พอเงยหน้าขึ้น ทุกคนถึงเห็นหน้าตาได้อย่างชัดเจน แม้แต่คนช่างเลือกยังลอบอดชื่นชมในใจไม่ได้ว่าเป็นคนหน้าตาดี เดิมทีนึกว่ารูปโฉมของหรงจิ่นหล่อเหลาที่สุดในบรรดาบุรุษคนอื่นๆ แล้ว ทว่าหนุ่มน้อยตรงหน้ากลับสูสีพอๆ กับหรงจิ่น ถึงแม้อายุยังน้อย แต่เค้าโครงรูปหน้ากลับงดงามกว่าหรงจิ่นด้วยซ้ำ อีกทั้งแตกต่างจากรังสีเชือดเฉือนราวกับอยากทำร้ายคนตลอดเวลาของหรงจิ่น หนุ่มน้อยผู้นี้ชวนให้รู้สึกเบาสบายดั่งลมแต่กลับหนักแน่นดั่งต้นไผ่ ดวงตาคิ้วงดงาม การพูดจาและทุกท่วงท่าสุขุมสง่างาม แต่ภายในความสุขุมนั้นกลับแฝงไปด้วยความเป็นธรรมชาติ
หรงเหยี่ยนจับจ้องหนุ่มน้อยที่อยู่ในห้องโถงแน่นิ่ง ถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่หรงเหยี่ยนกลับจดจำตัวตนของหนุ่มน้อยผู้นี้ได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น เมื่อหนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านี้หนุ่มน้อยชุดขาวผู้นี้ยังติดตามมู่หรงซีและกู้ซิ่วถิงในเมืองหลวงแคว้นหวา ก่อเรื่องวุ่นวายด้วยการวางอุบายต่างๆ จนเชื้อพระวงศ์ของฮ่องเต้แคว้นหวาโกลาหลไปหมด แต่เขาผู้นี้กลับยังคงหลบซ่อนปิดบังตัวตนได้…เขาก็คือจังชิง
มู่ชิงอีไม่หลบหลีกแววตาที่มองมาของหรงเหยี่ยนเลยสักนิด นางเพียงฉีกยิ้มกว้างเอ่ย “ท่านอ๋องนอนซมป่วยอยู่บนเตียงเลยไม่สะดวกออกมาต้อนรับท่านอ๋องทุกท่าน ทุกท่านโปรดอภัยให้ด้วย”
“พี่เก้าป่วยจริงๆ หรือ” องค์ชายสิบเอ็ดร้องแหวเสียงสูง ความจริงก็ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าหรงจิ่นป่วยเสียทีเดียว ในเมื่อสุขภาพของหรงจิ่นเป็นเช่นนี้มาตลอด เพียงแต่อยู่ว่างๆ เบื่อหน่ายเลยจงใจหาเรื่องก็เท่านั้น
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว เสียใจนักที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับทุกท่านด้วยตัวเอง รอท่านอ๋องหายป่วยดีแล้วจะไปเยี่ยมขอบคุณทุกท่านถึงที่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้ เพราะหัวหน้าผู้ดูแลกู้มาใหม่เลยไม่เข้าใจนิสัยของหรงจิ่นถึงได้พูดเช่นนี้ หรงจิ่นผยองโอหังมาตั้งหลายปี เขาเคยเกิดความละอายใจและเสียใจต่อเหล่าพี่น้องคนอื่นๆ เสียที่ไหนกัน เขาคงแค่รังเกียจของฝากที่ทุกคนเอามาให้ว่าไม่เหมาะสม จากนั้นก็โยนทิ้งไปเสียมากกว่า
มู่ชิงอีทำทีราวกับว่าไม่เห็นสีหน้าของทุกคน นางยังคงยืนนิ่งด้วยท่าทีสงบพลางฉีกยิ้มอ่อนโยนงามสง่าดังเดิม
องค์ชายสิบมองมู่ชิงอีพลางเลิกคิ้วด้วยท่าทีประหลาดใจกล่าว “เจ้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของจวนอวี้อ๋องจริงๆ หรือ”
มู่ชิงอีก้มหน้าคลี่ยิ้มบางเอ่ย “เรื่องนี้จะล้อเล่นได้ที่ไหนกันพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่…ดูท่าทางเจ้าอายุยังไม่ครบสิบหกปีเลยกระมัง” องค์ชายสิบเอ่ย “เจ้ายังเด็กขนาดนี้จะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนอวี้อ๋องได้เช่นไร เจ้ารู้จักพี่เก้าได้อย่างไรหรือ”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “วันก่อนเจอท่านอ๋องที่ตลาดม้าโดยบังเอิญ จากนั้นก็รู้สึกถูกชะตากันโดยไม่รู้ตัว ท่านอ๋องเชื้อเชิญมาด้วยใจจริง ประจวบกับกระหม่อมเองก็ต้องอยู่เมืองหลวงต่ออีกนานเลยรับคำเชิญพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสิบเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “เจ้าบอกว่าเจ้ากับพี่เก้ารู้จักกันยังไม่ถึงสิบวันอย่างนั้นหรือ”
“หลิวอวิ๋นเพิ่งรู้จักกับท่านอ๋องไม่นานก็จริง แต่เจอกันครั้งแรกก็เหมือนเป็นสหายเก่าแก่ที่รู้จักกันมานานก็ไม่ปาน” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ กู้หลิวอวิ๋นกับหรงจิ่นเพิ่งรู้จักกันจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้คนที่หรงจิ่นรู้จักคือมู่ชิงอีและจังชิงต่างหาก
“คุณชายกู้เป็นคนแคว้นหวาหรือ” จู่ๆ หรงเหยี่ยนที่ปิดปากเงียบมาตลอดก็เอ่ยถามขึ้น
มู่ชิงอีกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร นางเอ่ยพลางอมยิ้ม “กระหม่อม…มีกิจการของตระกูลอยู่ที่แคว้นหวา คงนับว่าเป็นคนแคว้นหวาได้กระมัง”
หรงเหยี่ยนหรี่ตาเอ่ยเสียงนิ่ง “ตอนอยู่แคว้นหวาข้าเคยเจอหนุ่มน้อยคนหนึ่งหน้าตาเหมือนคุณชายกู้มาก เขาเองก็รู้จักกับน้องเก้าเช่นกัน ไม่รู้ว่าคุณชายกู้รู้จักเขาหรือไม่ เขาแซ่จัง นามว่าชิง”
หรงเหยี่ยนจับจ้องหนุ่มน้อยชุดขาวตรงหน้าไม่วางตา หนุ่มน้อยชุดขาวที่มีนามว่ากู้หลิวอวิ๋นตรงหน้ามีส่วนคล้ายคลึงจังชิงถึงแปดส่วน หรงเหยี่ยนมั่นใจมากว่าต้องเป็นคนเดียวกันแน่นอน เขาไม่สนใจว่าหรงจิ่นจะเอาหัวหน้าผู้ดูแลที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าจากไหนมา แต่หากเป็นคนเหมือนจังชิง เขาย่อมอดจับตาดูไม่ได้
“จังชิงหรือ” มู่ชิงอียิ้มบางส่ายศีรษะเอ่ย “ตวนอ๋องโปรดอภัยให้ด้วย กระหม่อมไม่รู้จักคนผู้นี้”
“กล่าวเช่นนี้ คุณชายกู้เองก็ไม่รู้จักกู้ซิ่วถิงหรือ” หรงเหยี่ยนกล่าว
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยยิ้มๆ “คือว่า…ตอนนั้นชื่อเสียงของคุณชายซิ่วถิงดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งแคว้นหวา แล้วกระหม่อมจะไม่รู้จักได้เช่นใดเล่า ยิ่งไปกว่านั้น…กระหม่อมก็แซ่กู้เช่นกัน”
ถึงแม้เหล่าองค์ชายจะไม่รู้เรื่องแคว้นหวาไปเสียทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ อยู่บ้าง องค์ชายเจ็ดเลิกคิ้วจับจ้องกู้หลิวอวิ๋นเอ่ย “หรือว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลกู้แคว้นหวาอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีพยักหน้ารับโดยไม่สะทกสะท้านใดๆ กล่าว “กระหม่อมมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลกู้จริงๆ เพียงแต่…เพราะเรื่องบางเรื่องเลยทำให้กิจการทางบ้านส่วนมากถูกโยกย้ายมาที่แคว้นเย่ว์เมื่อหลายปีก่อนแทนพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนเข้าใจในทันที เมื่อหลายปีก่อนจะมีเรื่องอันใดได้ แน่นอนต้องเป็นเพราะเรื่องคดีที่ตระกูลกู้ถูกใส่ความแน่นอน ตอนนั้นมีคนถูกโยงเข้าไปพัวพันด้วยไม่น้อย ในเมื่อเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้แซ่กู้ ถึงแม้จะไม่ใช่คนในตระกูลกู้จริงๆ แต่เกรงว่าคงเป็นเครือญาติเหมือนกัน หากตอนนั้นจะหนีหลบเข้ามาในแคว้นเย่ว์คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ตระกูลกู้เกือบถูกฮ่องเต้แคว้นหวาทำลายจนสิ้นจึงไม่กังวลเลยว่าคนในตระกูลกู้จะมีการติดต่อกับแคว้นหวาอีกหรือไม่
“เหตุใดน้องสี่ถึงสนใจภูมิหลังของหัวหน้าผู้ดูแลกู้นักหรือ” องค์ชายสองหรงเซวียนเอ่ยขึ้นพลางขบคิดบางอย่าง
หรงเหยี่ยนผงะไปแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ก็แค่เห็นคุณชายกู้กับคุณชายจังผู้นั้นหน้าตาละม้ายคล้ายกันมาก คนที่ยอดเยี่ยมอนาคตไกลเช่นนี้ บนโลกนี้มีเพียงคนเดียวก็นับว่าหาเจอได้ยากมากแล้ว ทว่ากลับมีตั้งสองคน ข้าเลยนึกแปลกใจขึ้นมาชั่วขณะ”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “คิดว่าคนเฉกเช่นกระหม่อมบนโลกนี้คงมีอยู่ไม่น้อย แต่ในเมื่อได้รับคำชมจากตวนอ๋องเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเกียรติทั้งสามชาติภพของกระหม่อมแล้ว”
หรงเหยี่ยนมุ่นคิ้วแล้วไม่พูดอะไรอีก กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้ดูท่าทางสงบเกินไป แม้แต่แววตายังไม่มีพิรุธใดราวกับพวกเขาเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกจริงๆ หากไม่ใช่เพราะบังเอิญใบหน้าคล้ายคลึงกันมากขนาดนี้ เกรงว่าหรงเหยี่ยนคงนึกสงสัยเช่นกันว่าตนจะขี้ระแวงมากเกินไปหรือไม่
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ในทางกลับกันเขายิ่งใคร่รู้มากกว่าว่าตกลงน้องเก้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ในเมื่อหรงจิ่นพาคนแบบนี้กลับมาจากแคว้นหวาด้วย หากกล่าวว่าหรงจิ่นไม่มีแผนการใดเลยเขาคงไม่มีทางเชื่อแน่นอน
สำหรับภายในใจของหรงเหยี่ยนแล้ว ศัตรูตัวฉกาจในเวลานี้ไม่ใช่หรงจิ่นแต่เป็นองค์ชายใหญ่อย่างหรงหวงและคนที่มีอำนาจทางการทหารในมืออย่างหรงเซวียน หากหรงจิ่นมีแผนการใดดั่งที่เขาคิดไว้จริงๆ ก็เป็นแค่เป้าหมายที่ต้องรีบฉกฉวยโอกาสดึงเข้ามาเป็นพวกด้วยก็เท่านั้น
มู่ชิงอียืนสนทนาเป็นเพื่อนเหล่าอ๋องทั้งหลายอย่างสำรวม ถึงแม้ทุกคนจะตกใจที่หนุ่มน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้จะมีบุคลิกและนิสัยน่าตกตะลึง ทว่ากลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก สักพักก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ
“คุณชายกู้ ก่อนหน้านี้น้องชายของข้าทำให้คุณชายต้องลำบากแล้ว ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเลย” ขณะกำลังจะกลับ อยู่ดีๆ จวงอ๋องหรงเซวียนก็เปิดปากพูดขึ้น
เพียงแต่ชั่ววินาทีนั้นมู่ชิงอีกลับเข้าใจความหมายที่หรงเซวียนต้องการจะสื่อขึ้นมาทันทีจึงยิ้มเอ่ย “ท่านอ๋องเกรงใจกันแล้ว กระหม่อมกับหนานกงถูกชะตากันมาก และไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรด้วย”
หรงเซวียนยิ้มบางกล่าว “เพิ่งจะรู้จักกันก็ให้ยืมเงินตั้งสองหมื่นกว่าตำลึง จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร น้องชายไม่ค่อยสะดวกนัก อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนเอาตั๋วเงินมาให้ เป็นอย่างไรเล่า”
มู่ชิงอีหลุบตาลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เป็นเพราะอวี้อ๋องแผลงฤทธิ์ จวงอ๋องโปรดอภัยให้ด้วย” เห็นได้ชัดว่าหรงเซวียนผู้นี้ไม่ได้เป็นนักสู้ที่ฟาดฟันดาบเป็นอย่างเดียว ในเมื่อรู้เรื่องที่หนานกงอวี้ยืมเงินนาง เช่นนั้นย่อมต้องรู้เรื่องที่หนานกงอวี้ถูกหรงจิ่นเอาเปรียบด้วยแน่นอน
หรงเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองหนุ่มน้อยสดใสตรงหน้า ชั่วขณะนั้นเขาดูไม่ออกว่าตกลงพูดถึงเรื่องที่หรงจิ่นประมูลแข่งกับหนานกงอวี้จนทำให้เขาต้องใช้เงินมากมายเพื่อซื้อม้าตัวเดียว หรือเรื่องที่หรงจิ่นแอบได้เงินส่วนแบ่งกันแน่ เดิมทีหรงเซวียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลย หรงจิ่นชอบก่อเรื่องวุ่นวายและพวกเขาเองก็ชินชากันนานแล้ว แต่หากหรงจิ่นเจาะจงกลั่นแกล้งหนานกงอวี้ล่ะก็ เขาคงอดให้ความสนใจไม่ได้ ในเมื่อบนโลกนี้ใครๆ ต่างก็รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหนานกง