตายเพราะเงินทอง นกตายเพราะอาหารจริงๆ เป็นถึงองค์ชายท่านอ๋องแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อคนเบื้องล่างก็เอาเปรียบได้ไม่ต่างกัน
“เงิน…เงินอะไรกัน” ผู้ดูแลหวังสีหน้าเปลี่ยนไป “หัวหน้าผู้ดูแลกู้อย่ามาใส่ความข้าเชียว ข้าไปยักยอกเบี้ยหวัดของหอวั่งซิงตั้งแต่เมื่อใดกัน”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นด้วยความหงุดหงิดแล้วจับจ้องผู้เฒ่าที่ร้องห่มร้องไห้น้ำตากระเด็นตรงหน้าพลางกรีดร้องว่าถูกใส่ความไม่หยุด หากเป็นกู้อวิ๋นเกอเมื่อสี่ปีก่อนคงรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าคนที่บีบน้ำตาร้องไห้ต่อหน้าเจ้านายอย่างน่าสงสารแต่พอหมุนตัวออกไปข้างนอกจะเบ่งอำนาจใหญ่โตเช่นไร อีกทั้งคนตรงหน้าก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างนั้นด้วย
พลั่ก! สมุดบัญชีในมือของมู่ชิงอีถูกฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรง กระทั่งทุกคนที่นั่งอยู่ยังอดตกใจไม่ได้ แม้แต่ผู้ดูแลหวังที่ร้องไห้ฟูมฟายเอาศีรษะโขกพื้นยังอดสะดุ้งตามไปด้วยไม่ได้
จากนั้นก็เห็นเพียงหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาสีหน้าราบเรียบในชุดสีขาวยิ้มเยาะเอ่ย “ใส่ความให้ร้ายนักใช่ไหม หลายปีมานี้หอวั่งซิงไม่มีรายรับเข้ามาเลย ทว่าผู้ดูแลหวังมีเงินไปหาซื้อที่ดิน ตบแต่งอนุสาวงามได้เป็นกลุ่ม ได้ยินว่างานเลี้ยงอายุครบหกสิบเมื่อเดือนก่อนของผู้ดูแลหวังจัดโต๊ะถึงหกสิบโต๊ะ ช่างมีหน้ามีตาเสียจริงๆ ท่านอ๋องไม่สนใจพวกเจ้า พวกเจ้าก็คิดว่าทุกคนในใต้หล้านี้จะตาบอดไปแล้วหรืออย่างไรกัน”
“ข้า…” ผู้ดูแลหวังมองหรงจิ่นที่กำลังตั้งอกตั้งใจอ่านสมุดบัญชีในห้องหนังสือแวบหนึ่ง ฉับพลันสีหน้าก็แดงก่ำด้วยความโมโห เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหรงจิ่นมีนิสัยไม่สนใจใคร พวกเขาถึงใจกล้ายื่นมือเข้ามายักยอกทรัพย์สินขององค์ชาย แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ท่านอ๋องกลับพาตัวหนุ่มน้อยไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นหัวหน้าผู้ดูแลเสียได้ อีกทั้งยังเป็นคนเก่งกาจคนหนึ่งอีกต่างหาก
มู่ชิงอีมองเขาด้วยสายตาเย็นชาเอ่ย “รีบหาเงินมาคืนภายในห้าวันนี้ จากนั้นเจ้าก็กลับไปใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายที่บ้านได้แล้ว ข้าเห็นแก่ที่เจ้าเป็นคนเก่าคนแก่รับใช้ท่านอ๋องมาเลยให้เกียรติเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ผู้ดูแลหวังจะกล้าพูดอะไรได้อีก เขาแค่ผงกศีรษะด้วยท่าทีตื่นตระหนกแล้วล้มตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างกาย
“หัวหน้าผู้ดูแล เรื่องที่ผู้ดูแลหวังยักยอกรายรับในกิจการและติดหนี้สินเกี่ยวอันใดกับพวกข้าด้วย หัวหน้าผู้ดูแลทำเช่นนี้ พวกข้าไม่ยอมหรอกนะ!” มีคนลุกขึ้นพลางกัดฟันเอ่ย
มู่ชิงอีหรี่ตาพลางสำรวจคนที่พูดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ผู้ดูแลหลัว ผู้ดูแลหมู่บ้านนอกเมืองใช่หรือไม่”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเผยท่าทีหยิ่งผยอง “ใช่แล้ว ข้าเอง ข้าไม่เคยติดหนี้สินและยักยอกเบี้ยหวัดใดทั้งสิ้น หัวหน้าผู้ดูแลโปรดให้คำชี้แนะด้วย”
“คำชี้แนะหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “เจ้าไม่เคยติดหนี้สินใด ส่วยของทุกปีเจ้าก็ส่งมอบได้ตรงตามเวลา แต่…ผู้ดูแลหลัวบอกข้าได้หรือไม่ว่าหลังจากที่เจ้ารับช่วงต่อเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านแล้ว เหตุใดในสี่ปีนี้กลับมีคนตายถึงยี่สิบห้าคนได้เล่า”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยแล้วรีบเอ่ย “เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ มีที่ใดที่ไม่มีคนตายบ้าง?”
มู่ชิงอีเผยรอยยิ้มเย็นชาพลางจับจ้องแววตาคู่นั้นของผู้ดูแลหลัวราวกับมองคนตายก็มิปาน “เกิดแก่เจ็บตายหรือ ผู้ดูแลหลัวบอกข้าได้หรือไม่ว่าพวกเขาแก่ตายหรือป่วยตายกันแน่ หมู่บ้านหนึ่งมีทั้งหมดยี่สิบสามสิบครัวเรือน ร้อยสองร้อยคนเท่านั้น แต่ภายในสี่ปีกลับตายไปยี่สิบกว่าคน อีกทั้งยังเป็นเด็กวัยรุ่นและวัยกลางคนทั้งสิ้น หรือผู้ดูแลหลัวไม่ควรจะให้ความกระจ่างแก่ข้าบ้างเลยหรือ”
“อะไร…ความกระจ่างใดกัน ข้าไม่เข้าใจว่าหัวหน้าผู้ดูแลหมายความว่าอะไร” จากสีหน้าผยองในเดิมทีของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดเซียวในทันที ไม่แม้แต่จะกล้าสบตามู่ชิงอีด้วยซ้ำ
ครั้นมู่ชิงอีเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของคนตรงหน้าจึงหันกลับไปกวาดตามองหรงจิ่นแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์นัก หากไม่ใช่เพราะเขาสะเพร่าในการดูแลแล้วจะมีคนเลวโผล่มาแบบนี้ได้เช่นไร พอหรงจิ่นสัมผัสได้ถึงแววตาของมู่ชิงอีก็รีบส่งยิ้มเอาใจให้นางทันที ทว่าได้รับเพียงสายตาเหนื่อยหน่ายใจของมู่ชิงอีส่งกลับมาเท่านั้น
“เข้ามา!” เมื่อเห็นว่าให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับ มู่ชิงอีจึงเอ่ยเรียกเสียงเย็นยะเยือก
“คุณชาย” อู๋ซินรีบพุ่งตัวเข้ามาจากด้านนอกแล้วกวาดตามองผู้ดูแลหลัวที่อยู่ในโถงรับแขกด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็เอากองกระดาษหนาปึกที่ทับซ้อนกันส่งไปให้มู่ชิงอี มู่ชิงอีเหลือบมองด้วยท่าทีรังเกียจแวบหนึ่งและไม่แม้แต่จะแตะต้อง “ส่งให้เขาดูเองเถิด”
อู๋ซินพยักหน้าแล้วยัดกองกระดาษนั้นใส่อ้อมแขนของผู้ดูแลหลัวอย่างไม่นึกเกรงใจ ผู้ดูแลหลัวมองสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของตนด้วยท่าทีหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่ามีหลายคนพอจะรู้แล้วว่ามันคืออะไร ภายใต้สายตาที่จับจ้องอยู่ของทุกคนเลยทำได้แค่ใช้มือที่สั่นเทาค่อยๆ เปิดอ่าน จากนั้นก็เห็นว่าในนั้นเป็นเรื่องทั้งหมดที่ตนเคยกระทำหลังจากเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านมาตลอดหลายปี ทุกเรื่องราวยังจดจำได้อย่างชัดเจน ในนั้นยังมีคำให้การและลายมือประทับตราของผู้เคราะห์ร้ายและญาติพี่น้องมากมายประกอบด้วย
ที่แท้ผู้ดูแลหลัวผู้นี้ไม่ได้เป็นพวกโลภทรัพย์สินและไม่ชอบการพนันใดๆ ทั้งสิ้น ทว่ากลับมีโรคหื่นกามเพียงอย่างเดียว เดิมทีไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยเพราะในเมืองหลวงเต็มไปด้วยแสงสีย่อมมีสาวงามมากมาย แต่ผู้ดูแลหลัวไม่ได้แค่หื่นกามเท่านั้น อีกทั้งยังชื่นชอบเฉพาะสาวบริสุทธิ์ที่ขาวสะอาดไร้ตำหนิ เพราะเหตุนี้หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่เขาเป็นคนดูแลจึงต้องเผชิญเคราะห์ร้าย
มีหญิงสาวมากมายหลายครอบครัวถูกเขากระทำชำเรา หญิงสาวบางคนอารมณ์วู่วามจึงฆ่าตัวตายทันทีในคืนนั้น ครอบครัวของหญิงสาวเหล่านั้นย่อมไม่ยอมง่ายๆ อยู่แล้ว เพียงแต่ผู้ดูแลหลัวอาศัยว่าตนเป็นตัวแทนดูแลกิจการขององค์ชายเลยกลบข่าวทั้งหมดไว้เอง
มีครั้งหนึ่งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือคู่หมั้นและเหล่าพี่น้องของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายคนหนึ่งบุกถึงบ้านของผู้ดูแลหลัว แต่กลับถูกฆ่าตายที่นั่น ครั้งเดียวตายไปหกเจ็ดคน แต่หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปคนคนนี้กลับไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ยิ่งผยองโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้เข้ามาในจวนอวี้อ๋อง มู่ชิงอีเองก็ไปนั่งตามร้านอาหารและโรงน้ำชาบ้างเป็นครั้งคราวเลยได้ยินข่าวซุบซิบมาไม่น้อย องค์ชายเก้าไม่ได้มีชื่อเสียงย่ำแย่แค่เรื่องนิสัยที่ไม่ดีเท่านั้น แต่ชื่อเสียงของลูกน้องในมือก็เสื่อมเสียไม่แพ้กัน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุด้วยที่ทำให้เขามีชื่อเสียงเสื่อมเสีย ซึ่งพวกลูกน้องก็ไม่มีใครสนใจเขาเพราะว่าเมื่อก่อนหากไม่มีรับสั่งจากฮ่องเต้ หรงจิ่นจะออกนอกได้วังนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญ และยิ่งไม่มีใครสนใจเพราะเดิมทีองค์ชายไม่มีทางไปถามไถ่เรื่องกิจการเหล่านี้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว หากลูกน้องในมือคิดจะปกปิดล่ะก็ คนที่อยู่ในวังย่อมไม่มีทางรู้เรื่องใดแน่นอน คนทั่วไปจึงรู้เพียงว่าสัตว์เดียรัจฉานพวกนี้เป็นฝีมือของคนองค์ชายเก้า อีกทั้งองค์ชายเก้ายังต้องเป็นฝ่ายรับคำด่าทอแทนอีกต่างหาก