แน่นอนว่ามู่ชิงอีไม่มีความเห็นใจใดๆ ให้กับหรงจิ่นทั้งสิ้น เพราะหรงจิ่นเองก็มีส่วนสะเพร่าในเรื่องนี้เช่นกัน เดิมทีคนเลวๆ อย่างผู้ดูแลหลัวไม่ควรมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ
ครั้นเห็นมือคู่นั้นของผู้ดูแลหลัวสั่นไม่หยุด มู่ชิงอีก็เปิดปากถามขึ้น “ดูเสร็จหรือยัง มีอะไรจะพูดหรือไม่”
“นี่…นี่ใส่ความกันชัดๆ!” ผู้ดูแลหลัวเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ข้าจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง ไม่ได้มี…”
“เรื่องที่เจ้าก่อเรื่องเลวทรามเกี่ยวอะไรกับความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อท่านอ๋องด้วยหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยตัดบทเขาเสียงเย็นเฉียบ “จวนอวี้อ๋องต้องการคนที่มีใจจงรักภักดี มิใช่สัตว์เดียรัจฉานที่มีใจจงรักภักดี ในเมื่อเจ้าพร่ำบอกว่าตนมีใจจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง ข้าเองก็จะไว้หน้าเจ้าโดยไม่ส่งเจ้าไปศาลเช่นกัน ใครก็ได้เข้ามาที!”
“หัวหน้าผู้ดูแลขอรับ” มีองครักษ์ของจวนสองสามคนนิ่งเงียบรอฟังคำสั่งอย่างนอบน้อมอยู่ด้านนอกประตูนานแล้ว มู่ชิงอีชี้ไปทางผู้ดูแลหลัวผู้นั้นเอ่ย “ลากตัวไป โบยหนักๆ ตรงหน้าห้องหนังสือสักร้อยที หากยังไม่ตายก็ส่งตัวไปทางหมู่บ้าน บอกว่าเป็นรับสั่งจากท่านอ๋อง เพื่อจัดการตามความต้องการของชาวบ้านในหมู่บ้าน”
องครักษ์เข้าใจทันที ในเมื่อหัวหน้าผู้ดูแลออกคำสั่งเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องเก็บลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้จนกว่าจะไปถึงหมู่บ้าน
“น้อมรับคำสั่งขอรับ”
สององครักษ์หยัดกายแล้วเอ่ยขึ้น จากนั้นก็ขนาบข้างซ้ายขวาหิ้วตัวผู้ดูแลหลัวลากออกไปด้านนอก
“ไม่…ไม่นะ…หัวหน้าผู้ดูแลโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” สุดท้ายผู้ดูแลหลัวก็นึกเกรงกลัวขึ้นมาบ้าง ในที่สุดก็เข้าใจว่าหัวหน้าผู้ดูแลคนใหม่ผู้นี้ใช้ตนลงโทษเป็นตัวอย่าง จึงรีบดิ้นพล่านเอ่ยเว้าวอน “ข้าสำนึกผิดแล้ว หัวหน้าผู้ดูแลโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
หรงจิ่นอวี้อ๋องที่อยู่ในห้องหนังสือยังคงจดจ่ออยู่กับสมุดบัญชีราวกับนั่นเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในโลกแล้วอย่างไรอย่างนั้น เวลานี้ทุกคนถึงเข้าใจทันที ไม่ว่าหัวหน้าผู้ดูแลกู้จะทำอะไร เกรงว่าท่านอ๋องคงไม่สนใจสักนิด
เพียงครู่เดียวแววตาที่จับจ้องไปทางมู่ชิงอีก็แฝงไปด้วยความใคร่รู้และหวาดกลัวไปพร้อมกัน
องครักษ์ลงมืออย่างรวดเร็ว ผู้ดูแลหลัวถูกยัดของบางอย่างใส่ปากเลยพูดไม่ได้อีก สักพักด้านนอกประตูก็มีเสียงโบย พลั่กๆ ดังแว่วมา
ประตูของโถงรับแขกไม่ได้ปิด ผู้ดูแลหลัวถูกโบยจนล้มกองลงบนพื้นนอกประตูห้องโถง คนที่นั่งติดประตูต่างเห็นไม้ยกขึ้นสูงโบยลงบนเนื้อหนังชัดเต็มสองตาโดยไม่มีความปรานีสักนิด เพียงชั่วครู่เสื้อผ้างดงามในเดิมทีของผู้ดูแลหลัวก็ถูกอาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด
มู่ชิงอีไม่รีบร้อนพูดอะไรต่อ เพียงแค่นั่งจิบชาพลางฟังเสียงร้องโอดครวญและเสียงไม้โบยด้วยท่าทีสงบพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อนางไม่เปิดปากพูดอะไร ชั่วขณะนั้นคนอื่นๆ เองก็ไม่กล้าโพล่งอะไรออกไปเช่นกัน พอได้ยินเสียงไม้โบยดังแว่วมาจากด้านนอกเป็นจังหวะ คนที่ขี้ขลาดหน่อยก็พานอดใจไม่ไหวเผยสีหน้าซีดเซียว ราวกับไม้นั้นไม่ได้โบยบนร่างของผู้ดูแลหลัวแต่โบยบนร่างตนอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดไม้ที่ใช้ทรมานคนก็หยุดลง ผู้ดูแลหลัวยังเก็บลมหายใจเฮือกสุดท้ายเมื่อครู่ไว้โดยไม่ทำให้ผิดหวัง จากนั้นก็ถูกลากกลับเข้ามาในโถงรับแขกพร้อมลมหายใจที่โรยริน
“หัวหน้าผู้ดูแล…ข้าผิดไปแล้ว…โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด” คนที่เผยสีหน้าอวดเบ่งวางอำนาจใหญ่โตเมื่อครู่ เวลานี้กลับเหลือเพียงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและวิงวอน ผู้ดูแลหลัวรู้แก่ใจดีว่าหากตนถูกส่งตัวกลับไปที่หมู่บ้านจริงๆ เขาต้องถูกคนที่โกรธแค้นเขาฆ่าตายแน่นอน ต่อให้คนพวกนั้นไม่ทำอะไร แต่ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ หากระหว่างทางได้รับแรงสะเทือนเขาต้องขาดใจตายแน่นอน
มู่ชิงอีหลุบตาลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ส่งตัวผู้ดูแลหลัวไปเถิด”
“ไม่นะ…หัวหน้าผู้ดูแล ไว้ชีวิตข้าด้วย!!!” ผู้ดูแลหลัวร้องเว้าวอนอย่างสิ้นหวัง ทว่าพอเงยหน้ามองเข้าไปนัยน์ตาอันเงียบสงบของมู่ชิงอีกลับชวนให้เขารู้สึกสิ้นหวังถึงขีดสุด เพราะนัยน์ตาของหนุ่มน้อยชุดขาวผู้นั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใดทั้งสิ้น ราวกับคนตรงหน้าไม่ใช่คนแต่เป็นสิ่งของที่ไร้ชีวิตชิ้นหนึ่งก็มิปาน อีกทั้งยังเป็นสิ่งของไร้ชีวิตชิ้นหนึ่งที่ชวนให้คนรังเกียจอีกด้วย
ชั่ววินาทีนั้นผู้ดูแลหลัวเข้าใจทันทีว่าหนุ่มน้อยผู้นี้อยากให้เขาตายมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรหรือทำอะไรก็เปลี่ยนจุดจบนี้ไม่ได้ “ไม่…ข้าไม่ไป…ปล่อยข้าไปเถิด”
องครักษ์ลากตัวเขาออกไปโดยไม่มีความเมตตาใดอีกครั้ง
“ปล่อยข้า…ไม่ไป” เสียงของผู้ดูแลหลัวไกลออกไปเรื่อยๆ ทุกคนมองหนุ่มน้อยรูปงามที่นั่งอยู่อย่างอดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน เดิมทีนึกว่าเขาเป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่รู้ความใดเลยคนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าวิธีการของหนุ่มน้อยผู้นี้จะรุนแรงและจิตใจโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ผู้ดูแลหวังที่แก่มากแล้วคนหนึ่งกับผู้ดูแลหลัวที่กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง คนหนึ่งชีวิตอนาถ ส่วนอีกคนต้องตาย นี่ต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องการแสดงอิทธิฤทธิ์ให้คนพวกนี้เห็น หากเทียบกันแล้วเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยที่พวกเขาก่อขึ้นในหลายวันมานี้สู้ไม่ได้เลยสักนิด
คนไม่น้อยต่างลอบสูดลมหายใจเข้าและสบสายตากันไปมา ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดอะไรอีก เพราะกลัวว่าจะเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ตัวเอง
หลังจากเห็นผู้ดูแลหลัวถูกลากออกไปแล้ว ภายในห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ราวกับทุกคนกำลังลอบตกตะลึงในใจ หัวหน้าผู้ดูแลมาใหม่คนนี้เหมือนอายุน้อยอ่อนหัด แต่คิดไม่ถึงว่าจะใจเหี้ยมขนาดนี้
มู่ชิงอีไม่รู้หรอกว่าคนพวกนี้ลอบก่นด่าอะไรในใจบ้าง เพียงฉีกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เงยหน้าแล้วกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาราบเรียบเอ่ย “ผู้ดูแลทุกท่านมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
ในที่สุดเซี่ยตงผู้ดูแลนอกจวนที่เงียบกริบมาตลอดก็ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาของทุกคน เอ่ยเสียงขรึม “ผู้ดูแลหวังและผู้ดูแลหลัวมีความผิดก็จริง แต่บทลงโทษของหัวหน้าผู้ดูแลกู้เกินกว่าเหตุไปหน่อยกระมัง ในเมื่อพวกเขาเป็นคนเก่าแก่ที่รับใช่ท่านอ๋องมาตั้งหลายปี”
หลังจากพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็เผยแววตาน่าสงสารขึ้นมาทันที พวกเขาล้วนเป็นผู้ดูแลภายใต้อาณัติของจวนอวี้อ๋อง ใครจะไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ผ่านมือมาบ้างเล่า ทุกคนย่อมกังวลว่าสองคนนั้นจะกลายเป็นตัวอย่างไว้ใช้สั่งสอนพวกเขา
มู่ชิงอีกวาดตามองเซี่ยตงด้วยท่าทีสงบ อายุเพียงสามสิบกว่าแต่สามารถขึ้นเป็นผู้ดูแลนอกจวนอวี้อ๋องได้ อีกทั้งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของผู้ดูแลทุกคนกลายๆ ด้วย เขาย่อมต้องเป็นคนมีความสามารถอยู่แล้ว อีกอย่างยังกล้ายืนขึ้นภายใต้การลงโทษที่แสนหนักหน่วงของนางอีกต่างหาก ดูท่าทางคนผู้นี้คงไม่มีจุดอ่อนใดให้เอาผิดได้แน่นอน
“พูดเช่นนี้…ผู้ดูแลเซี่ยไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของข้าหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
เซี่ยตงเอ่ยเสียงนิ่ง “หัวหน้าผู้ดูแลลงมือทีก็เอาถึงชีวิตแล้ว ทำอะไรขัดหลักการเช่นนี้คงยากที่ข้าจะเห็นด้วย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงไม่ชี้แนะกับข้าเล่า” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเรียบ
เซี่ยตงชะงักไป จากนั้นก็เงยหน้ามองมู่ชิงอีด้วยความตกใจ ทว่ากลับเห็นหนุ่มน้อยชุดขาวผู้นั้นมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีผ่อนคลายว่า “ในเมื่อผู้ดูแลเซี่ยนึกเห็นอกเห็นใจ เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ช่วยพูดแทนพวกเขาสองคนสักหน่อยเล่า หากข้าลงมือเหี้ยมโหดกว่านี้ ผู้ดูแลหลัวอาจจะสิ้นใจเลยก็ได้ ผู้ดูแลเซี่ยเพิ่งมาถกเถียงเอาตอนนี้…ช่างทำให้ข้ารู้สึกทึ่งมากจริงๆ”
“คือ…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เซี่ยตงกัดฟันเอ่ย มู่ชิงอียิ้มกล่าว “หากกล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าผู้ดูแลเซี่ยเห็นด้วยกับการตัดสินของข้าแล้วหรือ”
เวลานี้เซี่ยตงกลับตกที่นั่งลำบาก เขาตีหน้าขรึมเอ่ย “ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามที่หัวหน้าผู้ดูแลตัดสิน ข้าไม่กล้าพูดอะไรมากอยู่แล้ว”
แน่นอนว่ามู่ชิงอีไม่มีความเห็นใจใดๆ ให้กับหรงจิ่นทั้งสิ้น เพราะหรงจิ่นเองก็มีส่วนสะเพร่าในเรื่องนี้เช่นกัน เดิมทีคนเลวๆ อย่างผู้ดูแลหลัวไม่ควรมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ
ครั้นเห็นมือคู่นั้นของผู้ดูแลหลัวสั่นไม่หยุด มู่ชิงอีก็เปิดปากถามขึ้น “ดูเสร็จหรือยัง มีอะไรจะพูดหรือไม่”
“นี่…นี่ใส่ความกันชัดๆ!” ผู้ดูแลหลัวเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ข้าจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง ไม่ได้มี…”
“เรื่องที่เจ้าก่อเรื่องเลวทรามเกี่ยวอะไรกับความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อท่านอ๋องด้วยหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยตัดบทเขาเสียงเย็นเฉียบ “จวนอวี้อ๋องต้องการคนที่มีใจจงรักภักดี มิใช่สัตว์เดียรัจฉานที่มีใจจงรักภักดี ในเมื่อเจ้าพร่ำบอกว่าตนมีใจจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง ข้าเองก็จะไว้หน้าเจ้าโดยไม่ส่งเจ้าไปศาลเช่นกัน ใครก็ได้เข้ามาที!”
“หัวหน้าผู้ดูแลขอรับ” มีองครักษ์ของจวนสองสามคนนิ่งเงียบรอฟังคำสั่งอย่างนอบน้อมอยู่ด้านนอกประตูนานแล้ว มู่ชิงอีชี้ไปทางผู้ดูแลหลัวผู้นั้นเอ่ย “ลากตัวไป โบยหนักๆ ตรงหน้าห้องหนังสือสักร้อยที หากยังไม่ตายก็ส่งตัวไปทางหมู่บ้าน บอกว่าเป็นรับสั่งจากท่านอ๋อง เพื่อจัดการตามความต้องการของชาวบ้านในหมู่บ้าน”
องครักษ์เข้าใจทันที ในเมื่อหัวหน้าผู้ดูแลออกคำสั่งเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องเก็บลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้จนกว่าจะไปถึงหมู่บ้าน
“น้อมรับคำสั่งขอรับ”
สององครักษ์หยัดกายแล้วเอ่ยขึ้น จากนั้นก็ขนาบข้างซ้ายขวาหิ้วตัวผู้ดูแลหลัวลากออกไปด้านนอก
“ไม่…ไม่นะ…หัวหน้าผู้ดูแลโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” สุดท้ายผู้ดูแลหลัวก็นึกเกรงกลัวขึ้นมาบ้าง ในที่สุดก็เข้าใจว่าหัวหน้าผู้ดูแลคนใหม่ผู้นี้ใช้ตนลงโทษเป็นตัวอย่าง จึงรีบดิ้นพล่านเอ่ยเว้าวอน “ข้าสำนึกผิดแล้ว หัวหน้าผู้ดูแลโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
หรงจิ่นอวี้อ๋องที่อยู่ในห้องหนังสือยังคงจดจ่ออยู่กับสมุดบัญชีราวกับนั่นเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในโลกแล้วอย่างไรอย่างนั้น เวลานี้ทุกคนถึงเข้าใจทันที ไม่ว่าหัวหน้าผู้ดูแลกู้จะทำอะไร เกรงว่าท่านอ๋องคงไม่สนใจสักนิด
เพียงครู่เดียวแววตาที่จับจ้องไปทางมู่ชิงอีก็แฝงไปด้วยความใคร่รู้และหวาดกลัวไปพร้อมกัน
องครักษ์ลงมืออย่างรวดเร็ว ผู้ดูแลหลัวถูกยัดของบางอย่างใส่ปากเลยพูดไม่ได้อีก สักพักด้านนอกประตูก็มีเสียงโบย พลั่กๆ ดังแว่วมา
ประตูของโถงรับแขกไม่ได้ปิด ผู้ดูแลหลัวถูกโบยจนล้มกองลงบนพื้นนอกประตูห้องโถง คนที่นั่งติดประตูต่างเห็นไม้ยกขึ้นสูงโบยลงบนเนื้อหนังชัดเต็มสองตาโดยไม่มีความปรานีสักนิด เพียงชั่วครู่เสื้อผ้างดงามในเดิมทีของผู้ดูแลหลัวก็ถูกอาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด
มู่ชิงอีไม่รีบร้อนพูดอะไรต่อ เพียงแค่นั่งจิบชาพลางฟังเสียงร้องโอดครวญและเสียงไม้โบยด้วยท่าทีสงบพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อนางไม่เปิดปากพูดอะไร ชั่วขณะนั้นคนอื่นๆ เองก็ไม่กล้าโพล่งอะไรออกไปเช่นกัน พอได้ยินเสียงไม้โบยดังแว่วมาจากด้านนอกเป็นจังหวะ คนที่ขี้ขลาดหน่อยก็พานอดใจไม่ไหวเผยสีหน้าซีดเซียว ราวกับไม้นั้นไม่ได้โบยบนร่างของผู้ดูแลหลัวแต่โบยบนร่างตนอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดไม้ที่ใช้ทรมานคนก็หยุดลง ผู้ดูแลหลัวยังเก็บลมหายใจเฮือกสุดท้ายเมื่อครู่ไว้โดยไม่ทำให้ผิดหวัง จากนั้นก็ถูกลากกลับเข้ามาในโถงรับแขกพร้อมลมหายใจที่โรยริน
“หัวหน้าผู้ดูแล…ข้าผิดไปแล้ว…โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด” คนที่เผยสีหน้าอวดเบ่งวางอำนาจใหญ่โตเมื่อครู่ เวลานี้กลับเหลือเพียงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและวิงวอน ผู้ดูแลหลัวรู้แก่ใจดีว่าหากตนถูกส่งตัวกลับไปที่หมู่บ้านจริงๆ เขาต้องถูกคนที่โกรธแค้นเขาฆ่าตายแน่นอน ต่อให้คนพวกนั้นไม่ทำอะไร แต่ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ หากระหว่างทางได้รับแรงสะเทือนเขาต้องขาดใจตายแน่นอน
มู่ชิงอีหลุบตาลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ส่งตัวผู้ดูแลหลัวไปเถิด”
“ไม่นะ…หัวหน้าผู้ดูแล ไว้ชีวิตข้าด้วย!!!” ผู้ดูแลหลัวร้องเว้าวอนอย่างสิ้นหวัง ทว่าพอเงยหน้ามองเข้าไปนัยน์ตาอันเงียบสงบของมู่ชิงอีกลับชวนให้เขารู้สึกสิ้นหวังถึงขีดสุด เพราะนัยน์ตาของหนุ่มน้อยชุดขาวผู้นั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใดทั้งสิ้น ราวกับคนตรงหน้าไม่ใช่คนแต่เป็นสิ่งของที่ไร้ชีวิตชิ้นหนึ่งก็มิปาน อีกทั้งยังเป็นสิ่งของไร้ชีวิตชิ้นหนึ่งที่ชวนให้คนรังเกียจอีกด้วย
ชั่ววินาทีนั้นผู้ดูแลหลัวเข้าใจทันทีว่าหนุ่มน้อยผู้นี้อยากให้เขาตายมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรหรือทำอะไรก็เปลี่ยนจุดจบนี้ไม่ได้ “ไม่…ข้าไม่ไป…ปล่อยข้าไปเถิด”
องครักษ์ลากตัวเขาออกไปโดยไม่มีความเมตตาใดอีกครั้ง
“ปล่อยข้า…ไม่ไป” เสียงของผู้ดูแลหลัวไกลออกไปเรื่อยๆ ทุกคนมองหนุ่มน้อยรูปงามที่นั่งอยู่อย่างอดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน เดิมทีนึกว่าเขาเป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่รู้ความใดเลยคนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าวิธีการของหนุ่มน้อยผู้นี้จะรุนแรงและจิตใจโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ผู้ดูแลหวังที่แก่มากแล้วคนหนึ่งกับผู้ดูแลหลัวที่กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง คนหนึ่งชีวิตอนาถ ส่วนอีกคนต้องตาย นี่ต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องการแสดงอิทธิฤทธิ์ให้คนพวกนี้เห็น หากเทียบกันแล้วเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยที่พวกเขาก่อขึ้นในหลายวันมานี้สู้ไม่ได้เลยสักนิด
คนไม่น้อยต่างลอบสูดลมหายใจเข้าและสบสายตากันไปมา ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดอะไรอีก เพราะกลัวว่าจะเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ตัวเอง
หลังจากเห็นผู้ดูแลหลัวถูกลากออกไปแล้ว ภายในห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ราวกับทุกคนกำลังลอบตกตะลึงในใจ หัวหน้าผู้ดูแลมาใหม่คนนี้เหมือนอายุน้อยอ่อนหัด แต่คิดไม่ถึงว่าจะใจเหี้ยมขนาดนี้
มู่ชิงอีไม่รู้หรอกว่าคนพวกนี้ลอบก่นด่าอะไรในใจบ้าง เพียงฉีกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เงยหน้าแล้วกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาราบเรียบเอ่ย “ผู้ดูแลทุกท่านมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
ในที่สุดเซี่ยตงผู้ดูแลนอกจวนที่เงียบกริบมาตลอดก็ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาของทุกคน เอ่ยเสียงขรึม “ผู้ดูแลหวังและผู้ดูแลหลัวมีความผิดก็จริง แต่บทลงโทษของหัวหน้าผู้ดูแลกู้เกินกว่าเหตุไปหน่อยกระมัง ในเมื่อพวกเขาเป็นคนเก่าแก่ที่รับใช่ท่านอ๋องมาตั้งหลายปี”
หลังจากพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็เผยแววตาน่าสงสารขึ้นมาทันที พวกเขาล้วนเป็นผู้ดูแลภายใต้อาณัติของจวนอวี้อ๋อง ใครจะไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ผ่านมือมาบ้างเล่า ทุกคนย่อมกังวลว่าสองคนนั้นจะกลายเป็นตัวอย่างไว้ใช้สั่งสอนพวกเขา
มู่ชิงอีกวาดตามองเซี่ยตงด้วยท่าทีสงบ อายุเพียงสามสิบกว่าแต่สามารถขึ้นเป็นผู้ดูแลนอกจวนอวี้อ๋องได้ อีกทั้งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของผู้ดูแลทุกคนกลายๆ ด้วย เขาย่อมต้องเป็นคนมีความสามารถอยู่แล้ว อีกอย่างยังกล้ายืนขึ้นภายใต้การลงโทษที่แสนหนักหน่วงของนางอีกต่างหาก ดูท่าทางคนผู้นี้คงไม่มีจุดอ่อนใดให้เอาผิดได้แน่นอน
“พูดเช่นนี้…ผู้ดูแลเซี่ยไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของข้าหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
เซี่ยตงเอ่ยเสียงนิ่ง “หัวหน้าผู้ดูแลลงมือทีก็เอาถึงชีวิตแล้ว ทำอะไรขัดหลักการเช่นนี้คงยากที่ข้าจะเห็นด้วย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงไม่ชี้แนะกับข้าเล่า” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเรียบ
เซี่ยตงชะงักไป จากนั้นก็เงยหน้ามองมู่ชิงอีด้วยความตกใจ ทว่ากลับเห็นหนุ่มน้อยชุดขาวผู้นั้นมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีผ่อนคลายว่า “ในเมื่อผู้ดูแลเซี่ยนึกเห็นอกเห็นใจ เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ช่วยพูดแทนพวกเขาสองคนสักหน่อยเล่า หากข้าลงมือเหี้ยมโหดกว่านี้ ผู้ดูแลหลัวอาจจะสิ้นใจเลยก็ได้ ผู้ดูแลเซี่ยเพิ่งมาถกเถียงเอาตอนนี้…ช่างทำให้ข้ารู้สึกทึ่งมากจริงๆ”
“คือ…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เซี่ยตงกัดฟันเอ่ย มู่ชิงอียิ้มกล่าว “หากกล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าผู้ดูแลเซี่ยเห็นด้วยกับการตัดสินของข้าแล้วหรือ”
เวลานี้เซี่ยตงกลับตกที่นั่งลำบาก เขาตีหน้าขรึมเอ่ย “ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามที่หัวหน้าผู้ดูแลตัดสิน ข้าไม่กล้าพูดอะไรมากอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็หุบปากไปเสีย” น้ำเสียงของมู่ชิงอีเย็บเฉียบพร้อมสีหน้าที่เย็นชาดั่งน้ำแข็ง “ในเมื่อไม่มีใครอยากพูดอะไรแล้ว วันนี้ก็เท่านี้แล้วกัน คนที่เหลือตรวจสอบกิจการที่ดูแลในมือใหม่อีกครั้ง พรุ่งนี้ข้าจะบอกพวกเจ้าใหม่อีกที หากไม่มีธุระใดแล้วก็ออกไปเถิด”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็หุบปากไปเสีย” น้ำเสียงของมู่ชิงอีเย็บเฉียบพร้อมสีหน้าที่เย็นชาดั่งน้ำแข็ง “ในเมื่อไม่มีใครอยากพูดอะไรแล้ว วันนี้ก็เท่านี้แล้วกัน คนที่เหลือตรวจสอบกิจการที่ดูแลในมือใหม่อีกครั้ง พรุ่งนี้ข้าจะบอกพวกเจ้าใหม่อีกที หากไม่มีธุระใดแล้วก็ออกไปเถิด”