มั่วเวิ่นฉิงเผยท่าทีหงุดหงิดฉายชัดผ่านแววตา เอ่ยเสียงขรึม “ข้าบอกแล้วว่าข้าเคยรับปากกับคนๆ หนึ่งว่าจะปกป้องชีวิตของเจ้า ข้าไม่อยากคอยปกป้องเจ้าอยู่ด้านนอก ดังนั้นเจ้าต้องกลับเย่าหวังกู่ไปกับข้า”
“เจ้าบ้า!” มู่หรงอวี้โมโหขึ้นมาทันทีทันใด เพราะเขาไปรับปากคนอื่นว่าจะปกป้องชีวิตตน ตนเลยต้องถูกคุมตัวอยู่ในเย่าหวังกู่อะไรนั่นห้ามออกไปไหนอย่างนั้นหรือหากมัวแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในเย่าหวังกู่อะไรนั่น เช่นนั้นตนจะต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้วเล่า
“เจ้าจะยอมไปเองดีๆ หรือจะให้ข้าพาเจ้าไป” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยถาม
มู่หรงอวี้กัดฟันแน่น มองไปทางมั่วเวิ่นฉิงพลางแสยะยิ้มกล่าว “เจ้าบอกว่าเจ้ารับปากกับคนอื่นว่าจะปกป้องข้าอย่างนั้นหรือ”
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้า
มู่หรงอวี้เลิกคิ้วเอ่ย “ก็ได้ ข้าจะบอกเจ้าให้…ถ้าเจ้าดึงดันจะพาข้าไปเย่าหวังกู่อะไรนั่นให้ได้ ข้าก็จะฆ่าตัวตายเสียเดี๋ยวนี้เลย”
มั่วเวิ่นฉิงกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด “เจ้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก หากเจ้าอยากตายคงตายไปนานแล้ว”
มู่หรงอวี้พูดไม่ออก ผ่านไปนานจนในที่สุดก็เอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปว่า “ไม่ว่าใครจะฝากฝังให้เจ้าปกป้องข้า ข้าไม่ต้องการการปกป้องของเจ้า แบบนี้คงได้กระมัง”
มั่วเวิ่นฉิงหรี่ตาเรียวเล็กน้อยแต่แฝงความเย็นยะเยือกทะลุผ่านออกมา “เจ้าแน่ใจหรือ”
“หมายความว่าเช่นไร” มู่หรงอวี้เอ่ยถามด้วยท่าทีระแวดระวัง
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเบา “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการให้ข้าปกป้องเจ้า แต่ระหว่างนี้ข้าเคยช่วยเจ้าแล้ว…เช่นนั้นเจ้าก็ตายเสียเถอะ!” พูดจบก็หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นหมายปลิดชีวิตของมู่หรงอวี้
มู่หรงอวี้ตกอกตกใจ รีบถอยตัวหนีอย่างฉับพลัน “คนบ้าอย่างเจ้าคิดจะเอาอย่างไรกันแน่”
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ย “กลับเย่าหวังกู่ไปกับข้าแล้วไม่ออกมาอีกชั่วชีวิต”
“มีสิทธิ์อะไรกัน” มู่หรงอวี้คำรามด้วยความโกรธจนหมดคราบภาพลักษณ์งามสง่าขององค์ชายตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเนิ่บนาบ “เจ้ามีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต นิสัยเลวทรามต่ำช้า เดิมทีไม่มีคุณสมบัติใดควรค่าให้ข้าปกป้องเลยสักนิด และยิ่งไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้ แต่…ก่อนที่คนผู้นั้นจะตายได้ขอร้องให้ข้าช่วยปกป้องเจ้า ฉะนั้นเจ้าจะออกจากเย่าหวังกู่ไม่ได้อีก”
บนใบหน้าของมู่หรงอวี้ไม่เผยความรู้สึกใดทั้งสิ้น จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต นิสัยเลวทรามต่ำช้า ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้ หากคำพูดเหล่านี้ถูกคนที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นก่นด่า บางทีมู่หรงอวี้คงไม่รู้สึกอะไร แต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากของมั่วเวิ่นฉิงคนไร้ความรู้สึกเช่นนี้ มู่หรงอวี้กลับรู้สึกเพียงว่าภายในใจตนบิดเบี้ยวจนไม่รู้ว่าควรตอบโต้กลับเช่นใด หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมั่วเวิ่นฉิง เขาคงพุ่งตัวเข้าแทงคนตรงหน้าให้ร่างเป็นรูพรุนไปนานแล้ว
“เจ้าสำนัก ข้าขอเข้าพบเจ้าค่ะ” ขณะที่มู่หรงอวี้ไม่รู้ว่าควรจะจัดการปัญหาตรงหน้าเช่นไร จู่ๆ เสียงขรึมของหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่นอกประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาได้” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงสงบโดยที่ไม่รู้สึกว่าตนอยู่จวนคนอื่นด้วยซ้ำ
สาวน้อยในชุดสีแดงเลือดหมูคนหนึ่งเดินเข้ามา จากนั้นก็มองมู่หรงอวี้ด้วยความแปลกใจแล้วประสานมือรายงานมั่วเวิ่นฉิงเอ่ย “รายงานเจ้าสำนัก เย่าหวังกู่ส่งสารผ่านทางนกพิราบมาเจ้าค่ะ”
มั่วเวิ่นฉิงรับจดหมายมาจากสาวน้อยชุดสีเลือดหมูพลางกวาดตามอง ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา “ข้าต้องกลับเย่าหวังกู่ไปสักรอบก่อน จูเอ๋อร์ เจ้าอยู่คอยติดตามเขา”
สาวน้อยที่มีนามว่าจูเอ๋อร์มุ่นคิ้วเอ่ย “เจ้าสำนัก…จะให้จูเอ๋อร์คอยปกป้องอานซุ่นจวิ้นอ๋องหรือ”
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เปล่า หากเขายังทำอะไรที่ไม่ควรทำอีก เจ้าก็ฆ่าเขาได้เลย”
“เจ้าค่ะ เจ้าสำนัก” จูเอ๋อร์พยักหน้ารับคำสั่ง ดวงตาสุกใสจับจ้องมู่หรงอวี้ด้วยท่าทีตื่นเต้น
มู่หรงอวี้ไฟโทสะพลันปะทุ ในสายตาของนายบ่าวคู่นี้เหมือนเห็นชีวิตของเขาเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าที่ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงอย่างไรอย่างนั้นและสามารถปลิดชีพทิ้งได้ทุกเมื่อ “มั่วเวิ่นฉิง เจ้าอย่าทำเกินไปนักเลย!”
ทว่ามั่วเวิ่นฉิงกลับแค่กวาดตามองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วหมุนตัวเดินออกประตูไป
จูเอ๋อร์มองมู่หรงอวี้แล้วฉีกยิ้มเอ่ย “อานซุ่นจวิ้นอ๋องระวังตัวหน่อยนะเจ้าคะ ช่วงก่อนที่เจ้าสำนักยังไม่กลับมาอย่าคิดทำอะไรที่ไม่ควรทำเด็ดขาด เพื่อเลี่ยงไม่ให้ข้าต้องลำบากใจ”
หลังจากเห็นนายบ่าวทั้งสองจากไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาในเดิมทีของมู่หรงอวี้ก็บิดเบี้ยวดุดันขึ้นมาทันที ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “มั่วเวิ่นฉิง...เย่าหวังกู่…ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
“ทูลท่านอ๋อง…คนของจวนตวนอ๋องมาเชิญท่านไปงานเลี้ยงขอรับ” บ่าวรับใช้ที่อยู่นอกประตูกราบทูลอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไปให้พ้น!” มู่หรงอวี้คำรามอย่างโมโห
“ขอ…ขอรับ…ท่านอ๋องอย่าได้โกรธไปเลย” บ่าวรับใช้นอกประตูตื่นตระหนก จากนั้นก็รีบคลานกึ่งกลิ้งตัวออกไปอย่างว่องไว
“สารเลว!” มู่หรงอวี้เตะเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากข้างกายกระเด็น กระทั่งเก้าอี้ชนเข้ากับกำแพงจนเกิดเสียงดังสนั่น หลายวันมานี้มู่หรงอวี้ใช้ชีวิตไม่ค่อยเป็นสุขนัก ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะแต่งตั้งตำแหน่งจวิ้นอ๋องให้เขาแต่กลับไม่ให้อำนาจเขาเลยสักนิด ถึงแม้นี่จะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้แต่แรกแล้ว แต่สำหรับกงอ๋องที่มีอำนาจเรียกอะไรได้อันนั้นตอนอยู่แคว้นหวาแล้วกลับเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้ หรือว่า…เขาต้องพึงพาอาศัยองค์ชายสักคนจริงๆ อย่างนั้นหรือ มู่หรงอวี้ปิดตาลง ฉับพลันภายในใจก็ยิ่งนึกโกรธแค้นกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีที่ไม่รู้ว่าหายตัวไปอยู่ที่ใด
มู่ชิงอีที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนอวี้อ๋องกลับไม่ได้เปลืองแรงอะไรมากนัก ประการแรกเพราะท่าทีสนับสนุนจากหรงจิ่นในฐานะที่เป็นอ๋องโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ ประการที่สองเพราะจวนอวี้อ๋องเพิ่งก่อตั้งขึ้น ถึงแม้เหล่าผู้ดูแลและบ่าวรับใช้จะยังไม่ถึงขั้นกลมเกลียวกันนัก แต่หลังจากถูกมู่ชิงอีแสดงอิทธิฤทธิ์ใส่ก็เปลี่ยนท่าทีในทันที
ถึงแม้เหล่าองค์ชายท่านอ๋องในเมืองหลวงจะรู้ว่ามีหัวหน้าผู้ดูแลหนุ่มน้อยคนหนึ่งโผล่เข้ามาในจวนอวี้อ๋องนานแล้ว ทว่ากลับไม่ได้แสดงท่าทีใด ต่อให้หัวหน้าผู้ดูแลจะสำคัญเพียงใดก็เป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่งเท่านั้น ด้วยสถานะของพวกเขาย่อมไม่สนใจอยู่แล้วว่าลูกน้องคนหนึ่งในจวนพี่น้องตนจะเป็นเช่นใดบ้าง แต่หากลอบสั่งคนให้มาตามสืบคงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
น่าเสียดายที่แต่ไหนแต่ไรมามู่ชิงอีไม่ให้ใครเข้าใกล้ นอกจากอู๋ซินและอิ๋งเอ๋อร์แล้ว บ่าวรับใช้ที่เหลือคนอื่นๆ ก็แค่ทำงานง่ายๆ ในเรือนชิงหนิงไปเท่านั้น ถึงแม้ในสวนสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของหรงจิ่นจะเต็มไปด้วยช่องโหว่ แต่กระนั้นในเรือนของหรงจิ่นกลับไม่มีความลับใดเลยจริงๆ หากมีใครอยากสืบหาความลับก็คงต้องคว้าน้ำเหลวกลับไปทุกคน
“คารวะหัวหน้าผู้ดูแลกู้”
ครั้นมู่ชิงอีเข้ามาในสวนพักผ่อนหย่อนใจแห่งนี้ก็สังเกตเห็นความผิดปกติทันที เพราะสวนที่มีคนพลุกพล่านเดินไปมาในวันปกติกลับเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า ระหว่างทางไม่เจอแม้แต่บ่าวทำความสะอาดเลยสักคน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเห็นบ่าวรับใช้สักคนเดินจ้ำอ้าวด้วยท่าทีรีบร้อน
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ ท่านอ๋องไปไหนแล้ว” มู่ชิงอีมุ่นคิ้วพลางเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
บ่าวรับใช้ผู้นั้นหน้าซีดพลางมองไปทางมู่ชิงอีแวบหนึ่งด้วยท่าทีกระวนกระวายใจกล่าว “รายงานหัวหน้าผู้ดูแล ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องทรงพระประชวรเจ้าค่ะ”
มู่ชิงอีตกใจ นางเองก็เคยเห็นหรงจิ่นอาการป่วยกำเริบอยู่สองสามครั้ง ความทรมานในระหว่างนั้นคงไม่ต้องบอกก็รู้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ วันนี้จะอาการกำเริบขึ้นมา จากนั้นนางก็รีบสาวเท้าเดินไปทางห้องของหรงจิ่นอย่างรวดเร็วทันที
“ไอ๊หยา หัวหน้าผู้ดูแล…” บ่าวรับใช้ผู้นั้นรีบรั้งตัวมู่ชิงอีไว้แล้วเอ่ย “หัวหน้าผู้ดูแล ท่านอ๋อง…ตอนท่านอ๋องอาการป่วยกำเริบน่าตกใจมากนะเจ้าคะ ท่านอย่าไปเลยดีกว่า” ถึงแม้วิธีการโหดร้ายของมู่ชิงอีในหลายวันมานี้จะทำให้คนมากมายเกรงกลัวอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับบ่าวรับใช้กลับรู้สึกดีและเห็นหัวหน้าผู้ดูแลเป็นดั่งเซียนสวรรค์ผู้หล่อเหลาก็มิปาน ไม่เพียงแต่เพราะหัวหน้าผู้ดูแลหน้าตาดี แต่ยังวางตัวได้เป็นอย่างดี แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยก่นด่าหรือลงโทษคนของตนโดยไร้ต้นสายปลายเหตุเลยสักครั้ง