หรงจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้ายาที่เซวียเริ่นส่งมาให้แล้วเงยหน้ากรอกใส่ปากตัวเองจนเกลี้ยง ถอนหายใจเสียงเบาพลางเอ่ยว่า “ออกไป”
เซวียเริ่นกับอู๋ฉิงสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนไปทางมู่ชิงอี จากนั้นถึงรีบออกจากห้องไป
มู่ชิงอีมองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะก่อนฉีกยิ้มอย่างจนใจออกมาเล็กน้อย นางหันไปหาหรงจิ่นเอ่ย “กินข้าวกันก่อนเถิด”
หรงจิ่นยกมือของตนยื่นไปตรงหน้านางอย่างช้าๆ มือซ้ายถูกผ้าสีขาวรัดจนแน่น อีกทั้งบนนิ้วมือข้างขวายังถูกทายาจนชุ่มซึ่งไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย
มู่ชิงอีเหนื่อยใจที่จะเอ่ยเหตุผลกับใครบางคนนานแล้วเลยทำได้แค่หยิบตะเกียบป้อนข้าวเขาด้วยตัวเอง พอเห็นใครบางคนทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่ลืมบอกให้นางทานข้าวพร้อมกัน ความรู้สึกท้อแท้ที่ก่อขึ้นและขยายลุกลามในใจก็ถูกตีจนพ่ายแพ้ยับเยิน
วันต่อมาหรงจิ่นอาการทรุดป่วยนอนอยู่บนเตียง เพราะวันแรกที่อาการกำเริบทำให้เสียแรงไปมาก ภายหลังยังไม่ทันได้พักผ่อนดีก็เปลืองแรงวิ่งแจ้นไปหามู่ชิงอีอีก พอเช้าตรู่วันต่อมาบ่าวรับใช้ของหรงจิ่นถึงพบว่าเขามีอาการสะลึมสะลือเริ่มเป็นไข้แล้ว ชั่ววินาทีนั้นทุกคนต่างพากันตื่นตระหนกแล้วรีบส่งคนไปเชิญตัวหมอหลวงมาทันที
โชคดีที่เหมือนหมอหลวงจะชินชากับอาการเช่นนี้ของหรงจิ่นนานแล้วเลยสั่งยาบำรุงสองสามขนานให้ นอกจากกำชับว่าให้ดูแลร่างกายดีๆ ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก มู่ชิงอีกำยาในมือพลางขมวดคิ้วคู่งามมุ่น ทั้งๆ ที่อาการป่วยของหรงจิ่นแปลกประหลาด แต่หมอหลวงกลับแสดงท่าทีเหมือนเขาเป็นแค่ไข้หวัดโดยไม่ทันระวังเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีใครเอ่ยถึงอาการป่วยก่อนหน้านี้ของเขาเลยสักคน
หลังจากส่งหมอหลวงกลับแล้ว เซวียเริ่นถึงรุดหน้าเข้ามากล่าวกับมู่ชิงอีว่า “หัวหน้าผู้ดูแล ข้าให้คนไปจัดแจงเรื่องยาก็แล้วกัน”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นพลางยกยาในมือขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ยานี่จะใช้ได้ผลจริงๆ หรือ” ส่วนยานี้คืออะไรนั้น มันก็เป็นเหมือนยาบำรุงที่มีไว้เป็นยาสามัญประจำบ้านทั่วไปเท่านั้น ขอแค่เป็นคนที่ถนัดเรื่องการดูแลร่างกายเกรงว่าคงท่องออกมาได้เจ็ดถึงแปดอย่างเลยทีเดียว แคว้นเย่ว์ใช้ของพรรค์นี้รักษาอาการให้องค์ชายหรืออย่างไรกัน
เซวียเริ่นเอ่ยอย่างจนใจ “เหล่าหมองหลวงก็อับจนหนทางเช่นกัน”
มู่ชิงอีจำได้ลางๆ ว่าหรงจิ่นเคยบอกว่าอาการป่วยของเขาอย่าว่าแต่มั่วเวิ่นฉิงเลย เพราะต่อให้เป็นอาจารย์ของมั่วเวิ่นฉิงก็จนปัญญาไม่ต่างกัน นางเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ยว่า “ผู้ดูแลเซวีย ท่านเห็นท่านอ๋องมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ตกลงเขาป่วยเป็นอะไรกันแน่ หรือ…โดนพิษอะไรเข้าหรือ”
เซวียเริ่นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย กวาดตามองมู่ชิงอีอยู่นาน ในที่สุดก็ส่ายศีรษะเอ่ยอย่างจนใจเอ่ย “หัวหน้าผู้ดูแลกู้เป็นคนที่ท่านอ๋องไว้ใจ ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ความจริง…ตอนท่านอ๋องวัยเยาว์ไม่ได้เป็นแบบนี้ ตอนที่ท่านอ๋องกำเนิดทรงแข็งแรงสมบูรณ์ดี อายุได้เจ็ดชันษาก็ยังไร้ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บใด ทว่า…จนกระทั่งตอนที่ท่านอ๋องอายุแปดชันษาจู่ๆ ก็ถูกวางยาพิษในวัง ฝ่าบาททรงรับสั่งเชิญตัวหมอชื่อดังทั่วทั้งนอกและในเมืองหลวงมา อีกทั้งยังใช้เวลานานหลายเดือน ในที่สุดท่านอ๋องก็เอาชีวิตรอดมาได้ แต่ร่างกายของท่านอ๋องกลับถูกทำลายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยเอ่ย “แล้วจากนั้นเล่า”
เซวียเริ่นฉายแววชื่นชมพาดผ่านดวงตาแวบหนึ่ง ถอนหายใจเอ่ย “หากเรื่องจบแค่นี้ยังพอว่า เพียงแต่ท่านอ๋องชีวิตรันทดมาตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อเจ็ดปีก่อนตอนที่ท่านอ๋องอายุราวๆ สิบสองชันษามีนักฆ่าลอบบุกเข้าวัง ตอนนั้นท่านอ๋องถูกนักฆ่าคุมตัวพาออกนอกวังไป หลังจากผ่านไปสองเดือนถึงถูกแม่ทัพหนานกงเจวี๋ยเจอตัวตรงแถบทะเลทรายชายแดนแห่งหนึ่ง ต่อจากนั้นมาท่านอ๋องก็ร่างกายอ่อนแอมาตลอด แต่อยู่ดีๆ ผ่านไปไม่กี่เดือนก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างหนัก พอถึงเวลานั้นดวงตาก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน สภาพเหมือนผีร้าย เห็นใครก็ฟันไม่เลือก…มีครั้งหนึ่งท่านอ๋องจัดการฆ่าคนที่พักอยู่ในสวนเหมยของวังจนเรียบ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี ฝ่าบาทเลยสั่งให้คนทำโซ่ตรวนเหล็กเหล่านั้นขึ้นโดยเฉพาะ ยามที่ท่านอ๋องอาการคลุ้มคลั่งค่อยมัดเพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาทำร้ายคนอื่น”
พอพูดถึงตรงนี้สองดวงตาของผู้เฒ่าเซวียเริ่นก็อดแดงก่ำมิได้ เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดเบื้องบนถึงเพิ่มความทุกข์ทรมานบนร่างเด็กน้อยคนหนึ่งเช่นนี้ ท่านอ๋องเสียมารดาไปตั้งแต่วัยเยาว์ เขาใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในวังมาตั้งแต่เด็กจนโตยังไม่น่าสงสารพออีกหรือ
“ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นเลยหรือ”
เซวียเริ่นส่ายศีรษะเอ่ย “ปีก่อนฝ่าบาทถึงขั้นรับสั่งให้ทหารล้อมเย่าหวังกู่ไว้ สุดท้ายเจ้าสำนักก็ออกมาตรวจดูอาการให้ท่านอ๋องด้วยตัวเอง ทว่าก็ยังหาสาเหตุไม่พบเช่นเคย”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นมู่ชิงอีเลยทำได้แค่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็เอายาส่งให้เซวียเริ่นแล้วเอ่ย “ผู้ดูแลเซวียสั่งคนไปจัดแจงยาเถิด”
เซวียเริ่นพยักหน้า “เช่นนั้นข้าขอตัว”
ครั้นเห็นเซวียเริ่นออกไปแล้ว มู่ชิงอีถึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในด้านใน หรงจิ่นกำลังนอนอยู่บนเตียงภายในห้องนอน ถึงแม้เขาจะลืมตา แต่พอเห็นสองดวงตาเหม่อลอยของเขาก็รู้ว่าเวลานี้เขาคงไม่มีเรี่ยวแรงทรมานใครอีกแน่นอน
ชิงเอ๋อร์และอู๋ฉิงยืนขนาบข้างซ้ายขวาอยู่ตรงหัวเตียง แต่สิ่งที่ต่างกันคืออู๋ฉิงเพียงกอดดาบยืนอยู่ตรงหัวเตียง ทว่าชิงเอ๋อร์เอาแต่ขยำผ้าเปียกในมือพร้อมน้ำตาคลอเบ้า ชั่งใจไม่กล้าเดินเข้าไปสักที
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบาแล้วรับผ้าเปียกชุ่มนั้นมา “ข้าจัดการเอง”
ชิงเอ๋อร์กำผ้าแน่นแล้วถอยไปก้าวหนึ่งอย่างรวดเร็วจนทำเอามือของมู่ชิงอีคว้ามาเพียงความว่างเปล่า “ขอบคุณหัวหน้าผู้ดูแลกู้มาก แต่การดูแลท่านอ๋องเป็นหน้าที่ของข้า ข้ามิกล้ารบกวนหัวหน้าผู้ดูแลหรอกเจ้าค่ะ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร จากนั้นก็เดินไปนั่งลงตรงข้างเตียงพลางมองหรงจิ่นที่มีท่าทีอ่อนแรงสติล่องลอยจากมุมสูงก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “ยังจะแผลงฤทธิ์อีกหรือไม่ แผลงฤทธิ์แบบนี้แล้วมีผลดีเช่นใดต่อท่านบ้างเล่า”
หรงจิ่นกะพริบตาปริบๆ “ชิงชิง…เจ็บ”
“เจ็บตรงไหนเพคะ”
หรงจิ่นลังเลครู่หนึ่งถึงเอ่ย “เจ็บไปหมด”
มู่ชิงอีถอนหายใจแล้วมองอู๋ฉิงที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง อู๋ฉิงรับรู้ได้ในทันที คว้าผ้าเปียกในกะละมังผืนหนึ่งมาบิดให้หมาดก่อนส่งให้มู่ชิงอี มู่ชิงอีช่วยซับเหงื่อให้เขาอย่างเบามือ จากนั้นก็เปลี่ยนผ้าเปียกอีกผืนมาวางไว้บนหน้าผากเขาแล้วเอ่ย “หากวันหลังแผลงฤทธิ์อีก ท่านก็รอดูได้เลยว่าหม่อมฉันจะยังสนใจท่านอีกหรือไม่”
หรงจิ่นหลุบตาลงก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าไม่ได้แผลงฤทธิ์สักหน่อย…ก็เป็นแบบนี้ตลอด” ถึงอย่างไรเสียหลังจากเกิดอาการคลุ้มคลั่งแล้วเขาก็ต้องนอนซมป่วยอีกสองวันจนทำอะไรไม่ได้ แล้วเหตุใดถึงไม่รีบฉวยโอกาสตอนยังมีแรงอยู่ทำในเรื่องที่อยากทำแล้วพูดในสิ่งที่ตนอยากพูดเล่า
“พักผ่อนให้มากๆ เถิด ไม่นานก็หายแล้วเพคะ” มู่ชิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน
หรงจิ่นยิ้มกริ่มอย่างสุขใจฉายชัดในแววตา ก่อนจะพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก
“ทูลท่านอ๋องและหัวหน้าผู้ดูแลกู้ จื้ออ๋อง จวงอ๋อง รวมถึงท่านอ๋องและองค์ชายคนอื่นๆ มาเยี่ยมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ดูแลนอกประตูรีบวิ่งเข้ามาทูลรายงาน
มู่ชิงอีขมวดคิ้ว หรงจิ่นในเวลานี้ไม่เหมาะจะพบใครเลย อีกทั้งด้วยนิสัยของหรงจิ่นแล้วเกรงว่าคงไม่อยากเจอพวกเขาแน่นอน และเป็นไปตามคาดเพราะแค่หันไปก็เห็นหรงจิ่นเอียงศีรษะแกล้งหลับไปแล้ว
“ช่างเถอะ เชิญท่านอ๋องทั้งหลายไปดื่มชาที่ห้องโถงก่อน ข้าจะรีบตามไป” พอขบคิดดูแล้ว มู่ชิงอีก็ออกคำสั่ง
เหล่าท่านอ๋ององค์ชายมาเยี่ยมถึงจวนคงมิอาจให้เขาวางของฝากทิ้งไว้แล้วไล่เขากลับไปได้กระมัง ตอนนี้ในจวนยังไม่มีพระชายา นอกจากตัวหรงจิ่นเองแล้วก็มีเพียงหัวหน้าผู้ดูแลอย่างนางที่ต้องเข้าไปต้อนรับท่านอ๋องเหล่านั้น ทว่า…หรงจิ่น...มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง เพราะถึงอย่างไรนางก็หลบได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวแต่คงหลบไปชั่วชีวิตไม่ได้ นอกเสียจากนางจะหลบอยู่ในจวนอวี้อ๋องไม่ออกไปไหนเลยชั่วชีวิต มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่หรงเหยี่ยน ต่อให้เป็นมู่หรงอวี้จะไม่เจอหน้ากันเลยได้อย่างไร