เล่าลือกันว่าเมืองเทียนเชวียถูกสร้างขึ้นโดยคนนิสัยพิลึกอย่างเหลิ่งเทียนเชวียเมื่อหลายร้อยปีก่อน ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทั่วทั้งใต้หล้าตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายช่วงชิงอำนาจกัน เหลิ่งเทียนเชวียผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีความทะเยอทะยานช่วงชิงอำนาจนั้นด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ คนผู้นี้ถึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มิเช่นนั้นเกรงว่าผู้ปกครองแคว้นเย่ว์ในเวลานี้จะเป็นสกุลเหลิ่งหรือสกุลหรงกันแน่คงไม่มีใครรู้ได้
แต่ร่องรอยความเป็นมาของคนผู้นี้ไม่เคยปรากฏอย่างแน่ชัดมาก่อน โชคดีที่ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้รับการยอมรับในแคว้นหวายังมีปรากฏในบันทึกบ้าง แต่คนในแคว้นเย่ว์กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยมีบุคคลผู้นี้อยู่ เพราะปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ อีกทั้งห้องเก็บตำราตระกูลกู้ยังมีบันทึกพงศาวดารอยู่ประปราย ตอนนั้นมู่ชิงอีเลยให้ความสนใจโดยไม่ได้เห็นว่าเป็นเพียงนิยายปรัมปราแล้วปล่อยผ่านไปเสียทีเดียว
หรงจิ่นบอกว่าเมืองปราการโอ่อ่าตรงหน้า…คือเมืองเทียนเชวีย ในเมื่อสร้างเมืองใหญ่โตโอ่อ่าท่ามกลางกลุ่มเขาที่รายล้อมเหล่านี้ได้ ถ้านี่ไม่ใช่เมืองเทียนเชวีย เช่นนั้นบนโลกใบนี้ก็คงไม่มีเมืองเทียนเชวียแล้ว
ประตูเมืองถูกคนเปิดจากด้านใน จากนั้นก็มีหนุ่มสาวสวมชุดสีดำเร่งรีบเดินเรียงแถวออกมาจากด้านใน
“คารวะท่านเจ้าเมือง! ยินดีต้อนรับท่านเจ้าเมืองกลับมาเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนต่างคุกเข่านั่งลงแล้วเอ่ยเสียงนอบน้อมอย่างพร้อมเพรียง
หรงจิ่นโบกมือเบาๆ เอ่ย “ลุกขึ้นเถิด”
เวลานี้ทุกคนต่างก็เอ่ยขอบคุณแล้วลุกขึ้น จากนั้นถึงเลื่อนสายตามาจับจ้องมู่ชิงอีที่ยืนอยู่ข้างกายหรงจิ่นด้วยความฉงน บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่เป็นหัวหน้ายืนอยู่หน้าสุดท่ามกลางชายสามหญิงหนึ่งอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ท่านเจ้าเมือง แม่นาง…ผู้นี้คือ”
หรงจิ่นตอบเสียงเรียบ “นี่คือมู่ชิงอี”
บุรุษผู้นั้นผงะไป ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีตกใจ “องค์หญิงหมิงเจ๋อแห่งแคว้นหวา”
มู่ชิงอียิ้มบาง “เมืองเทียนเชวียข่าวสารว่องไวนัก” ถึงแม้จะถูกซ่อนอยู่ท่ามกลางหุบเขาจนไม่ค่อยรับรู้ข่าวสารเหมือนคนอื่น แต่เห็นได้ชัดว่าเมืองเทียนเชวียกลับรับรู้สถานการณ์กระทั่งข่าวสารยิบย่อยได้อย่างแม่นยำ
บุรุษผู้นั้นยิ้มแล้วก้มหน้าเอ่ย “องค์หญิงเอ่ยชมกันเกินไปแล้ว” ความจริงถึงแม้มู่ชิงอีจะตกใจกับการมีอยู่ของเมืองเทียนเชวีย แต่ทุกคนตรงหน้ากลับน่าทึ่งกว่ามาก ควรรู้ว่าท่านเจ้าเมืองรับช่วงต่อปกครองเมืองเทียนเชวียมานานหลายปีแล้ว แต่องค์หญิงหมิงเจ๋อผู้นี้กลับเป็นคนแรกที่ท่านเจ้าเมืองพากลับมาด้วย นี่บ่งบอกว่าภายในใจของท่านเจ้าเมือง องค์หญิงผู้นี้เป็นคนที่คู่ควรกับความเชื่อใจ เกรงว่าความเชื่อใจเช่นนี้คงไม่มีให้พวกเขาด้วยซ้ำ
“ข้าแซ่มู่ เรียกข้าว่าแม่นางมู่ก็พอแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ
หรงจิ่นดึงมือของมู่ชิงอีมาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้นบุรุษผู้นี้เห็นเช่นนั้นก็รับรู้ทันทีจึงรีบเบี่ยงตัวหลีกทางให้พร้อมกล่าว “เชิญท่านเจ้าเมืองกับแม่นางมู่เข้าไปพักผ่อนก่อนเถิด”
สีหน้าของหรงจิ่นคลายความโกรธลง พยักหน้าแล้วลากมู่ชิงอีเดินย่างกรายเข้าไปในเมือง
หลังจากก้าวเข้ามาในเมืองโบราณหลายร้อยปี มู่ชิงอีก็อดประหลาดใจไม่ได้ หรงจิ่นสวมหน้ากากคุณชายอวิ๋นอิ่นกลับเข้าไปใหม่ ถนนในเมืองเองก็มีชาวบ้านเดินสัญจรไปมาราวกับเมืองทั่วไปเหล่านั้นก็มิปาน หากมองข้ามเรื่องที่คนมากมายเหล่านี้ต่างมีวิทยายุทธติดตัวกันเป็นส่วนใหญ่
ทว่าจู่ๆ มู่ชิงอีที่ไม่มีวิทยายุทธติดตัวเลยคนหนึ่งมาโผล่ในเมืองนี้ อีกทั้งยังเดินเคียงบ่าเคียงไหล่มาพร้อมกับท่านเจ้าเมืองอีกต่างหาก คนส่วนมากจึงเลื่อนสายตามาจับจ้องด้วยความใคร่รู้
หรงจิ่นจูงมือนางเดินพลางเอ่ยยิ้มๆ เสียงเบาว่า “ชิงชิงชอบที่นี่ไหม เดี๋ยวข้าพาเจ้าออกมาเดินเล่นหน่อยดีไหมเล่า”
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “ครั้งนี้หม่อมฉันนึกทึ่งในตัวองค์ชายเก้าเหลือเกินเพคะ”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ชิงชิงต้องทึ่งในตัวข้าอยู่แล้ว แต่นับว่าเป็นเกียรติของข้านัก ชิงชิงสงสัยได้เต็มที่ หากอยากให้ข้าช่วยคลายความสงสัยใด ข้าก็พร้อมบอกเล่าจนหมดเปลือก”
มู่ชิงอีมองเขาแล้วเอ่ยด้วยท่าทีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “หม่อมฉันกลับรู้สึกว่าองค์ชายเก้าแฝงเจตนาร้าย เอาอกเอาใจก็เพราะหวังผลประโยชน์ทั้งนั้น” กระทั่งสินค้าของสำนักคุ้มกันยังแย่งมาเลย หรงจิ่นขาดแคลนเงินขนาดไหนไม่ต้องบอกก็รู้ นางไม่เชื่อหรอกว่าเขาพานางมาที่นี่ก็แค่ให้นางได้เห็นความใหญ่โตของเมืองเทียนเชวียเท่านั้น
หรงจิ่นลูบจมูกปอยๆ ยิ้มแต่กลับไม่พูดอะไร การถูกชิงชิงมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ นานวันเข้าก็ชินไปแล้ว
จวนท่านเจ้าเมืองไม่ได้สร้างอยู่จุดศูนย์กลางสำคัญเหมือนเมืองหลวงทั่วไปหรือส่วนกลางของเมืองปราการ แต่สร้างติดภูเขาทางฝั่งตะวันออกในเมือง จวนท่านเจ้าเมืองเชื่อมติดกับเทือกเขา ด้านหลังเป็นหน้าผาสูงร้อยจั้งมองไม่เห็นยอด บนหน้าผามีภาพมังกรล้อมเมฆมันเงาขนาดใหญ่สลักไว้ราวกับมีคนตั้งใจทำมันขึ้นมา หากมองจากมุมไกลนอกเมืองคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยอำนาจทรงพลังอันยิ่งใหญ่
จวนท่านเจ้าเมืองที่สร้างขึ้นอย่างใหญ่โตภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ยิ่งชวนให้ไม่กล้ามองตรงๆ ถึงแม้พื้นที่จะห่างชั้นกับวังหลวงของแคว้นหวาและแคว้นเย่ว์มาก แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมากลับมีไม่น้อย รวมถึงทำให้ผู้คนอดตกตะลึงกับความชาญฉลาดของผู้ออกแบบเมืองเทียนเชวียไม่ได้จริงๆ
พอกลับถึงจวนท่านเจ้าเมืองก็มีสาวรับใช้เข้ามาต้อนรับแล้วนำไปห้องโถงใหญ่
หรงจิ่นดึงมู่ชิงอีนั่งลงตรงเก้าอี้ตำแหน่งหลักในห้องโถงใหญ่ของจวน จากนั้นก็มองทุกคนจากที่สูงเอ่ยเสียงเรียบว่า “หลายวันมานี้เมืองเทียนเชวียเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง”
ยังคงเป็นบุรุษที่คุยกับมู่ชิงอีก่อนหน้านี้เปิดปากตอบ “ทุกอย่างในเมืองเทียนเชวียเรียบร้อยดี ข้าน้อยทำภารกิจเสร็จสิ้นราบรื่นดี ไม่ทำให้ท่านเจ้าเมืองผิดหวังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นพยักหน้าเอ่ย “ดีมาก เจ้าทำเรื่องใดข้าย่อมเชื่อใจอยู่แล้ว”
“ขอบคุณคำชมของท่านเจ้าเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
“พี่ชาย! ท่านยังไม่บอกเลยว่าตกลงนางเป็นใครกันแน่!” หญิงสาวเพียงคนเดียวท่ามกลางคนทั้งสี่คนก่อนหน้านี้โพล่งถามขึ้นอย่างห้ามใจไม่อยู่
ครั้นได้ยินเช่นนั้น มู่ชิงอีก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวชุดดำผู้นั้น ใบหน้าสะสวยหมดจด รูปร่างสูงโปร่งงดงาม ด้วยชุดคลุมสีดำเลยยิ่งขับให้ผิวขาวดั่งหยก งดงามจนน่าหลงใหล ในมือกุมดาบสั้นขนาดสองนิ้วไว้เล่มหนึ่ง ทว่าสายตาที่จับจ้องมู่ชิงอีกลับแฝงไปด้วยความท้าทายและจงใจ
มู่ชิงอีเลิกคิ้วพลางอมยิ้ม น้องสาวของหรงจิ่น? เป็นคนของตระกูลเหมยอย่างนั้นหรือ น่าสนใจเสียจริง…
หรงจิ่นมุ่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เอ่ยเสียงเรียบ “ชิงชิงก็คือว่าที่ภรรยาท่านเจ้าเมืองของเมืองเทียนเชวีย”
“อะไรนะ!” ทุกคนต่างมองสาวน้อยชุดขาวข้างกายหรงจิ่นด้วยท่าทีตะลึงงัน มู่ชิงอีกระตุกยิ้มมุมปากแล้วค่อยๆ หันไปมองหรงจิ่นเอ่ยถามเสียงอ่อนโยนว่า “ขอถามว่าหม่อมฉันตกลงยอมเป็นภรรยาท่านเจ้าเมืองตั้งแต่เมื่อไรกันเพคะ”
รอยยิ้มของหรงจิ่นดูอ่อนโยนและมุ่งมั่นในขณะเดียวกัน “ชิงชิง ข้าต้องการภรรยาท่านเจ้าเมืองสักคน”
หากเจ้าต้องการแล้วข้าต้องทำตามหรืออย่างไร ขณะที่มู่ชิงอีใกล้ปะทุความโกรธเต็มที ฉับพลันใจก็กระตุกวูบแล้วมองไปทางหรงจิ่นด้วยความสงสัย หรงจิ่นเอ่ย “ชิงชิง เมืองเทียนเชวียต้องการนายหญิงสักคน”
มู่ชิงอีหลุบตาลงช้าๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
ในเมื่อมู่ชิงอีไม่พูดอะไร หญิงสาวชุดดำคนนั้นก็ยิ่งรับไม่ได้ ร้องแหวเสียงสูง “พี่ชาย พี่ชายจะเอาสตรีที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งมาเป็นภรรยาได้เช่นใด”
“สามหาวนัก” ถึงแม้จะเป็นน้องสาวของตน แต่หรงจิ่นไม่ได้แปรเปลี่ยนดูมีเยื่อใยขึ้นมาบ้างเลยสักนิด เอ่ยเสียงเรียบ “นางเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของตระกูลโหวในแคว้นหวา องค์หญิงของเชื้อพระวงศ์ เรื่องรูปโฉมที่งดงามยิ่งกว่าใคร และสิ่งที่สำคัญก็คือข้าตัดสินใจแล้ว…นางก็คือนายหญิงของเมืองเทียนเชวีย พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ไม่เข้าใจ! มีสิทธิ์อันใดกัน…” แววตาของหญิงสาวชุดดำที่จับจ้องมู่ชิงอีเต็มไปด้วยความเคียดแค้น พร้อมตวาดใส่ด้วยความโมโห