“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดถึงไม่จากไปเล่า” มู่ชิงอีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ หรงจิ่นไม่ได้เดือดร้อนอะไร ด้วยวิทยายุทธของเขาขอแค่คิดจะออกจากเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ย่อมไม่มีใครทำอะไรเขาได้ จากนั้นเขาก็จะโบยบินบนท้องฟ้าได้ดั่งปักษาและแหวกว่ายในมหาสมุทรผืนกว้างได้ดั่งมัจฉาแล้ว
หรงจิ่นยกยิ้มเอ่ย “เหตุใดข้าต้องไปด้วย วังหลวงแห่งนี้ เมืองหลวงแห่งนี้ ทั่วทั้งใต้หล้านี้…ต้องมีสักวันที่เป็นของข้า พวกเขาไม่อยากให้ข้าได้ ข้าก็จะไขว่คว้ามาให้พวกเขาเห็น!”
มู่ชิงอีมองบุรุษชุดดำใบหน้าดุดันข้างกายอยู่เงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นใบหน้าของหรงจิ่นเผยความทะเยอทะยานออกมาอย่างแท้จริง…หรือก็คือปณิธานอันแกร่งกล้านั่นเอง
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเวลาใด ยามที่หรงจิ่นพูดเรื่องนี้กับนางมักเผยท่าทีล้อเล่นอยู่บ้าง กระทั่งบางครั้งนางหลงคิดว่าเรื่องช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทที่หรงจิ่นกล่าวถึงเป็นเพียงเรื่องสนุกๆ ที่เขาอยากทำเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น แต่เวลานี้นางกลับไม่อยากเชื่อว่าบุรุษผู้นี้ก็เหมือนบุรุษในราชวงศ์คนอื่นๆ สำหรับชั่วชีวิตนี้ภายในใจของพวกเขาไม่มีทางละทิ้งความเย่อหยิ่งและความทะเยอทะยานไปได้เลย
ความสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ของหรงจิ่นได้สลัดอารมณ์หลากหลายต่างๆ ในยามปกติจนสิ้น ทว่าขับให้ดูหลักแหลมดั่งปลายฝีดาบล้ำค่าในโลกก็มิปาน และยิ่งชวนให้รู้สึกหวาดเกรงอย่างห้ามไม่ได้
พอมู่ชิงอีได้สติกลับมาก็เบือนหน้าหนี พยักหน้าเอ่ย “หม่อมฉันรู้เพคะ ฝ่าบาทตกลงยอมให้ท่านเข้าไปฟังงานในราชสำนักแล้ว นี่เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวทีเดียว เดิมทีนึกว่าต้องหาโอกาสเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่าจะสำเร็จง่ายดายถึงเพียงนี้” ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อปรารถนาอยากร่วมชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท เช่นนั้นการเข้าไปร่วมว่าราชการในราชสำนักก็เป็นเรื่องจำเป็น ต่อให้หรงจิ่นมีวิทยายุทธเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่หากไม่ได้รับการยอมรับก็คงขึ้นเป็นองค์รัชทายาทไม่ได้
หรงจิ่นพยักหน้าเงียบๆ
หรงจิ่นดึงมู่ชิงอีขึ้นมาจากพื้นแล้วจูงมือนางเดินเข้าไปในหอเล็กๆ นั้นโดยไม่คิดปล่อยมือ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกตหอเล็ก ๆนี้อย่างละเอียด เวลานี้นางถึงเห็นโต๊ะตัวหนึ่งและเก้าอี้ตัวหนึ่งสภาพงดงามประณีตในหอเล็กๆ นั้น อีกทั้งสิ่งของทุกชิ้นยังจัดวางได้อย่างลงตัว คนที่จัดตกแต่งหอเล็กๆ แห่งนี้คงทุ่มเทตั้งใจมากจริงๆ
ทว่าหรงจิ่นกลับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย เขาลากมู่ชิงอีเข้าไปในห้องที่เงียบสงบมุมหนึ่งในหอเล็กแห่งนี้ ในห้องนั้นมีกลิ่นหอมดอกเหมยจางๆ ลอยมาแตะจมูก ภายในห้องว่างเปล่าจนน่าแปลกใจ ในนั้นมีเพียงรูปหญิงสาวคนหนึ่งแขวนอยู่เหนือสุดของผนัง
ขอแค่คนที่เคยเห็นหรงจิ่นก็คงเดาออกว่าสตรีในรูปนี้เป็นใคร ถึงแม้มู่ชิงอีเองก็ถือว่าเป็นสาวงามที่หาได้ยากแล้ว แต่กลับอดร้องอุทานต่อความงดงามของหญิงสาวในภาพวาดไม่ได้เลย
หญิงสาวในภาพวาดดูอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น นางสวมชุดสีขาวหิมะบางเบาปลิวไสว ด้านหลังของหญิงสาวมีดอกเหมยที่ผลิบานแตกยอดออกมาไม่กี่ก้าน กลีบดอกเหมยเล็กๆ ที่ร่วงโปรยปรายบนเส้นผมและเสื้อผ้าของนางยิ่งขับให้หญิงสาวในชุดสีขาวงดงามดั่งนางฟ้าบนสวรรค์เก้าชั้นก็มิปาน
อีกทั้งใบหน้านั้นยังละม้ายคล้ายคลึงหรงจิ่นอย่างมาก ในขณะที่พอใบหน้านี้มาอยู่บนร่างของหรงจิ่นกลับดูคมคายดุดันจนให้ความรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ แต่พอถูกวางไว้บนร่างของหญิงสาวกลับทำให้รู้สึกเห็นอยู่ตรงหน้าแต่ยากจะเข้าใกล้ได้เหมือนดั่งดวงจันทร์ผุดผ่องบนท้องฟ้า งดงามอ่อนโยนแต่แฝงความรู้สึกโดดเดี่ยวจางๆ ยิ่งชวนให้คนที่เห็นรู้สึกอยากทะนุถนอมจนแทบยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยคลายความกลัดกลุ้มตรงหว่างคิ้วนั้นของนาง
มู่ชิงอีอดอุทานออกมาไม่ได้ “สมแล้วที่เหมยกุ้ยเฟยได้รับฉายาว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเย่ว์” หากกล่าวถึงรูปโฉมเพียงอย่างเดียว มู่ชิงอีมั่นใจว่าตนไม่มีทางแพ้ให้เหมยกุ้ยเฟยแน่นอน แต่นางไม่ได้มีบุคลิกที่น่าหวงแหนทะนุถนอมขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นมู่ชิงอีในตอนนี้หรือกู้อวิ๋นเกอในอดีต สตรีผู้นี้มีเสน่ห์ที่น่าปกป้องมาแต่กำเนิด หากเกิดมามีชีวิตสามัญชนบนโลกอันวุ่นวาย ไม่รู้ว่าสาวงามโดดเด่นเช่นนี้จะทำให้บุรุษผู้กล้ามากมายเท่าไรที่ต้องหลงเสน่ห์นาง
หรงจิ่นคุกเข่าลงบนเบาะตรงหน้าภาพเหมือนนั้นแล้วจุดธูปหอมในกระถางธูปบนโต๊ะตรงหน้าด้วยท่าทีสงบ
“นี่มันธูปหอมโยวหันมิใช่หรือ” พอกลิ่นควันหอมจางๆ ลอยฟุ้งขึ้นมา มู่ชิงอีก็รับรู้ได้ในทันที
หรงจิ่นพยักหน้ากล่าว “ว่ากันว่านี่เป็นธูปหอมที่เสด็จแม่โปรดปรานมากที่สุดขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เดิมทีขาดการสืบทอดมานานแล้ว ตระกูลเหมยทุ่มกำลังคนและสิ่งของไปไม่น้อยกว่าจะทำขึ้นมาได้ ข้าจำใบหน้าของเสด็จแม่ไม่ค่อยได้ ดังนั้นตั้งแต่เล็กจนโตข้าเลยทำได้แค่นั่งตรงหน้าภาพวาดและธูปหอมโยวหันนี้เท่านั้น”
มู่ชิงอีจับจ้องภาพวาดบนผนังแน่นิ่ง ตรงมุมภาพไม่มีชื่อคนวาดแต่อย่างใด ทว่ากลับวาดดอกเหมยสีแดงดอกหนึ่งไว้ ถึงแม้จะเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่คนที่มาจากตระกูลผู้มีความรู้อย่างมู่ชิงอีจะมองสิ่งที่แตกต่างไม่ออกได้เช่นใด เดิมทีตรงนั้นน่าจะมีชื่อเขียนลงท้ายไว้ เพียงแต่ถูกคนลบออกแล้ววาดดอกเหมยสีแดงดอกหนึ่งเติมใช้ปกปิดแทนในภายหลังต่างหาก
หรงจิ่นเองก็จับสังเกตสายตาของนางได้เลยยิ้มเย้ยหยัน “ภาพวาดนี้…พี่สามเป็นคนวาด ตอนที่พี่สามยังหนุ่มเขาได้รับฉายาว่ายอดจิตรกร ภาพวาดของเขาได้รับคำชมจากนักวาดภาพชื่อดังแห่งแคว้นเย่ว์ไม่ขาดปาก แต่พี่สามไม่วาดภาพสตรี แต่ภาพวาดเพียงหนึ่งเดียวของเขา…กลับอยู่ตรงนี้”
มู่ชิงอีพูดไม่ออก นางมุ่นคิ้วด้วยท่าทีชั่งใจ หรงจิ่นบอกเล่าความลับส่วนตัวให้นางฟังอย่างหมดเปลือกย่อมแสดงให้เห็นความเชื่อใจที่มีต่อนาง แต่เวลานี้มู่ชิงอีอดถามออกไปไม่ได้ ด้วยสถานะของเหมยกุ้ยเฟย มู่ชิงอีเลยพอจะคาดเดาได้ แต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจก็คือหากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์โปรดปรานเหมยกุ้ยเฟยมากขนาดนี้ ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้แขวนภาพของสวินอ๋องหรงจังที่นี่ได้อย่างไร
หรงจิ่นกลับไม่ใส่ใจสักนิด เขาแค่นหัวเราะแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เหอะๆ…เพราะเสด็จพ่อวาดรูปไม่เป็นอย่างไรเล่า ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงมีพระปรีชาด้านการเป็นกษัตริย์มาตั้งแต่กำเนิด ทว่ากลับมีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพไม่ดีนัก ส่วนนักวาดภาพคนอื่นๆ…เขาไม่ให้ใครเห็นหน้าของเสด็จแม่ แล้วนักวาดภาพคนอื่นๆ จะวาดออกมาได้อย่างไร สุดท้าย…เลยทำได้แค่แย่งภาพนั้นของพี่สามมา อีกทั้งลบชื่อผู้วาดลงท้ายออกอย่างไม่ยอมรับ ชิงชิงไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ข้าไม่ได้มีข้อห้ามใดในเรื่องนี้” ยามที่หรงจิ่นเอ่ยถึงเสด็จพ่ออย่างมู่หรงเทียนมักจะแฝงไปด้วยความเย้ยหยันและดูถูก
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบา ความผิดพลาดซับซ้อนมักเกิดขึ้นในครอบครัวได้เสมอจึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องความแค้นที่วนเวียนอยู่ในตระกูลเหล่าเชื้อพระวงศ์เลย
“ซีเอ๋อร์” ฉับพลันด้านนอกก็มีน้ำเสียงสั่นเครือหนึ่งดังแว่วเข้ามา มู่ชิงอีชะงักไป นี่คือเสียงของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ถึงแม้นางจะเคยเจอฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เพียงครั้งเดียว แต่บนโลกนี้คนที่สร้างแรงกดดันให้นางได้กลับมีไม่มากนัก ดังนั้นนางย่อมจำน้ำเสียงของเขาได้อยู่แล้ว
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เพิ่งเดินขึ้นบันไดมา จากนั้นก็สาวเท้าเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
หรงจิ่นขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก แค่นเสียงเบาทีหนึ่งก่อนลุกขึ้น จากนั้นก็ประคองเอวของมู่ชิงอีแล้วกระโดดลงไปทางหน้าต่างด้านข้างที่เปิดเอาไว้
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์รีบผลักเปิดประตูออกทันที ทว่ากลับเห็นเพียงกระถางธูปภายในห้องที่มีควันจางๆ ลอยอยู่และเบาะที่ถูกเคลื่อนตำแหน่งเท่านั้น
“ซีเอ๋อร์” เขามองภาพหญิงสาวที่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มแต่แฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อย บนผนัง น้ำเสียงในวัยชราของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง “ซีเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงไร้เยื่อใยเช่นนี้…เหตุใดต้องจากเราไปด้วย จิ่นเอ๋อร์โตแล้ว เจ้าเห็นหรือยัง…จิ่นเอ๋อร์กลายเป็นอย่างทุกวันนี้ เจ้า…เกลียดเราหรือไม่ ไม่สิ เจ้าต้องเกลียดเราอยู่แล้ว…จะมียามใดบ้างที่เจ้าไม่เกลียดเรา ซีเอ๋อร์…เราผิดไปแล้ว…หากย้อนกลับไปใหม่ได้…”