“พวกท่านบ้าไปแล้วจริงๆ หรือ” หนานกงอวี้เอ่ย เขาไม่ได้ต่อต้านเรื่องเกี่ยวดอง เพราะการเกี่ยวดองกันระหว่างตระกูลผู้มีอำนาจย่อมเป็นการเกี่ยวดองที่ได้ผลประโยชน์ แต่ใช่ว่าจะส่งไปทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นการส่งคนไปตาย องค์ชายเก้าอายุสิบเก้าชันษาแต่ยังไม่ได้อภิเษกคงไม่ใช่เพราะสุขภาพที่อ่อนแอ แต่เป็นเพราะนิสัยอันดุร้ายจึงกลายเป็นเช่นนี้ ไม่มีแม่นางคนใดกล้าอภิเษกกับเขาหรอกกระมัง
หนานกงเจวี๋ยโบกมือเอ่ย “เรื่องนี้พวกเราไตร่ตรองกันเร็วเกินไป หากยังไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาทใครจะกล้าพูดอันใดได้เล่า”
หนานกงอี้เอ่ยเสียงเรียบ “หากองค์ชายเก้าอยากเข้าราชสำนักจริงๆ เห็นทีคงต้องเลือกตัวพระชายาแล้ว” หากอยากกลายเป็นผู้ปกครองความสงบสุขในใต้หล้า ในสายตาของคนทั้งโลกมองว่าบุรุษที่ยังไม่ได้ผ่านการแต่งงานก็ถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ แน่นอนว่าย่อมไม่มีความสามารถในการปกครองความสงบสุขในใต้หล้าด้วย
หรงเซวียนมองหยกคู่นั้นบนโต๊ะ คิ้วทรงดาบมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย เขามักรู้สึกว่า…เมืองหลวงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น
เดิมทีการมอบของกำนัลตอบแทนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ทว่าพอเรื่องนี้มาอยู่บนร่างขององค์ชายเก้าอวี้อ๋องที่ไม่รู้ว่ามารยาทการมอบของกำนัลตอบแทนคืออะไร ล้วนทำให้ทุกคนในเมืองหลวงต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ
คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเก้าจะมอบของกำนัลตอบแทนเป็นด้วย อีกทั้งยังเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยียนจวนอ๋องแต่ละที่ด้วยตัวเองอีกต่างหาก หรือว่าองค์ชายเก้าจะโตเป็นผู้ใหญ่สักที เพียงแต่…ช่วงวัยเยาว์ไม่รู้ความขององค์ชายเก้าจะดูยาวนานไปเสียหน่อย
แต่คนเหล่านี้กลับไม่รู้เลยว่าองค์ชายเก้าที่พวกเขาต่างชื่นชมว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกำลังกลับกลายเป็นเด็กน้อยอยู่ในจวนอวี้อ๋อง ณ เวลานี้
“ชิงชิง…เจ้ามอบของมากมายขนาดนี้ให้พวกเขาทำไมกัน…อีกอย่างตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงนั่นด้วย นั่นเป็นเศษเงินที่ข้าให้ชิงชิงนะ” หรงจิ่นที่แต่ไหนแต่ไรมารู้จักแต่รับของแต่ไม่รู้จักการมอบของกำลังฟุบตัวอยู่บนโต๊ะอย่างไร้เรี่ยวแรงด้วยความรู้สึกไม่ชินนัก
มู่ชิงอีวางพู่กันลงแล้วเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง “ท่านยากจนหรืออย่างไรกันเพคะ การมอบของกำนัลตอบแทนเป็นมารยาทที่พึงมี หากวันหน้าไม่ตอบแทนเลยใครจะอยากมอบของให้ท่านอีกเล่า”
หรงจิ่นพลันรู้สึกได้ใจ “แต่เล็กจนโตข้าไม่เคยให้ของกำนัลตอบแทน อีกอย่างใครจะกล้าบังอาจไม่ส่งของกำนัลให้ข้ากัน”
เรื่องแบบนี้…มันน่าภูมิใจ?
มู่ชิงอีที่ไม่รู้ว่าเขาได้ใจเรื่องใดก็เบะปากอย่างหมดคำพูด แต่พูดถึงแล้ว หรงจิ่นก็ยากจนจริงๆ นั่นแหละ มู่ชิงอีเปิดสมุดบัญชีในมือไปมาก่อนยกขึ้นแล้วใช้สมุดบัญชีตีศีรษะเขาเบาๆ หนึ่งที
พอหรงจิ่นยกมือขึ้น สมุดบัญชีก็ตกลงมาอยู่ในมือพอดี เขากะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างไร้เดียงสาว่า “ชิงชิง?”
“อธิบายมาให้ชัดเจนว่าเงินในนี้หายไปไหนหมดเพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ
“อธิบาย…” หรงจิ่นแววตาล่องลอย “อธิบายอันใดกัน”
มู่ชิงอียิ้มเยาะเอ่ย “อย่าบอกนะว่าถูกผู้ดูแลเอาเปรียบจนหมดตัว หากกล้ายักยอกสักหนึ่งในสิบก็ถือว่าใจกล้าไม่เลวแล้ว” พูดถึงแล้ว การมีนิสัยดุร้ายก็มีข้อดีเหมือนกัน แต่ไหนแต่ไรมาหรงจิ่นไม่เคยยุ่งเรื่องสมุดบัญชีเลย แต่ผู้ดูแลที่กล้ายักยอกเงินเหมือนตระกูลกู้กลับไม่มีสักคน แน่นอนว่าเป็นเพราะกิจการเหล่านี้เป็นกิจการของเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นต่อให้ลูกน้องจะไม่ได้เป็นคนดีเสียทีเดียว หรงจิ่นก็ไม่น่าจะขัดสนขนาดนี้
“กิจการที่เหมยกุ้ยเฟยทิ้งไว้ให้ท่าน อย่างน้อยทุกๆ ปีก็น่าจะมีกำไรเจ็ดแสนตำลึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเหมยกุ้ยเฟยยังทิ้งเบี้ยหวัดไว้ให้ท่านจำนวนไม่น้อยด้วย อีกทั้งของกำนัลที่ฝ่าบาท เหล่าองค์ชาย พระสนมและขุนนางในราชสำนักมอบให้แต่ละครั้งในหลายปีนี้ ดังนั้นด้วยนิสัยที่เหลวไหลของท่านที่ไม่เคยมอบของกำนัลตอบแทนมาก่อนเลย คาดว่าตอนนี้อย่างน้อยๆ ท่านต้องมีทรัพย์สิน…สิบเอ็ดล้านตำลึงแล้ว แต่ตอนนี้…” มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทั้งในและนอกจวนรวมกันยังมีไม่ถึงหนึ่งล้านตำลึงเลย!” เหตุที่องค์ชายเก้าไม่มอบของกำนัลตอบแทนคงไม่ใช่เพราะไม่รู้ความแต่เป็นเพราะจนจริงๆ อย่างนั้นหรือแบบนี้เลยให้ของกำนัลตอบแทนมิได้ นอกเสียจากกิจการร้านค้าและหมู่บ้านเหล่านั้นที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ เงินตำลึงทั่วทั้งจวนที่พอจะแตะต้องได้กลับมีไม่ถึงแสนตำลึงด้วยซ้ำ หากในมุมของประชาชนทั่วไปคงถือว่ากินหรูอยู่สบายพอใช้ได้อีกสองชาติภพ ทว่าสำหรับองค์ชายที่ต้องมอบของมีค่าราคาหลายตำลึงให้ผู้อื่น คงไม่เห็นเงินจำนวนนี้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
“ชิงชิง…ต้นตระกูลเป็นข้าหลวงมิใช่หรือ เหตุใดถึงคิดเรื่องเงินๆ ทองๆ เก่งขนาดนี้เล่า” หรงจิ่นเอ่ยอย่างตกตะลึง
สมุดบัญชีพวกนี้เขาเป็นคนแก้เองกับมือ ต่อให้เป็นนักบัญชีที่เก่งกาจที่สุดก็ไม่มีทางจับผิดได้ภายในเดือนสองเดือนแน่นอน คิดไม่ถึงว่ายังไม่ถึงครึ่งเดือนชิงชิงก็คำนวณออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว
มู่ชิงอียิ้มเยาะแล้วยกชามาจิบอึกหนึ่งถึงกล่าวเสียงเรียบ “หม่อมฉันไม่คัดค้านหากท่านอ๋องจะเก็บเศษเล็กเศษน้อยบ้าง แต่…ท่านเอาเศษเล็กเศษน้อยกับเงินสำคัญๆ มาปะปนมั่วกันไปหมดแล้ว หรือว่าลับหลัง…ท่านอ๋องยังแอบทำเรื่องที่ไม่ให้ใครรู้อีกอย่างนั้นหรือ”
เงินสิบล้านตำลึงทำอะไรได้อีกคงไม่จำเป็นต้องพูด อีกอย่างเกรงว่าเรื่องพื้นเพของตระกูลเหมยก็คงเก็บเป็นความลับเช่นกัน มู่ชิงอียากที่จะจินตนาการได้ว่าหรงจิ่นแสร้งบ้าแกล้งโง่ต่อคนภายนอก แต่เบื้องหลังกลับทำอะไรที่จำเป็นต้องใช้เงินมากขนาดนี้ คงไม่ใช่เพราะแอบเลี้ยงกองทัพทหารเพื่อต่อต้านฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จริงๆ?
“ชิงชิง…” หรงจิ่นร้องเรียกอย่างเอาใจ
“เพคะ?” มู่ชิงอีมองเขาด้วยใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ตอนนี้ยังบอกชิงชิงไม่ได้” หรงจิ่นมองมู่ชิงอีอย่างระมัดระวัง มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “แล้วแต่ท่านเถิด ครั้งหน้าหากท่านอยากใช้เงินก็เหลือไว้ให้คนในจวนเยอะหน่อย ในเมื่อคนในจวนอวี้อ๋องยังต้องใช้ชีวิตกันต่อ”
“เหตุใดชิงชิงถึงไม่ถามว่าทำไมถึงบอกชิงชิงไม่ได้เล่า”
มู่ชิงอีคล้อยตามไปด้วย “แล้วเหตุใดถึงบอกหม่อมฉันไม่ได้หรือ”
หรงจิ่นยิ้มตาหยีเอ่ย “เพราะนอกเสียจากชิงชิงจะมาเป็นพระชายาของข้าแล้ว ข้าถึงจะบอกชิงชิง”
“อ้อ” มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วตีหน้านิ่งกล่าว “เช่นนั้นท่านก็เก็บไว้ในใจจนอึดอัดตายไปเถิด”
“แต่ข้าอยากบอกชิงชิง” หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก
“ท่านจะเอาอย่างไรกันแน่” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว หรงจิ่นกลอกตาไปมาแล้วพุ่งเข้าไปหามู่ชิงอีด้วยความเร็ว จากนั้นก็รั้งร่างบางของนางมาไว้ในอ้อมอกก่อนฉีกยิ้มแต่งแต้มเต็มใบหน้า “ชิงชิงให้ข้าจูบสักที”
ครั้นพูดจบ เขาก็ก้มหน้าประทับจูบลงบนริมฝีปากบางเย็นโดยที่มู่ชิงอียังไม่ทันตั้งตัว
“หรงจิ่น!” มู่ชิงอีโมโหอย่างมาก เพียงแต่ด้วยเรี่ยวแรงของนางแล้วจะผลักหรงจิ่นออกไปได้ที่ไหนกัน โชคดีที่หรงจิ่นไม่อยากยั่วโมโหนาง เขาแค่เผยสีหน้าอิ่มเอมใจแล้วฉีกยิ้มเอ่ย “นี่ถือว่าเป็นจูบฉบับคู่รักอย่างเป็นทางการของพวกเรากระมัง วันหลังชิงชิงต้องรับผิดชอบข้าด้วยนะ ข้าเองก็จะรับผิดชอบชิงชิงด้วยเหมือนกัน แบบนี้…ข้าก็บอกชิงชิงได้แล้ว” ในเมื่อคู่หมั้นก็คือภรรยาในอนาคต ดังนั้นย่อมแบ่งปันความลับทั้งหมดได้
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ท่านอ๋อง หากท่านยังต้องการความช่วยเหลือจากหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่ไปไหน” ดังนั้นท่านเลิกเล่นมุขน้ำเน่าแบบนี้ได้หรือไม่
หรงจิ่นกะพริบตาปริบๆ แล้วหลุบตาลงเอ่ยอย่างปวดใจ
“ชิงชิงรังเกียจข้าจริงๆ หรือ”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะ นางไม่ได้รังเกียจเขา เพียงแต่เข้าใจคนแบบนี้ดี หรงจิ่นไม่ใช่คนที่ชวนให้ใครต่อใครต่างเกลียดชัง เพียงแต่เพราะนางเข็ดหลาบกับความรักมากกว่า
“ชิงชิงอย่าไปจากข้านะ” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเบา
“ได้เพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าอย่างนั้น…”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงขรึม “วันหลังข้าจะไม่พูดเรื่องพระชายาอีก”