หรงจิ่นเองก็มิได้เกรงใจ ลุกขึ้นยืนพยักหน้าเอ่ย “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ลูกหายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสขึ้นว่า “แต่ไหนแต่ไรมาสุขภาพของเจ้าไม่ดีนัก ต่อให้หายดีแล้วก็อย่าประมาทเชียว”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
“สีหน้าขององค์ชายเก้าดูไม่เลวทีเดียว ดูท่าทางจะหายแล้วจริงๆ” ฮองเฮาที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งโดยไม่ปล่อยให้ตัวเองโดดเดี่ยว หรงจิ่นเพียงเอียงศีรษะเมินใส่คำพูดของฮองเฮา และไม่แม้แต่จะแสดงความเกรงใจเลยสักนิด
มู่ชิงอีมองเห็นความโกรธที่เป็นประกายพาดผ่านแววตาของฮองเฮาอย่างชัดเจน ในเมื่อเป็นถึงฮองเฮาแต่กลับถูกองค์ชายคนหนึ่งเมินใส่อย่างเสียมารยาทเช่นนี้ หากไม่โมโหบ้างเลยก็คงยาก
ทว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับไม่แสดงท่าทีไม่พอพระทัยต่อท่าทีไร้มารยาทของหรงจิ่นแม้แต่น้อย พระองค์กวักมือเรียกหรงจิ่นให้เข้ามาหาด้วยรอยยิ้มแล้วตรัสว่า “เข้ามาสิ ให้พ่อได้ดูเจ้าเต็มตา เราบอกเจ้านานแล้วว่าให้อยู่ในวังเพราะมีคนดูแลตลอด นี่ออกวังไปแค่เดือนกว่าก็ป่วยไปรอบหนึ่งแล้ว แบบนี้จะไม่ให้พ่อเป็นห่วงได้อย่างไร”
หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิด “เสด็จพ่อ ลูกอายุสิบเก้าแล้ว หากอยู่ในวังต่อไปคนอื่นจะไม่ชอบใจเอาได้”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สีหน้าขรึมลงตรัสเสียงนิ่งว่า “หากเราบอกว่าจะให้เจ้าอยู่ในวัง ใครจะกล้าพูดอะไรได้”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วเข้าใจความหมายนั้นได้โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย ในฐานะองค์ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว อายุตั้งสิบเก้าแล้วแต่ยังไม่ออกจากวังแยกมาอยู่ในจวนของตัวเอง คนที่ไม่ชอบใจย่อมมีถมเถไป เพียงแต่ไม่กล้าพูดต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็เท่านั้น นอกจากนี้คนที่แอบปองร้ายเขาลับหลังก็มีไม่น้อย
ครั้นเห็นเช่นนั้น ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ถอนหายใจอย่างจนใจตรัสขึ้นว่า “เอาเถิด เจ้าเองก็โตแล้ว ความจริงก็ควรออกจากวังไปอยู่จวนส่วนตัวแล้ว สองปีมานี้เจ้าเองก็ชอบออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอก นี่…หัวหน้าผู้ดูแลของเจ้าหรือ” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดตามองมู่ชิงอีแวบหนึ่งแล้วเลิกคิ้วตรัสถาม
หรงจิ่นพยักหน้ากล่าว “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ จื่อชิงเป็นยอดอัจฉริยะที่ลูกเพิ่งหาตัวพบ”
“ยอดอัจฉริยะ?” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้ว เด็กน้อยอายุเพียงสิบห้าสิบหกคนหนึ่งจะมีความสามารถและเก่งกาจได้แค่ไหนกันเชียว
“เจ้ามีนามว่ากู้หลิวอวิ๋น มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลกู้แห่งแคว้นหวาหรือ?” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองมู่ชิงอีแล้วตรัสถามเสียงเรียบ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ส่งคนไปตามสืบภูมิหลังของมู่ชิงอีก่อนแล้ว
มู่ชิงอีประสานมือเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท หลิวอวิ๋นเป็นสายเลือดของคนในตระกูลกู้ หากยึดตามลำดับแล้วต้องเรียกคุณชายซิ่วถิงว่าพี่ใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
“หืม เป็นคนของตระกูลกู้ในแคว้นหวาจริงๆ ด้วย” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดตามองมู่ชิงอีแล้วตรัสว่า “ได้ยินกิตติศักดิ์ความสามารถของคุณชายใหญ่ตระกูลกู้มานานแล้ว บัดนี้ดูท่าทางตระกูลกู้จะเป็นอัจฉริยะกันหลายรุ่น เหตุใดคุณชายกู้ถึงมาแคว้นเย่ว์ได้เล่า”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วพลางฉีกยิ้มอย่างจนใจกล่าว “หากไม่ใช่เพราะอับจนหนทางจริงๆ หลิวอวิ๋นจะอยากจากบ้านเกิดเมืองนอนได้เช่นใด เพียงแต่…แคว้นหวาไม่มีที่ยืนสำหรับตระกูลกู้แล้ว หลิวอวิ๋นต้องขอบพระทัยท่านอ๋องที่ไม่ทอดทิ้งแล้วยังเก็บกระหม่อมมาเลี้ยงดูอีก”
“นับว่ารู้ความมากทีเดียว” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสเสียงขรึม
หรงจิ่นเอ่ยอย่างหงุดหงิดใจ “เสด็จพ่อเรียกลูกเข้าวังมาเพื่อถามจื่อชิงเรื่องน่าเบื่อหน่ายเหล่านี้เท่านั้นเองหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หุบยิ้มแล้วตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่จะเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายได้อย่างไรกัน ตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลอวี้อ๋องสำคัญเพียงใด แต่เจ้ากลับมอบหมายตำแหน่งนี้ให้หนุ่มน้อยที่อายุสิบห้าสิบหกคนหนึ่งเท่านั้น พ่อจะถามไม่ได้เลยหรือ”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบา “เช่นนั้นเสด็จพ่อก็ไม่เห็นถามพี่ใหญ่ว่าหัวหน้าผู้ดูแลในจวนพวกเขาเป็นใครนี่นา แต่ดันมาสนใจเรื่องของลูก ลูกชอบจื่อชิงอยากให้มาเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของลูก แล้วลูกไปทำอะไรถ่วงขาใครกันถึงได้ปากมากแบบนี้”
ฮองเฮาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อ “ดูองค์ชายพูดเข้า ข้าจะสนใจเรื่องในจวนของเหล่าองค์ชายในฐานะมารดาใหญ่ไม่ได้เลยหรืออย่างไรกัน องค์ชายคนอื่นๆ ล้วนทำได้อย่างเหมาะสมแล้ว เพียงแต่จวนองค์ชายเก้าทำให้ฝ่าบาทและข้าไม่ค่อยวางใจนัก”
“เพราะเข้ามายุ่มยามไม่ได้มากกว่ากระมัง” หรงจิ่นเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีไม่ใส่ใจและไม่ไว้หน้าฮองเฮาเลยสักนิด “ไม่ใช่เพราะอยากรังแกข้าแต่ไม่มีคนของตัวเอง? เช่นนั้นฮองเฮาลองเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องในจวนของพี่สองดูบ้างสิ”
“องค์ชาย เจ้า…” ฮองเฮาไฟโทสะพลันปะทุทันที “ฝ่าบาท หม่อมฉัน…”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มุ่นคิ้วอย่างไม่พอพระทัยตรัสว่า “พอแล้ว จิ่นเอ๋อร์ ฮองเฮาเป็นพระมารดาแห่งแคว้น เจ้าจะเสียมารยาทด้วยไม่ได้”
“ลูกผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หรงจิ่นเอ่ยขึ้น ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้มีท่าทีเช่นนั้นเลย พอฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เห็นท่าทีของเขาก็ตรัสขึ้นพลางขมวดคิ้วแน่นว่า “เจ้าไปเจอเรื่องน้อยเนื้อต่ำใจใดจากด้านนอกมาหรือ อารมณ์ถึงฉุนเฉียวเช่นนี้”
“ลูกว่างไม่มีอะไรทำเลยได้แต่กินดื่มเที่ยวไปวันๆ แล้วจะมีเรื่องน้อยเนื้อต่ำใจใดได้อีกเล่า” หรงจิ่นเอ่ยด้วยความฉุนเฉียว ทว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่ได้ยินเช่นนั้นกลับขมวดคิ้วมุ่นมากกว่าเดิม เงียบไปนานถึงตรัสว่า “เอาเถิด เจ้าเองก็โตแล้ว หากร่างกายรับไหว วันหลังก็ออกมาเข้าร่วมฟังการว่าราชการในราชสำนักแล้วกัน”
“ฝ่าบาท…ไม่ได้กระมัง” ฮองเฮาตกอกตกใจ เอ่ยห้ามโดยไม่ทันคิดอะไรทั้งนั้น
“กำเริบเสิบสานนัก!” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น จับจ้องฮองเฮาอย่างไม่พอพระทัย
“ใครอยากทำกันเล่า!” ขณะเดียวกันหรงจิ่นก็พลอยหัวร้อนตามไปด้วย “ข้าไม่อยากได้เลยสักนิด ข้ามันคนขี้โรคแล้วอย่างไรเล่า ใครอยากทำก็ทำไป ข้ากินดื่มเที่ยวเล่นไม่มีอะไรทำทุกวี่วันเช่นนี้แล้วอย่างไรเล่า ลูกรู้สึกไม่สบาย ขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” พูดจบก็หมุนตัวราวกับจะเดินออกพระตำหนักไป
“จิ่นเอ๋อร์” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์รีบร้องรั้งเขาไว้แล้วถอนหายใจเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถิด กลับไปพักผ่อนดีๆ คนรอบตัวพูดจาเหลวไหลแล้วจะไปฟังทำไมเล่า ส่วนกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้ หากเจ้าชอบก็ให้อยู่ต่อเถิด ในเมื่อเป็นคุณชายของตระกูลกู้ หากเขาอยู่คอยจัดการเรื่องในจวนคิดว่าก็คงไม่ยากอะไร”
“ฝ่าบาทเพคะ” ฮองเฮากัดฟันเอ่ย
“หุบปาก!” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดตามองฮองเฮาแวบหนึ่ง ฮองเฮารีบปิดปากทันที
ทว่าหรงจิ่นกลับไม่รักษาน้ำใจสักนิด เขากวักมือเรียกมู่ชิงอีแล้วเดินจากไป
“ฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทถึงให้ท้ายองค์ชายเก้าเช่นนี้…” ฮองเฮาอดน้อยใจไม่ได้ มองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แล้วพูดว่า “หม่อมฉันมีฐานะเป็นมารดาใหญ่จะตำหนิเขาสักประโยคไม่ได้เลยหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอ่ยเสียงนิ่ง “เขาก็อยู่ดีๆ ของเขาแล้ว เจ้าจะตำหนิเขาทำไมกัน วันนี้เขาอารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าพูดจาเหลวไหลด้านนอกจนยั่วโมโหเขาหรือ เกิดเรื่องอะไรด้านนอก พวกเจ้าคิดว่าเราไม่รู้เลยหรืออย่างไรกัน เมื่อก่อนเขาอยู่ในวังเลยไม่รู้เรื่องใดยังพอว่า แต่ตอนนี้ออกจากวังไปแล้วย่อมได้ยินทุกอย่างผ่านหูทั้งนั้น เขาจะไม่โกรธได้เช่นไร เขาสุขภาพไม่ดี พวกเจ้าจะยอมให้เขาหน่อยไม่ได้เลยน่ะหรือ”
“หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ” ฮองเฮาร้องว่าตนถูกใส่ความ องค์ชายเก้านิสัยร้ายกาจขนาดนี้ก็ไม่ใช่เพราะถูกท่านให้ท้ายหรอกหรือ หากเปลี่ยนเป็นองค์ชายคนอื่น ใครจะกล้าโวยวายต่อหน้าฝ่าบาทเช่นนี้บ้าง
“ฝ่าบาท…จะให้องค์ชายเก้าเข้าไปฟังงานราชการในราชสำนักจริงหรือเพคะ” ฮองเฮาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสอย่างไม่ใส่ใจ “คำพูดของเรากลับกลอกได้ด้วย? เจ้าออกไปเถิด แล้วบอกเหล่าขุนนางที่มัวแต่เปลืองแรงคิดเรื่องหรงจิ่นด้วยว่าเอาเวลามาทุ่มเทเรื่องงานราชการดีกว่า”
ฮองเฮาสีหน้าซีดลง ทำได้เพียงพยักหน้า จากนั้นก็เดินออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ
หลังจากภายในพระตำหนักกลับมาสงบดังเดิมแล้ว ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็นั่งลงด้านหลังโต๊ะทำงาน คิ้วทรงดาบสีขาวขมวดกันเป็นปมมากกว่าเดิม
“เจี่ยงปิน”
ขันทีรับใช้ที่เงียบกริบยืนอยู่ด้านหลังมาตลอดขานรับ “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่า…จิ่นเอ๋อร์เปลี่ยนไปหรือไม่” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขมวดคิ้วตรัสถาม เจี่ยงปินตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “องค์ชายเก้าโตแล้วเลยไม่เหมือนแต่ก่อนกระมังพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พยักหน้าตรัสขึ้นว่า “นั่นสิ โตแล้ว…ย่อมต้องการอำนาจเป็นธรรมดา หากเทียบกับองค์ชายคนอื่นๆ ก็ถือว่าเขาคงช้าไปสักหน่อย”