หรงจิ่นยกมือขึ้นหมายจะคลึงคลายความโดดเดี่ยวที่ปรากฏตรงหว่างคิ้วของนาง ทว่าเวลานี้ถึงค้นพบว่ามือของเขายังถูกโซ่ตรวนรัดไว้อยู่ เขายกมือขยับไปมา สุดท้ายโซ่ตรวนเหล็กที่พันธนาการร่างของเขาไว้แน่นในเดิมทีก็หลุดออก หรงจิ่นใช้สองมือรั้งร่างของนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดใหม่อีกครั้ง
“ชิงชิง…ไม่นะ…”
มู่ชิงอีหลุบตาลง ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
“ชิงชิงแตกต่างจากคนอื่น ข้าไม่ชอบให้ชิงชิงอยู่ไกลจากข้าเกินไป” หรงจิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สงบแน่นิ่ง ทว่ากลับเผยให้เห็นความจริงจังออกมาซึ่งเห็นได้น้อยครั้งนัก “ข้าชอบชิงชิง ข้าอยากอยู่กับชิงชิงไปชั่วชีวิต”
มู่ชิงอีเก็บซ่อนมือที่สั่นเทาเอาไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นก็เงยหน้าผลักแขนทั้งสองข้างที่โอบรั้งตนไว้ออกด้วยท่าทีหนักแน่น นางมองเขาแล้วกล่าว “องค์ชาย แต่หม่อมฉันเห็นท่านเป็นแค่สหายเท่านั้น”
หรงจิ่นเอียงศีรษะครุ่นคิดด้วยท่าทีคลางแคลงใจเอ่ย “เป็นสหายก็ไม่เป็นไรนี่นา” ขอแค่ชิงชิงเป็นของเขาคนเดียว ต่อให้จะเป็นสหายหรืออะไรก็ตามแล้วอย่างไรเล่า
“ในเมื่อเป็นสหายกัน เช่นนั้นก็จะมาโอบกอดกันเช่นนี้ไม่ได้ หม่อมฉันไม่ชอบแบบนี้เพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “วันนี้ท่านเหนื่อยมากแล้ว ทานยาทานข้าวแล้วพักผ่อนเถิด ท่านลองขบคิดดูว่าเรายังเหลือเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ”
ทันทีที่พูดจบ มู่ชิงอีก็ลุกขึ้นเดินลงจากเตียงแล้วเปิดกล่องอาหารเอาข้าวและยาด้านในออกมาวางไว้ด้านนอก จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ไม่นานภายในห้องศิลาก็เหลือเพียงหรงจิ่นคนเดียว หรงจิ่นมองอาหารมากมายที่ส่งกลิ่นหอมโชยตรงหน้าด้วยท่าทีเงียบขรึม ที่แท้หลังจากผ่านความทรมานมาทั้งวันก็ทำเอาเขาหิวโซเหลือเกิน แต่เวลานี้เขากลับไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด
หรงจิ่นใช้แขนสะบัดเพียงทีเดียว จานกระเบื้องที่ใส่อาหารและยาทั้งหมดบนโต๊ะก็แตกละเอียดเป็นผุยผง หรงจิ่นลงจากเตียงด้วยสีหน้าราบเรียบพร้อมแววตาทอประกายแสงสีแดงพาดผ่าน เขาฟาดใส่เตียงที จากนั้นเตียงศิลาที่แข็งแรงก็เกิดรอยปริร้าวขนาดใหญ่ขึ้นมา หรงจิ่นก้มหน้ามองมือที่เลือดไหลไม่หยุดก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร รอข้าจัดการฆ่าพวกเขาทิ้งได้หมดเมื่อไร ชิงชิงก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานใจแล้ว”
เขามองบาดแผลบนมือแวบหนึ่ง พลันปรากฏสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลา บาดเจ็บแล้ว…ไปหาชิงชิงให้นางช่วยพันแผลให้ดีกว่า
จนกระทั่งหรงจิ่นเดินออกนอกห้องไป ทุกคนนอกประตูก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก
ชิงเอ๋อร์เดินเข้ามาพร้อมน้ำตาอาบหน้า “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง…เป็นเช่นใดบ้างเพคะ” หรงจิ่นขมวดคิ้วมุ่นพร้อมประกายความสงสัยพาดผ่านแววตาแต่กลับไม่พูดอะไร
เมื่อเห็นสองแขนของหรงจิ่นมีรอยเลือดเต็มไปหมด ชิงเอ๋อร์ก็หายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยด้วยท่าทีตื่นตระหนก “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรเพคะ” เพราะความตกอกตกใจเลยทำให้ลืมกฎต้องห้ามแต่เดิมของหรงจิ่น นางยื่นมือหมายจะดึงมือของเขามาช่วยพันแผลให้
หรงจิ่นเผยสีหน้าเย็นยะเยือก จากนั้นก็สะบัดแขนออกจนทำเอาร่างของชิงเอ๋อร์เสียหลักไปชนเสาด้านหลัง “ไปให้พ้น!”
“ท่าน…ท่านอ๋อง” ชิงเอ๋อร์ตะลึงงัน
“องค์ชาย หัวหน้าผู้ดูแลกู้กลับเรือนชิงหนิงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฉิงที่อยู่ด้านหลังทูลกล่าวอย่างใจเย็น
หรงจิ่นไม่แม้แต่จะสนใจแววตาเจ็บปวดของชิงเอ๋อร์เลยสักนิด รีบหมุนตัวมุ่งหน้าไปทางเรือนชิงหนิงทันที
ชิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังพิงเสาด้วยสีหน้าเจ็บปวด จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา ถึงแม้หรงจิ่นจะไม่ถือว่าสะบัดแขนสุดแรง แต่ชิงเอ๋อร์คงเลี่ยงอาการบาดเจ็บภายในไม่ได้ ความจริงนางรับใช้ข้างกายหรงจิ่นมาใช่ว่าจะเพิ่งรับบาดเจ็บแค่ครั้งสองครั้งเสียเมื่อไร แต่ครั้งนี้กลับทำเอานางเจ็บปวดเหมือนโดนมีดกรีดก็มิปาน ท่านอ๋องไม่แม้แต่จะเหลือบมองนางสักนิดกลับเดินมุ่งหน้าไปทางเรือนชิงหนิงแล้ว ตนสู้แม้กระทั่งบุรุษคนหนึ่งไม่ได้เลยหรือ
อู๋ฉิงกวาดตามองชิงเอ๋อร์แวบหนึ่ง ทว่าภายในใจไม่มีความสงสารให้เลยแม้แต่น้อย ในเมื่ออยู่รับใช้ข้างกายองค์ชายมาตั้งหลายปีแต่กลับไม่รู้จักขอบเขต แบบนี้ก็สมควรแล้วจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่นางทำอะไรรอบคอบและมีความอดทนสูงล่ะก็ เกรงว่าคงถูกไล่ตะเพิดไปนานแล้ว ในเมื่อบ่าวรับใช้ทั่วไปพอถูกองค์ชายทำร้ายครั้งหนึ่งก็จะเกิดความหวาดกลัวในใจจนไม่กล้ารับใช้ข้างกายอีก มีเพียงแมลงสาบที่ตีเช่นไรก็ไม่ตายอย่างชิงเอ๋อร์เท่านั้นที่อยู่ข้างกายองค์ชายมานานจนถึงตอนนี้
ในเรือนชิงหนิง นานๆ ทีมู่ชิงอีจะละเลยเรื่องในจวนแบบนี้ นางบอกให้อิ๋งเอ๋อร์และอู๋ซินออกไป ก่อนจะนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง ถึงแม้หรงจิ่นคนผู้นี้จะพูดจาแปลกๆ ชวนให้รู้สึกยากจะรับได้ไปบ้าง แต่ความหมายของหรงจิ่นก็ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจเสียทีเดียว เพียงแต่…พอก้มหน้ามองสองมือเรียวขาวดั่งหยกแล้ว มู่ชิงอีก็อดเผยรอยยิ้มขมขื่นขึ้นตรงมุมปากไม่ได้
หลังจากเห็นความรักอันจืดจางกับลุ่มหลง รวมถึงความรักความแค้นที่ยากจะหลุดพ้นได้ในหอนางโลมชุ่ยหงมาสามปี นางก็ไม่รู้ว่าตนจะสามารถรักใครได้อีกหรือไม่ นางไม่เคยรักใคร บางทีนางอาจเคยหลงรักมู่หรงอวี้ แต่เพราะหายนะครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนั้นได้ทำลายชีวิตและโลกของนางในเดิมทีจนสิ้นแล้ว อีกทั้งยังแผดเผาความรักอันบริสุทธิ์ภายในใจของนางทิ้งไปด้วย
ส่วนหรงจิ่น...หรงจิ่นเป็นคนที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอมาในชีวิต เขาจิตใจโหดเหี้ยมและทำได้ทุกอย่างโดยไม่สนอะไร แต่หลายครั้งก็เหมือนเขาจะไร้เดียงสาและเอาแต่ใจราวกับเด็กๆ เขาไม่ได้รักนาง แต่เขาแค่อยากมีนางข้างกายไปชั่วชีวิต เขาปรารถนาอยากได้ความรักของนางเพราะเขาไม่เคยมี น่าเสียดาย…ที่นางก็ไม่มีเช่นกัน ถ้าหรงจิ่นได้เจอหญิงสาวที่จิตใจดีและบริสุทธิ์อย่างแท้จริงสักคน บางทีเขาอาจจะได้รับความอบอุ่นดั่งใจปรารถนาอย่างง่ายดาย เพียงแต่น่าเสียดาย…เพราะนางไม่มีจริงๆ
“ชิงชิง” ไม่รู้ว่าหรงจิ่นมายืนอยู่นอกประตูห้องหนังสือพลางจับจ้องคนที่ขบคิดบางอย่างเงียบๆ แน่นิ่งตั้งแต่เมื่อใด
เขายังคงสวมชุดตัวเดียวกับตอนที่อยู่ในห้องศิลา ชุดที่ถูกเหงื่อไหลอาบจนชุ่มในเดิมที ถูกกำลังภายในทำให้แห้งแต่ก็ยังคงดูสกปรกและยับยู่ยี่อย่างเห็นได้ชัด เนื่องด้วยมู่ชิงอีคุ้นชินกับชุดผ้าแพรสีดำงามสง่านานแล้วเลยทำให้นางขัดใจกับเสื้อผ้าสีขาวชั้นเดียวบนร่างของเขาอยู่บ้าง นางรู้สึกเพียงว่าภายใต้การแต่งตัวของบุรุษชุดขาวที่กำลังจับจ้องตนยิ่งขับให้เขาดูไร้เดียงสาและไร้พิษสงมากกว่าเดิม
หรงจิ่นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ามู่ชิงอีแล้วมองนางจากที่สูงเอ่ย “ชิงชิง เจ้ากำลังโกรธอยู่หรือ”
มู่ชิงอีพลันได้สติกลับมา ส่ายศีรษะเอ่ย “เปล่าเพคะ เหตุใดยังไม่พักผ่อนอีก”
“เจ็บ” หรงจิ่นยกมือข้างซ้ายมาวางตรงหน้ามู่ชิงอี มือที่เต็มไปด้วยรอยเลือดทำเอามู่ชิงอีอดตกใจไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น”
จากนั้นนางก็รีบเรียกให้อิ๋งเอ๋อร์เอายา ผ้าพันแผลและน้ำสะอาดมาใช้ทำแผล นางใช้ผ้าเปียกเช็ดทำความสะอาดรอยเลือดบนมือของเขาอย่างระมัดระวัง ต่อมาก็ทายาก่อนพันแผลให้เรียบร้อย หรงจิ่นเพียงมองมู่ชิงอีที่กำลังร้อนใจด้วยท่าทีสงบ ถึงแม้มือของมู่ชิงอีจะเผลอไปโดนแผลของเขาบ้าง ทว่าสีหน้าของเขากลับเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับมือที่อาบไปด้วยเลือดไม่ใช่ของเขาอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดก็พันแผลเสร็จเรียบร้อย มู่ชิงอีลอบผ่อนลมหายใจ
“คารวะท่านอ๋อง หัวหน้าผู้ดูแลกู้” อู๋ฉิงและเซวียเริ่นถือกล่องอาหารมาขอเข้าพบอยู่ด้านนอกประตู
“เข้ามา” มู่ชิงอีเปิดปากเอ่ย
พวกเขาทั้งสองเอากล่องอาหารมาวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้ามู่ชิงอีอย่างระมัดระวัง เซวียเริ่นยิ้มเจื่อนเอ่ยอย่างจนใจว่า “ท่านอ๋อง ทานยาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านต้องระวังให้มาก หากทำยานี้หกอีกคงต้องรอถึงพรุ่งนี้แล้ว แบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพของท่านเลย”
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองชินชากับพฤติกรรมของหรงจิ่นแล้ว พอเข้าไปในห้องศิลาเห็นอาหารและยากระจัดกระจายเต็มพื้นก็รีบหิวกล่องสำรองอีกอันมาให้ทันที
หรงจิ่นหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่พูดอะไร อู๋ฉิงที่อยู่ข้างกายมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ย “คุณชายกู้คงยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน ข้าเองก็เอาส่วนของท่านมาด้วย” เป็นไปตามคาดเพราะกล่องข้าวที่ใหญ่กว่าอันก่อนหน้านี้หนึ่งเท่ามีอาหารเพิ่มมาอีกสองสามอย่าง อีกทั้งยังมีข้าวเพิ่มมาอีกถ้วย