สักพักใหญ่หรงเซวียนถึงเอ่ยยิ้มบางกล่าว “หัวหน้าผู้ดูแลกู้เกรงใจกันเกินไปแล้ว น้องเก้าเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อมากเลยรักสนุกชอบก่อเรื่องจนเสียนิสัย ข้าจะถือโทษได้เช่นใดเล่า ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน ฝากบอกน้องเก้าด้วยว่าให้รักษาตัวดีๆ”
มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วส่งพวกเขาออกนอกประตูใหญ่ด้วยท่าทีนอบน้อมพลางมองแววตาราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างของเหล่าองค์ชายท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ในชุดผ้าแพรลวดลายอุ้งเท้ามังกร มู่ชิงอีลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย องค์ชายแคว้นหวาแต่ละคนมักวางอุบายไม่หยุดหย่อน ในขณะที่องค์ชายของแคว้นเย่ว์ก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน
รอจนกระทั่งหรงจิ่นอาการป่วยดีขึ้นแล้ว มู่ชิงอีจึงบีบบังคับอวี้อ๋องที่กระฟัดกระเฟียดเอาของกำนัลไปเยี่ยมเยียนกลับคืนให้ท่านอ๋องคนอื่นๆ แต่ละจวน ชั่วขณะนั้นท่านอ๋ององค์ชายทั้งหลายพลันรู้สึกได้รับความรักใคร่อย่างเหนือความคาดหมาย ทว่าหลังจากส่งพวกเขากลับแล้ว แต่ละคนก็จับจ้องของกำนัลที่นำมาฝากซึ่งวางไว้บนโต๊ะพร้อมขมวดคิ้วมุ่นราวกับนั่นไม่ใช่ของแสดงความขอบคุณจากจวนอวี้อ๋องแต่เป็นยาพิษที่อาจปลิดชีพคนได้ก็มิปาน
ภายในจวนจวงอ๋อง หรงเซวียนจับจ้องกล่องของกำนัลบนโต๊ะพลางขมวดคิ้วทรงดาบมุ่น ส่วนข้างกายเขายังมีแม่ทัพใหญ่ที่ทรงอิทธิพลน่าเกรงขามอย่างหนานกงเจวี๋ย หนานกงอี้บุตรชายคนโตของตระกูลหนานกง รวมถึงบุตรชายคนรองของตระกูลหนานกงที่เผยสีหน้าเกียจคร้านอย่างหนานกงอวี้นั่งอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีองค์ชายหกหรงเชิง บังเอิญว่าจวนองค์ชายหกกับอวี้อ๋องอยู่ใกล้กัน เพราะเหตุนี้คนที่ได้รับความสะเทือนใจคนแรกก็คือองค์ชายหกหรงเชิง กระทั่งยามที่องค์ชายหกยกของกำนัลน่าหวาดผวานี้ไปที่จวนขององค์ชายสองที่ตนสนิทสนมที่สุด แม้แต่คนที่แน่วแน่เด็ดขาดในเดิมทีอย่างองค์ชายสองยังมองกล่องของกำนัลนั้นแน่นิ่ง
หนานกงอวี้แค่นเสียงเย้ยหยันอย่างหงุดหงิดใจแล้วเอ่ย “ก็แค่ของกำนัลมิใช่หรือ ลองเปิดดูก็สิ้นเรื่องแล้ว” เขาเกลียดคนพวกนี้มากที่สุดแล้ว ไม่ว่าเรื่องจะง่ายดายเพียงใดก็รั้นจะหาเหตุผลนับสิบมาทำให้เป็นเรื่องยากอยู่เรื่อย ก็แค่ของกำนัลชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง อวี้อ๋องจะถึงขั้นทายาพิษด้านบนกล่องเพื่อวางพิษฆ่าองค์ชายทั้งหมดหรืออย่างไรกัน
หนานกงอี้กวาดตามองน้องชายแวบหนึ่งด้วยท่าทีหัวเสียกับความไม่ได้เรื่องของเขากล่าว “อวี้อ๋องเคยเอาของกำนัลมาให้อย่างจริงๆ จังๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน มีเพียงคนเดียวที่เคยได้รับของกำนัลจากเขาครั้งหนึ่ง สุดท้ายต้องเจอกับความโชคร้ายแบบใด เจ้าคงลืมไปแล้วกระมัง”
เมื่อสามปีก่อนในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติสามสิบชันษาขององค์ชายห้า เขารั้นจะให้องค์ชายเก้ามอบของกำนัลให้เขาให้ได้ ขณะตอนอยู่ในงานเลี้ยงก็ได้รับกล่องของกำนัลขนาดใหญ่มหึมาใบหนึ่ง หลังจากเปิดดูก็เห็นเพียงดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ส่งกลิ่นเหม็นประหลาดในกระถางหยกใบหนึ่งเท่านั้น เหล่าแขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างปิดจมูกวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงอย่างยากที่จะรับไหว ถึงกระนั้นกลิ่นประหลาดนั้นก็ยังฟุ้งอบอวลอยู่ในจวนองค์ชายห้านานถึงเดือนกว่า ต่อมาองค์ชายห้าก็เข้าวังไปฟ้องฝ่าบาท ทว่าเสด็จพ่อกลับตรัสว่าองค์ชายเก้าอยู่ในช่วงวัยคึกคะนองให้ปล่อยผ่านไป องค์ชายห้าผู้น่าสงสารเลยจำต้องอาศัยอยู่เรือนนอกเมืองหนึ่งเดือนเต็มเพราะไม่มีจวนให้กลับ
ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทุกคนก็อดชาวาบที่ศีรษะไม่ได้ จากนั้นแววตาที่มองไปทางกล่องกำนัลก็ยิ่งหวาดระแวงมากกว่าเดิม
ทว่าไม่รู้แม้แต่ว่าเขาให้อะไรมาก็ใช่เรื่อง หนานกงเจวี๋ยแค่นเสียงเบาก่อนลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินเข้าไป ทุกคนรีบถอยหนีไปไกลหลายจั้ง แม่ทัพใหญ่หนานกงมีวิทยายุทธเหนือใครในใต้หล้า ต่อให้เจอสิ่งที่รับมือได้ยากก็คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง
หนานกงเจวี๋ยเปิดฝาออก พอเห็นของด้านในก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ท่านพ่อ…เป็นอันใดไปหรือ…” หนานกงอี้เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล หรือว่าเป็นของอะไรร้ายแรงอย่างนั้นหรือ
หนานกงเจวี๋ยกระตุกยิ้มมุมปากเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีอะไรหรอก มาดูเถิด”
เวลานี้ทุกคนถึงผ่อนลมหายใจ พอเดินเข้าไปดูก็พบว่าไม่มีอะไรแปลกประหลาดจริงๆ เขาเห็นเพียงของประดับหยกประณีตงดงามคู่หนึ่งภายในกล่องสีม่วงอ่อนปักลายก้อนเมฆ ด้านข้างยังมีกล่องไม้หอมขนาดกะทัดรัดใบหนึ่งวางอยู่ด้วย หรงเซวียนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปเปิดออกก็เห็นตั๋วเงินมูลค่าห้าพันตำลึงสิบใบวางอย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งยังมีจดหมายสภาพสวยงามอีกฉบับวางอยู่ด้วย
หรงเซวียนมองแค่แวบเดียวก็รู้เลยว่าลายมือบรรจงงดงามนี้ไม่ใช่ลายมือของน้องเก้าแน่นอน สุดท้ายก็เห็นตัวอักษรกู้งามสง่าเขียนในตอนท้ายของจดหมายตามที่คาดเอาไว้ ด้านในจดหมายเขียนว่าเรื่องที่ตลาดม้าวันนั้นเป็นเพราะท่านอ๋องอยากกลั่นแกล้งคุณชายรองหนานกงสนุกๆ ชั่วขณะเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายรองจะรักม้าถึงเพียงนี้ จวงอ๋องโปรดนำตั๋วเงินให้ตระกูลหนานกงด้วย และขอให้คุณชายหนานกงอย่าได้ถือสาหาความกันเลย
หรงเซวียนหยิบตั๋วเงินส่งให้หนานกงอวี้ด้วยใบหน้าสับสนแล้วถอนหายใจเอ่ย “ครั้งนี้น้องเก้าหาหัวหน้าผู้ดูแลได้ไม่เลวเลยจริงๆ” ตามที่หรงเซวียนรู้จักหรงจิ่นมา เขาไม่มีความอดทนในการเลือกสรรของกำนัลอะไรเช่นนี้แน่นอน คิดว่านี่คงเป็นฝีมือของหนุ่มน้อยตระกูลกู้นั่นจัดการมากกว่า รู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัย จดหมายที่ส่งมาก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ช่างเป็นยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง
หนานกงอวี้รับตั๋วเงินมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นแววตาก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ เมื่อครู่พอได้ยินว่าหลิวอวิ๋นเป็นหัวหน้าผู้ดูแลในจวนอวี้อ๋อง เขาก็พลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ตอนนี้…อวี้อ๋องชอบแผลงฤทธิ์ ต่อให้หลิวอวิ๋นเป็นหัวหน้าผู้ดูแลก็ใช่ว่าจะคุมได้ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งๆ ที่พวกเขารู้จักกันก่อนแล้ว…เรื่องนี้จะโทษหลิวอวิ๋นไม่ได้
หนานกงอี้มุ่นคิ้วขบคิดเอ่ย “เช่นนั้นน้องรองก็ไปมาหาสู่กับกู้หลิวอวิ๋นได้บ่อยๆ เช่นกัน” ไม่ว่านิสัยที่แท้จริงขององค์ชายเก้าจะเป็นเช่นใดก็คงเปลี่ยนแปลงผลกระทบและความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อเขาไม่ได้อยู่ดี หากสามารถผูกมิตรกับองค์ชายเก้าได้ก็ถือว่ามีเกียรติต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทบ้าง ถึงแม้องค์ชายสองจะมีคุณงามความดีเรื่องศึกทหาร อีกทั้งความสามารถก็ไม่ด้อย แต่เบื้องหน้าก็ยังมีจื้ออ๋ององค์ชายใหญ่คอยขวางทางอยู่ วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็คงบอกได้ยาก
หนานกงอวี้ขมวดคิ้วมุ่น ถึงแม้เขาไม่อยากพัวพันเรื่องพวกนี้ด้วยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจเลย แน่นอนว่าย่อมรู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร แต่หากให้ปฏิเสธเสียงแข็ง เขาเองก็ไม่เต็มใจนัก ถึงแม้จะรู้จักกับหลิวอวิ๋นเพียงผิวเผิน แต่เขากลับรู้สึกถูกชะตาอย่างมาก นับว่าเป็นบุคคลที่นานๆ ทีเขาจะอยากทำความรู้จักในเมืองหลวงนี้ด้วยซ้ำ
องค์ชายหกมุ่นคิ้วแล้วครุ่นคิด “พี่สอง บัดนี้น้องเก้า…มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่”
หรงเซวียนเลิกคิ้ว “น้องหกหมายความว่าอย่างไร”
ทุกคนต่างหันไปมองหรงเชิงพร้อมกัน หรงเชิงเอ่ย “เรื่องที่เสด็จพ่อทรงโปรดปรานน้องเก้าคงไม่ต้องพูดถึง หลายปีมานี้เสด็จพ่อไม่เคยให้น้องเก้ามาทำงานในราชสำนักเลย หนึ่งเพราะสุขภาพของน้องเก้า สองเพราะนิสัยของน้องเก้าออกจะ…หากตอนนี้น้องเก้าเปลี่ยนนิสัยปรับปรุงตัวแล้ว เกรงว่าอิทธิพลในราชสำนักคง…”
ทุกคนพลันเงียบกริบ หากดูจากความโปรดปรานของฝ่าบาทที่มีต่อองค์ชายเก้า แต่หลายปีมานี้กลับไม่เคยให้อำนาจกับเขาเลยจนน่าแปลกใจ เพียงแต่ด้วยสุขภาพและนิสัยขององค์ชายเก้าก็ไม่เหมาะสมจะทำเรื่องเป็นทางการอะไรจริงๆ หากจู่ๆ องค์ชายเก้าเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นล่ะก็ เกรงว่าฝ่าบาทคงรู้สึกพอพระทัยกระมัง แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง อำนาจในราชสำนัก…เกรงว่าคงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
หนานกงอี้เล่นพัดในมือพลางเอ่ยขึ้นว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะไม่ดีเสียทีเดียว องค์ชายเก้าเข้าราชสำนักมาช้า ตอนนี้อำนาจในราชสำนักนั้นมั่นคงแล้ว ในขณะเดียวกันยามนี้จื้ออ๋อง ท่านอ๋องและตวนอ๋องก็มีอำนาจถ่วงดุลพอๆ กันแล้ว หากมีใครสักคนเข้ามาไกล่เกลี่ยก็ใช่ว่าจะแย่เสมอไป”
หรงเซวียนส่ายศีรษะเอ่ย “พูดเรื่องนี้ยังเร็วไป รอวันที่น้องเก้าเข้าราชสำนักจริงๆ ค่อยว่ากัน ทว่า…น้องเก้ามีจวนแล้ว เกรงว่าเสด็จพ่อคงเริ่มคิดเรื่องอภิเษกแล้วกระมัง”
ทุกคนสบสายตากันไปมาราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง หนานกงอวี้ขมวดคิ้วเอ่ย “พวกท่านอยากเกี่ยวดองกับองค์ชายเก้ามิใช่หรือ แม่นางคนใดพอจะรับนิสัยขององค์ชายเก้าได้บ้างเล่า”
หนานกงอี้ยิ้มกล่าว “หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คุ้มค่าที่จะลอง พูดถึงน้องหญิงห้ากับน้องหญิงเจ็ด ต่างก็ถึงวัยที่ควรจะออกเรือนแล้วเหมือนกัน”