มู่ชิงอีพรูลมหายใจแล้วพยักหน้ากล่าว “ดีมาก”
“เช่นนั้นชิงชิงต้องรับปากข้าว่าจะไม่ไปจากข้า” หรงจิ่นเอ่ย
“ได้ หากท่านยังต้องการความช่วยเหลือจากหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่ไปไหน” มู่ชิงอีเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง
หรงจิ่นรั้งนางเข้ามาโอบกอดอย่างพึงพอใจพร้อมใช้คางเกยไหล่ของนาง “เช่นนั้นก็ดี” เช่นนั้นย่อมไม่มีเวลาใดที่ข้าไม่ต้องการเจ้าแน่นอน ชิงชิงอยู่ข้างกายข้าไปตลอดชีวิตเถิด พระชายาอะไรนั่นก็เป็นแค่สมญานามเท่านั้น สักวันทุกอย่างที่เป็นของข้า ข้าจะแบ่งปันให้กับชิงชิงทั้งหมดเลย
“ผ่านไปอีกสักระยะ พวกเราไปเที่ยวที่สนุกๆ แห่งหนึ่งกันเถิด” หรงจิ่นเอ่ย
มู่ชิงอีพยักหน้ารับด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ นางไม่รู้ว่าหากนางพัวพันกับหรงจิ่นเช่นนี้ต่อไปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ความกังวลของพี่ใหญ่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเลย ลำพังหากคิดจะทำอะไรด้วยสถานะความเป็นสตรีมักยากกว่าเป็นบุรุษมากนัก สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือนาง…ไม่สามารถปฏิเสธหรงจิ่นได้อย่างแท้จริง เงื่อนไขทุกอย่างที่หรงจิ่นรับปากก็ดูเหมือนจะไม่เลวแต่ความจริงกลับเป็นข้ออ้างที่มีพิรุธเต็มไปหมด
บางทีอาจจะมีอยู่บ้าง…แต่ไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน
“ทูลท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเรียกท่านอ๋องกับหัวหน้าผู้ดูแลกู้เข้าวังพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฉิงทูลรายงานเสียงขรึมอยู่ด้านนอกประตู
ดวงตาที่เคลิบเคลิ้มของหรงจิ่นทอประกายไอเย็นยะเยือกพาดผ่าน จากนั้นก็ลุกขึ้นเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ารู้แล้ว”
ภายในวังหลวงแคว้นเย่ว์ พระตำหนักชิงเหอเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ใช้จัดการงานในราชสำนักในทุกๆ วัน เรียกเหล่าขุนนางใหญ่เข้าเฝ้าและพักผ่อน รวมถึงเป็นพระตำหนักที่กว้างขวางโอ่อ่าที่สุดในวังหลวงแคว้นเย่ว์แล้ว
ภายในพระตำหนัก มู่หรงเทียนหรือก็คือฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ในชุดเครื่องแบบฮ่องเต้สีเหลืองอร่ามลายมังกรกำลังก้มหน้าอ่านกองม้วนกระดาษที่อยู่บนโต๊ะพลางเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายเป็นระยะๆ เพื่อสื่อว่าเขากำลังตั้งใจฟังอีกฝ่ายพูดอยู่
ปีนี้มู่หรงเทียนอายุได้หกสิบเจ็ดชันษาแล้ว ถึงแม้จะดูแลพระวรกายเป็นอย่างดี ดูแล้วเหมือนเพิ่งผ่านช่วงวัยอายุห้าสิบชันษามาหมาดๆ ทว่าเส้นผมขาวโพลนตรงข้างหูกลับยากที่จะปกปิดได้ มู่หรงเทียนเป็นหนึ่งในฮ่องเต้ไม่กี่คนที่มีคุณงามความดีนับตั้งแต่สถาปนาก่อตั้งแคว้นเย่ว์มา ชั่วขณะที่พระองค์อยู่ในช่วงวัยหนุ่มก็เก่งกาจไม่ธรรมดา บุคลิกสง่างามภูมิฐานจนชวนให้เหล่าสาวๆ พากันหลงใหลไม่น้อย
ทว่าพออายุมากขึ้นก็ยิ่งแผ่ไอสังหารมากกว่าเดิม อีกทั้งตรงหว่างคิ้วยังมีความโหดเหี้ยมอำมหิตแผ่ออกมาเรื่อยๆ จนใบหน้าหล่อเหลาในเดิมทีค่อยๆ แปรเปลี่ยนชวนให้ใครต่อใครต่างรู้สึกหวาดกลัว
“ฝ่าบาท” ครั้นเห็นมู่หรงเทียนตรงหน้าไม่ค่อยสนใจ สตรีที่สวมชุดลายหงส์งามสง่าก็ขมวดคิ้วมุ่น ทว่านางกลับยังคงปกปิดความไม่พอใจอย่างระมัดระวัง ถึงแม้จะมีฐานะเป็นฮองเฮา อีกทั้งยังให้กำเนิดพระโอรสองค์โตแด่ฝ่าบาทอีกต่างหาก แต่ชั่วชีวิตนี้ฮองเฮากลับไม่เคยได้รับความโปรดปรานมาก่อน แม้กระทั่งบุตรชายที่นางให้กำเนิดก็ยังไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากมู่หรงเทียน ถึงแม้นางจะรู้สึกไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เงยหน้ามองฮองเฮา ขมวดคิ้วแล้วตรัสว่า “ฮองเฮา จิ่นเอ๋อร์ยังวัยเยาว์นัก เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาทำไป หากไม่ถึงขั้นก่อเรื่องใหญ่โตก็ปล่อยไปเถิด”
ฮองเฮาปกปิดมือที่ดึงไปมาไม่หยุดภายใต้ชุดลายหงส์ ประโยคนี้อีกแล้ว! จิ่นเอ๋อร์ยังวัยเยาว์นัก…ประโยคนี้ใกล้จะกลายเป็นคำพูดที่ฮองเฮาเกลียดที่สุดในชีวิตนี้เต็มที หรงจิ่นอายุสิบเก้าชันษาแล้วจะถือว่ายังอยู่ในช่วงวัยเยาว์ได้เช่นไร เมื่อเดือนก่อนฝ่าบาทโบยองค์ชายสิบเอ็ดตรงประตูวังยกหนึ่งทั้งๆ ที่เพิ่งอายุสิบแปด เหตุใดถึงไม่บอกว่าองค์ชายสิบเอ็ดยังวัยเยาว์บ้างเล่า
ครั้นเอ่ยถึงหรงจิ่น ฮองเฮาก็พลันนึกถึงหญิงสาวที่นางเกลียดเข้ากระดูกดำอีกคนขึ้นมา…เหมยกุ้ยเฟย
เดิมทีฮองเฮาไม่เคยนึกโทษฮ่องเต้ที่เย็นชากับตนเลย เพราะนับตั้งแต่พวกเขาอภิเษกมา มู่หรงเทียนก็ไม่เคยโปรดปรานใครสักคนอย่างแท้จริง ไม่ว่าตอนเป็นองค์ชาย ท่านอ๋อง องค์รัชทายาทหรือกระทั่งหลังจากขึ้นครองราชย์ ดังนั้นฮองเฮาเลยถือเสียว่าตนอภิเษกกับคนเย็นชาไร้ความรู้สึกคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าพอได้เห็นว่าเดิมทีฮ่องเต้ก็ยังเป็นมนุษย์และมีช่วงเวลาที่ใบหน้าอ่อนโยนเช่นกัน จากนั้นภายในใจของฮองเฮาก็ไม่สามารถสงบลงได้อีก
เหมยกุ้ยเฟย...ถึงแม้ภายนอกจะพากันคาดเดาเรื่องนางไปต่างๆ นาๆ ไม่หยุดหย่อน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่มีใครกล้าพูดอะไรโจ่งแจ้ง ในเมื่อฮองเฮาเป็นผู้ดูแลเรื่องวังหลัง นางจะไม่รู้พื้นเพของเหมยกุ้ยเฟยได้เช่นใด พอนึกถึงเหมยกุ้ยเฟยขึ้นมา ฮองเฮาก็อดรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงไม่ได้ หญิงสาวคนหนึ่ง…หลังจากเป็นพระชายาของสวินอ๋องแล้วยังขึ้นมาเป็นพระสนมของฝ่าบาทได้อย่างสบายใจ กระทั่งให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งด้วย หากเป็นนางล่ะก็คงใช้มีดบั่นคอตายไปแล้ว!
ถึงแม้ฮองเฮาจะดูแคลนเหมยกุ้ยเฟย ทว่านางก็ไม่อยากยอมรับเช่นกันว่าความจริงในใจนางรู้สึกอิจฉาเหมยกุ้ยเฟย เพราะเหมยกุ้ยเฟยทำให้ฮ่องเต้ที่เดิมทีหยิ่งผยองสูงศักดิ์ต้องแย่งพระชายาของบุตรชายตนโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น มู่หรงเทียนไม่ใช่ทรราชมาแต่กำเนิด กระทั่งเขาเคยถูกมองว่าเป็นกษัตริย์ที่นำพาแคว้นเย่ว์ไปสู่ยุครุ่งเรืองอย่างแท้จริง เพราะเหมยกุ้ยเฟยเลยทำให้มู่หรงเทียนฆ่าคนนับไม่ถ้วน เหล่านางในและขันทีที่ปากสว่าง รวมถึงพระสนมคนอื่นๆ ที่ไม่พอใจและข้าหลวงขุนนางที่เคยเอ่ยเกลี้ยกล่อมเขา กระทั่งบ้านทางฝั่งมารดาของเหมยกุ้ยเฟยต่างถูกฆ่าตายเรียบโดยไม่มีใครสามารถขัดขวางได้ บัดนี้ทั้งในและนอกราชสำนักแทบไม่มีใครพูดถึงประเด็นมารดาแท้ๆ ขององค์ชายเก้าอีก ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รู้ แต่เพราะตอนนั้นคนที่ถูกมู่หรงเทียนฆ่ามีมากพอแล้ว เพียงเพราะสตรีคนเดียวกลับทำให้ฮ่องเต้คนหนึ่งทำทุกอย่างเพื่อนางได้ขนาดนี้ ความจริงเพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงทั่วทั้งใต้หล้าริษยานางแล้ว
ฮองเฮากัดฟันเอ่ย “แต่ฝ่าบาทเพคะ เพราะอวี้อ๋องยังวัยเยาว์นัก จู่ๆ ถึงได้เอาหนุ่มน้อยที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งมาเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวน ช่างไม่น่าไว้วางใจยิ่งนัก หากอีกฝ่ายประสงค์ร้ายขึ้นมา เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับอวี้อ๋อง”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มุ่นคิ้วเอ่ย “เจ้าต้องการทำเช่นใด”
ฮองเฮากล่าว “อวี้อ๋องยังไม่รู้ผิดถูก ไม่สู้เราเลือกหัวหน้าผู้ดูแลที่เหมาะสมคนใหม่สักคนไปดูแลอวี้อ๋องจะดีกว่า อีกเรื่อง…อวี้อ๋องเองก็อายุใกล้ยี่สิบชันษาแล้ว บัดนี้เขาเองก็ออกไปมีจวนเป็นของตัวเองแล้ว ตัวเลือกพระชายาควรจะ…”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ชั่งใจครู่หนึ่งแล้วตรัสเสียงขรึม “รอจิ่นเอ๋อร์มาก่อนค่อยว่ากันเถิด”
“แต่ว่าฝ่าบาท…” ฮองเฮาเอ่ยอย่างไม่พอใจ เกรงว่าหากรอให้องค์ชายเก้ามาถึง นางพูดอะไรไปคงไม่มีประโยชน์แล้ว
“พอแล้ว” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอ่ยตัดบทนางเสียงเรียบ ถึงแม้พระองค์จะมิได้ทรงกริ้ว แต่ไอเย็นเฉียบที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงกลับทำให้ฮองเฮาสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของฮ่องเต้ นางเลยทำได้แค่ปิดปากเงียบอย่างลำบากใจ
“ทูลฝ่าบาทและฮองเฮา อวี้อ๋องพาตัวหัวหน้าผู้ดูแลกู้หลิวอวิ๋นมาขอเข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีนอกประตูเอ่ยกราบทูลอย่างระมัดระวัง
ฮ่องเต้เย่ว์พยักหน้าเอ่ยด้วยสีหน้าที่คลายความโมโหแล้ว “ให้พวกเขาเข้ามาเถิด”
หลังจากนั้นประตูพระตำหนักก็ถูกเปิดออก หรงจิ่นพามู่ชิงอีเข้ามาด้านใน กวาดตามองฮองเฮาที่สีหน้าดูไม่ค่อยดีนักด้วยสีหน้าราบเรียบแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าทำความเคารพ “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ ถวายบังคมฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมกู้หลิวอวิ๋นถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จับจ้องร่างมู่ชิงอีชั่วครู่ จากนั้นก็เลื่อนสายตามาจับจ้องหรงจิ่นที่อยู่ด้านข้าง พลันทำเอามู่ชิงอีโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย สายตาของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เฉียบคมเย็นชาแตกต่างจากฮ่องเต้แคว้นหวา ถึงแม้จะไม่ได้จงใจแผ่รังสีนี้ออกมาแต่ก็สัมผัสได้ถึงอำนาจอิทธิพลและความโหดเหี้ยมของฮ่องเต้ได้อย่างง่ายดาย
“จิ่นเอ๋อร์รีบลุกขึ้นเถิด สุขภาพดีขึ้นแล้วหรือ” สายตาที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ใช้มองหรงจิ่นเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูราวกับสายตาเย็นชาที่ใช้จับจ้องมู่ชิงอีเมื่อครู่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น