“หรงจิ่น...เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า” มู่ชิงอีกัดฟันพลางเอ่ยพึมพำเสียงเบา นางเข้าใจมาตลอดว่าอาการป่วยของหรงจิ่นแค่ทำให้เขาเจ็บทรมานทุกครั้งจนร่างกายอ่อนแรงลงเท่านั้น แต่ดูจากตอนนี้แล้วหรงจิ่นกลับไม่ได้ร่างกายอ่อนแอเลยสักนิด หากหรงจิ่นไม่ได้ถูกตรึงร่างไว้ เขาคงมีพละกำลังมหาศาลและทำร้ายคนที่เขาเห็นตรงหน้าได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ชิงชิง…เฮือก…ช่วยข้าที” หรงจิ่นมองสาวน้อยชุดขาวตรงประตูอย่างทรมาน ทว่าในใจกลับสับสนสุดขีด ทั้งอยากให้นางเข้ามาใกล้ตน แต่ก็เข้าใจดีว่าหากนางขยับเข้ามาใกล้เขาคงทำร้ายนางแน่นอน เพราะการต่อสู้ที่เลือกไม่ได้เช่นนี้เลยทำให้ในหัวของเขาปวดตุบๆ ราวกับถูกเข็มทิ่มแทงก็มิปาน และยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาคลุ้มคลั่งขึ้นมากกว่าเดิมด้วย
“อ๊ากกก ปล่อยข้า…ข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสีย! ฆ่าพวกเจ้า” หรงจิ่นคำรามเสียงดัง ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดส่องประกายสีแดงฉานพาดผ่าน โซ่ตรวนไม่กี่เส้นถูกเขากระชากจนตึง กระทั่งมู่ชิงอีอดคิดไม่ได้ว่าหากใช้แรงมากอีกหน่อย โซ่ตรวนเหล่านั้นคงขาดสะบั้นอย่างแน่นอน
“หรงจิ่น ตกลงท่านเป็นอะไรกันแน่” มู่ชิงอีตะโกนขึ้นอย่างร้อนใจ
“เจ็บ…โอ๊ย ชิงชิง ปวดหัว…อยาก…อยากฆ่าคนเหลือเกิน…เลือด…ไม่นะ ชิงชิง…ชิงชิงช่วยข้าด้วย” หรงจิ่นพูดเสียงขาดๆ หายๆ ฟังไม่ได้ศัพท์เท่าไร พร้อมทั้งดิ้นพล่านไม่หยุดหมายจะกระชากสิ่งที่พันธนาการตนไว้ออก
ครั้นเห็นบุรุษคุ้นเคยที่มีท่าทางประหลาดตรงหน้าดิ้นพล่านทุกข์ทรมานเหงื่อเปียกชุ่มราวกับร่างกายแช่เหงื่อมาอย่างไรอย่างนั้น มู่ชิงอีก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงรู้สึกดวงตาร้อนผ่าว ไม่นานน้ำตาหยดหนึ่งก็รินไหลจากหางตาลงมาอย่างไม่รู้ตัว
นางช่วยหรงจิ่นไม่ได้ นางไม่มีวิทยายุทธยอดเยี่ยมที่สามารถเข้าใกล้เพื่อช่วยปลอบประโลมเขาได้ นางไม่มีฝีมือการรักษาที่ดีเยี่ยมเพื่อตรวจดูอาการให้แน่ชัดว่าตอนนี้เขาเป็นอะไรกันแน่ สิ่งเดียวที่นางทำได้ก็คือแค่ยืนมองเขาต่อสู้กับความเจ็บปวดเท่านั้น
มู่ชิงอีปิดตาลงแล้วเดินหมุนตัวออกไปนอกประตู
“ชิงชิง…อย่าไปไหน” เสียงของหรงจิ่นสะท้อนดังในห้องศิลาเล็กๆ อย่างสิ้นหวังและไร้เรี่ยวแรง “อย่าไป…ชิงชิง…อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว”
“ปล่อยข้านะ! ปล่อยข้าไป! ข้าจะฆ่าพวกเจ้า ฆ่าพวกเจ้าเสีย! อ๊าก...” ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นจับจ้องห้องศิลาที่แสนว่างเปล่า ฉับพลันความรู้สึกโดดเดี่ยวเย็นยะเยือกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็โอบล้อมความเจ็บปวดของหรงจิ่นไว้ ไอสังหารที่ถูกกดทับอย่างหนักหน่วงภายในใจก็ถาโถมออกมาพร้อมกับความคลุ้มคลั่งอย่างควบคุมไม่ได้ ไปกันหมดแล้ว…ไม่มีใครอยู่เคียงข้างกายเขาเลยสักคน…ฆ่าเสียเถิด…ฆ่าทุกคนทิ้งให้หมด…จากนี้ไปจะได้ไม่ทุกข์ทรมานอีก
“ไม่นะ ชิงชิง…อย่าไป” อย่าทิ้งข้าไป อยู่คนเดียว…ช่างโดดเดี่ยว ช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน
ขณะที่เขากำลังคลุ้มคลั่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงพิณใสกังวานดังขึ้นในหัวของเขา เสียงพิณไพเราะสงบราวกับลมเบาๆ กำลังปลอบประโลมความเจ็บปวดในหัวของเขาอย่างแท้จริง ในเสียงเบาๆ นั้นแฝงไปด้วยความอบอุ่นจางๆ ราวกับทำให้ภายในใจที่เยือกเย็นและมืดมิดของเขาค่อยๆ ผุดแสงอบอุ่นจางๆ ขึ้นตามมาด้วย
หรงจิ่นเงยหน้าขึ้นด้วยความงงงัน เวลานั้นเขาถึงเห็นคนที่เพิ่งเดินจากไปหวนกลับมาอยู่ด้านข้างประตูศิลา นางปูเสื่อก่อนนั่งลงแล้วเอาพิณโบราณเครื่องหนึ่งวางไว้บนหน้าตักก่อนขยับนิ้วดีดพิณอย่างเบามือ เสียงดนตรีที่เรียบง่ายและสงบค่อยๆ ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านปลายนิ้วมือของนาง
“ชิงชิง” เจ้าไม่ได้ไปไหนหรือ…เจ้าไม่กลัวข้าหรือ…ชิงชิง
มู่ชิงอีดีดสายพิณพลางมองหรงจิ่นที่อยู่บนเตียงแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัว หม่อมฉันจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง”
“ชิงชิง…ชิงชิง” หรงจิ่นพิงกำแพงแล้วปิดตาลงพยายามอดกลั้นต่ออารมณ์คลุ้มคลั่งที่พลุ่งพล่านขึ้นมาพร้อมกับความทุกข์ทรมานและความโหดร้ายอีกระลอก เขาดึงความสนใจทั้งหมดไปจดจ่ออยู่ที่เสียงพิณที่แสนสงบนั้น
เพลงจรรโลงจิตต้องคำสาปอย่างนั้นหรือ…
มู่ชิงอีนั่งอยู่ริมประตูศิลาพลางใช้นิ้วดีดสายพิณเรื่อยๆ ไม่มีหยุด ขณะเดียวกันก็เหลือบมองไปทางหรงจิ่นที่อยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามเป็นระยะๆ
นางไม่รู้ว่าตกลงแล้วอาการป่วยของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ เพียงแต่พอเห็นดวงตาสีแดงคู่นั้นแล้วก็นึกถึงเรื่อง ‘เข้าสู่เส้นทางจอมมาร’ ที่ไท่สื่อเหิงเคยพูดถึงอย่างคร่าวๆ ตอนที่สนทนาเรื่อยเปื่อยกับเขาคราวนั้น ความจริงนางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงพิณจะช่วยหรงจิ่นได้หรือไม่ แต่นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางจะทำได้แล้ว เพราะถ้าจะให้นางทำทีว่ามองไม่เห็นแล้วหมุนตัวเดินหนีไปเลย นาง…คงทำไม่ได้
มู่ชิงอีประคองพิณพลางยิ้มขมขื่นอย่างจนใจ ที่แท้ต่อให้จะผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย นางก็ยังไม่ถึงขั้นใจเหี้ยมตัดขาดไร้เยื่อใยดั่งที่ตนคิดเสียทีเดียว
“ชิงชิง…ข้า…ไม่เป็นไรแล้ว” มู่ชิงอีเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเล่นพิณมานานเท่าไรแล้ว ทว่ายามที่ก้มหน้าพลันได้ยินเสียงอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงของหรงจิ่นดังขึ้นถึงค้นพบว่านิ้วเรียวยาวขาวเนียนในเดิมทีของตนเริ่มห้อเลือดแล้ว พอแตะโดนก็รู้สึกเจ็บระบมจนชาไปหมด
มู่ชิงอีไม่สนใจมากนัก วางพิณลงข้างกายบนพื้น จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินขากะเผลกไปนั่งข้างขอบเตียงของหรงจิ่น “ไม่เป็นไรแล้วจริงหรือ”
หรงจิ่นเอนกายนอนลงบนเตียงแล้วใช้สองดวงตาสีแดงก่ำที่สะลึมสะลือมองนาง หลังจากดิ้นพล่านทุรนทุรายเจ็บปวดครั้งนี้ เขาหมดแรงและทรมานกว่ามู่ชิงอีอยู่มาก ครั้งนี้เรี่ยวแรงในร่างกายราวกับถูกสูบไปจนเกลี้ยง กระทั่งแม้แต่ปลายนิ้วก็ยังขยับไม่ไหว
“ชิงชิง…อย่าไป”
มู่ชิงอีพยักหน้า เอ่ยเสียงอ่อนโยน “หม่อมฉันไม่ไปไหน ท่านหลับเถิด”
“อย่าไปไหน…” หรงจิ่นมองนางแน่นิ่ง และในที่สุดก็หมดสติไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
ชิงเอ๋อร์เดินไปเดินมาตรงหน้าประตูอย่างร้อนรน นางมองไปทางอู๋ฉิงที่ยืนทำสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ใต้ต้นไม้แล้วกัดฟันหมุนตัวพุ่งเข้าไปด้านใน ทว่าดาบในมือองครักษ์ทั้งสี่ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูต่างประสานขวางหน้านางไว้อยู่
“ถอยไป ข้าจะเข้าไปดูอาการท่านอ๋อง” ชิงเอ๋อร์เอ่ยพลางกระทืบเท้า
องครักษ์ที่ขวางอยู่หน้านางกลับไม่พูดอะไรราวกับไม่ได้ยินคำพูดของนางก็มิปาน อู๋ฉิงที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเรียบ “กฎของท่านอ๋องเจ้าย่อมรู้แก่ใจดี เหตุใดต้องฝ่าฝืนทั้งๆ ที่รู้ดีเล่า”
ชิงเอ๋อร์กัดฟันเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “แล้วเหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้กู้หลิวอวิ๋นเข้าไปได้” นี่คือจุดที่นางไม่พอใจมากกว่า ถึงแม้เวลาที่นางติดตามรับใช้ท่านอ๋องจะไม่นานเท่าอู๋ซินและอู๋ฉิง แต่อย่างน้อยก็นานกว่ากู้หลิวอวิ๋นมาก ทว่าอู๋ฉิงกลับปล่อยให้กู้หลิวอวิ๋นเข้าไปโดยไม่ถามไถ่ใดๆ ทั้งสิ้น แต่นางเข้าใกล้ประตูไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อู๋ฉิงกล่าว “ท่านอ๋องเคยรับสั่งไว้แล้วว่าหากหัวหน้าผู้ดูแลกู้จะไปไหนก็ได้ทั้งนั้น”
“เจ้าบอกให้พวกเขาถอยไปเลยนะ! ข้าจะเข้าไปดูแลท่านอ๋อง ใครจะไปรู้ว่ากู้หลิวอวิ๋นนั่นเชื่อใจได้หรือเปล่า หากเขามีเจตนาร้ายทำอะไรท่านอ๋องขึ้นมา…” ชิงเอ๋อร์ตั้งท่าจะผลักคมดาบที่ขวางนางไว้ตรงหน้าอย่างหงุดหงิด
ดาบยาวแหลมคมด้ามหนึ่งจ่อมาที่คอของนางอย่างไร้สุ่มเสียง อู๋ฉิงที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านอ๋องทรงบอกไว้แล้วว่าหากบุกรุกโดยพลการก็ฆ่าทิ้งได้เลย”
ชิงเอ๋อร์หน้าซีดลงทันที กัดฟันปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอะไรอีก นางรับใช้ที่นี่มานานย่อมรู้ดีว่าหากนางขยับเท้าแม้เพียงก้าวเดียว ดาบของอู๋ฉิงคงจะแทงทะลุคอนางอย่างไม่ต้องสงสัย
“มีสิทธิ์อะไรกัน เหตุใดเขาถึงเข้าไปได้” ชิงเอ๋อร์เอ่ยเสียงโกรธอย่างไม่พอใจ
อู๋ฉิงเหลือบมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบแวบหนึ่งแต่ไม่ตอบกลับอะไร นี่ยังต้องถามอีกหรือ ย่อมเป็นเพราะท่านอ๋องเชื่อใจคุณชายกู้อย่างไรเล่า
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม ขณะที่ความมืดใกล้คืบคลานเข้ามา เซวียเริ่นก็ถือกล่องข้าวเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน เขามองอู๋ฉิงแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องดีขึ้นหรือยัง”