ดังนั้นคนอย่างหรงจิ่นเกิดมาเพื่อแก้แค้นคนบนโลกใบนี้โดยเฉพาะ มิเช่นนั้นเหตุใดถึงฆ่าเขาไม่ตายสักทีเล่า มู่ชิงอีลอบเอ่ยในใจ
หรงจิ่นมองมู่ชิงอีด้วยใบหน้าขัดเคือง “ชิงชิงคิดว่าข้าเหมือนหนูตกถังข้าวสารอยู่ใช่หรือไม่”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว “แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่าเพคะ” นี่ถือเป็นเมืองเทียนเชวียในตำนานเชียว จู่ๆ เขาที่ตกลงมาจากบนฟ้าก็ได้กลายเป็นเจ้าเมืองเทียนเชวีย แล้วแบบนี้ไม่ได้เหมือนหนูตกถังข้าวสารหรอกหรือ
หรงจิ่นยิ้มเย็นชา “ตอนที่ข้าเพิ่งมาถึงเมืองเทียนเชวีย พวกบ้านั่นแต่ละคนหน้าเหลืองหิวโซกันทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะข้าตกลงมาในจวนเจ้าเมือง ข้าสงสัยว่าข้าคงถูกพวกเขากินไปแล้ว”
“หิวหรือ” มู่ชิงอีรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
หรงจิ่นเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “นอกจากตระกูลเหมย คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกนอกเมืองมาหลายร้อยปีแล้ว ที่ดินละแวกเมืองเทียนเชวียก็แค่เพียงพอให้คนเมืองเทียนเชวียกินอิ่มท้องเท่านั้น หากเจอภัยพิบัติขึ้นมา…หลายปีต่อมา ตอนนั้นทรัพย์สินที่เหลิ่งเทียนเชวียทิ้งไว้โดนพวกเขาใช้เกลี้ยงจนหมด อีกอย่างคนพวกนี้ก็ไม่รู้จักก้าวไปข้างหน้า ยอมอดอยากปากแห้งไม่ออกไปนอกเมือง ดังนั้นตอนนี้ชิงชิงเข้าใจหรือยังว่าหลายปีมานี้ข้าเอาเงินไปไหนหมด” พอพูดถึงตอนท้ายหรงจิ่นก็ทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันซึ่งนานๆ จะเห็นครั้ง เงินตั้งสิบล้านตำลึงเชียวนะ หากเอาไปใช้ภายนอกคงพอให้เขาซุ่มเลี้ยงกองทัพทหารได้อย่างน้อยห้าหมื่นนาย สามารถใช้ซื้อตัวขุนนางใหญ่ในราชสำนักได้มากกว่าสามในสิบส่วน แถมสามารถเอาเงินฟาดหน้าพี่น้องที่แสนน่ารำคาญเหล่านั้นตายได้แล้ว! แต่เขากลับทำได้แค่เอามาเลี้ยงดูคนไร้ประโยชน์ในเมืองเทียนเชวียเท่านั้น!
มู่ชิงอีลองคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็วพลันก็อดนึกสงสารหรงจิ่นขึ้นมาไม่ได้ เมืองเทียนเชวียเป็นเมืองในฝันของคนนับไม่ถ้วน แต่หากมีชาวบ้านหลายหมื่นคนอ้าปากรอป้อนข้าวอย่างเดียว นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทนรับได้ไหว มิน่าอดีตเจ้าเมืองเทียนเชวียถึงยอมยกตำแหน่งให้คนนอกง่ายดายขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเมืองเทียนเชวียคงไม่มีใครกล้ารับไปแล้วกระมัง
หรงจิ่นเอ่ยพร้อมใบหน้าขมขื่น “ข้าใช้เวลาตั้งหลายปีกว่าจะกระตุ้นพวกไร้ประโยชน์พวกนี้ได้ บัดนี้ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะทำให้เข้าที่เข้าทาง ชิงชิง ข้าเหนื่อยเสียเหลือเกิน…”
มู่ชิงอีลูบไหล่เขาด้วยความเห็นใจเอ่ย “หม่อมฉันจะช่วยท่านเองเพคะ”
หรงจิ่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วว่าชิงชิงดีที่สุด แล้วก็…เทียนเสวียนดูแลร้านค้ากิจการภายนอก ส่วนเทียนเฉวียนดูเรื่องต่างๆ ภายในเมืองเทียนเชวียน พวกเขาสองคนมอบให้เจ้าแล้วกัน เจ้าเรียกใช้ได้เต็มที่เลยไม่เป็นไร ข้าต้องการแค่เงินมหาศาล และไว้ชีวิต…พวกเขาสองคนก็พอ”
มู่ชิงอีพยักหน้าด้วยความเข้าใจ การก่อกบฏเป็นเรื่องที่ผลาญทรัพย์จริงๆ หรงจิ่นแทบทุ่มทรัพย์สินทั้งหมดไปแล้ว หากเขาไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยจากเมืองเทียนเชวีย เขาย่อมรู้สึกเหมือนมีบ่วงพันธนาการรัดไว้แน่นอน
ภายในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืนชาวเมืองเทียนเชวียก็รู้แล้วว่าท่านเจ้าเมืองพาว่าที่ภรรยาเจ้าเมืองกลับมาด้วย ขณะนั้นประตูใหญ่หน้าจวนเจ้าเมืองก็คึกคักยิ่งกว่าบนท้องถนนเสียอีก ชาวเมืองต่างเดินไปมาเพื่อฉวยโอกาสดูว่าหน้าตาของว่าที่ภรรยาของท่านเจ้าเมืองเป็นเช่นไร
พูดถึงนับตั้งแต่เจ้าเมืองอย่างหรงจิ่นรับตำแหน่งเจ้าเมืองมาจนถึงตอนนี้ วันเวลาที่พำนักอยู่ในเมืองเทียนเชวียกลับรวมกันไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ แต่สำหรับสถานะภายในใจของชาวเมืองแล้วเขาไม่ด้อยไปกว่าเจ้าเมืองคนก่อนเลย
ทำไมหรือ ก็เพราะเจ้าเมืองคนใหม่ทำให้พวกเขากินอิ่มท้องทุกปี หลังจากเจ้าเมืองคนใหม่มารับตำแหน่ง เมืองเทียนเชวียที่ตัดขาดจากโลกภายนอกก็เริ่มค่อยๆ ติดต่อกับที่อื่น ข้าวสารอาหารแห้งในเมืองมากขึ้นแล้ว ของประหลาดนานาชนิดก็มีมากขึ้นด้วย ชาวเมืองจึงรู้สึกว่าใช้ชีวิตในแต่ละวันมีความสุขมากกว่าเมื่อก่อน
รวมถึงหนุ่มสาวที่มีความกล้าหาญมากกว่าหน่อยก็จะถูกเจ้าเมืองพาไปผจญภัยโลกภายนอก กลับมาแต่ละครั้งก็พกเรื่องราวแปลกใหม่กลับมามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสำราญในเมืองเทียนเชวียมาหลายร้อยปี กระทั่งไม่ยอมอยู่ในแวดวงสังคมที่เจริญรุ่งเรือง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาชอบสวมเพียงชุดผ้าป่านหรือทานแต่ธัญพืชเสียหน่อย อีกทั้งทุกอย่างนี้เป็นสิ่งที่เด็กน้อยผู้สืบทอดอย่างเจ้าเมืองคนใหม่นำพามาทั้งสิ้น นี่จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดประชาชนในเมืองถึงศรัทธาและสนับสนุนคนนิสัยร้ายกาจเช่นนี้กันถ้วนหน้า
หลังจากกลับมาถึงเมืองเทียนเชวียนเป็นวันที่สอง ใครบางคนที่บอกมู่ชิงอีว่าจะพานางไปเที่ยวเล่นทุกซอกทุกมุมในเมืองก็พาเทียนซูหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มู่ชิงอีเองก็ไม่สนใจ แถมใช่ว่านางจะมาที่นี่เพื่อเที่ยวชมนกชมเขาเสียเมื่อไร ยิ่งไปกว่านั้นภายในจวนเจ้าเมืองยังมีงานกองโตรอให้นางจัดการอยู่อีกต่างหาก
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ นางก็มาห้องหนังสือของจวนเจ้าเมืองภายใต้การนำทางของสาวใช้ เทียนเฉวียนกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางอ่านม้วนกระดาษในมือภายในห้องหนังสือ ไม่ห่างจากข้างกายเขานักยังมีเหยากวงที่กำลังเดินไปเดินมาพลางพูดพึมพำอะไรบางอย่างด้วยความหงุดหงิด ครั้นเห็นว่าเขาไม่ตั้งใจฟังสิ่งที่ตนพูดก็ยิ่งปะทุความโกรธแล้วคว้าม้วนกระดาษในมือเขาทิ้งลงบนพื้นอีกฝั่งแล้วตวาดใส่ “เจ้าได้ฟังที่ข้าพูดบ้างหรือไม่”
ใบหน้างามสง่าของเทียนเฉวียนแฝงไปด้วยความเหนื่อยหน่ายและเป็นกังวล “อิ้งเสวี่ย ใช่ว่าเจ้าจะไม่ได้ยินสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองพูดเสียหน่อย นางคือนายหญิงที่ท่านเจ้าเมืองให้การยอมรับ เจ้ากับข้าล้วนต้องทำงานตามคำสั่งนางทั้งนั้นแหละ”
เหมยอิ้งเสวี่ยแค่นเสียงเย็นชา เอ่ยอย่างดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางยอมรับว่านางเป็นนายหญิงอะไรนั่น! ใครจะรู้บ้างว่านางเป็นใครมาจากไหนกันแน่ เห็นอยู่ทนโท่ว่าอาศัยความงามยั่วยวนพี่ชายชัดๆ” ครั้นนึกถึงหญิงสาวที่อยู่ข้างกายพี่ชายเมื่อวาน เหมยอิ้งเสวี่ยก็ปรากฏความริษยาพาดผ่านนัยน์ตามากกว่าเดิม นางก็ถือว่าเป็นสาวงามอันดับต้นๆ ของเมืองเทียนเชวียเช่นกัน แต่หากเทียบกับนางผู้นั้นแล้วกลับสู้ไม่ได้เลยสักนิด หากนางใบหน้างดงามได้อย่างท่านอาในตอนนั้น พี่ชายจะถูกใจหญิงสาวผู้นั้นได้เช่นไร
เทียนเฉวียนเอ่ย “นางเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหวแห่งแคว้นหวา ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงแต่งตั้งให้นางเป็นถึงองค์หญิงหมิงเจ๋อด้วยพระองค์เองด้วย” หากว่ากันด้วยเรื่องสถานะ ไม่ว่าจะพูดในแง่มุมไหนก็คู่ควรกับเจ้าเมืองที่เป็นทั้งเจ้าเมืองเทียนเชวียและองค์ชายแห่งแคว้นเย่ว์ทั้งสิ้น
“แล้วจะอย่างไรเล่า ข้าไม่สนหรอก! ข้าต้องรีบไล่นางไปให้ได้…เทียนเฉวียน เจ้าช่วยข้าคิดหาวิธีการที” เหมยอิ้งเสวี่ยดึงแขนเสื้อเทียนเฉวียนพลางเอ่ยด้วยท่าทีออดอ้อน
เทียนเฉวียนยังไม่ทันพูดอะไรก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากหน้าประตูแล้ว “คุณหนูเหมยวางแผนจะไล่ข้าไปด้วยวิธีใดหรือ”
พวกเขาทั้งสองหันหน้าไปพร้อมกัน จากนั้นก็เห็นสาวน้อยรูปงามสวมชุดสีขาวกำลังพิงเสาอยู่ด้านนอกประตูพร้อมกวาดตามองพวกเขาสองคนด้วยท่าทีสนใจ เหมยอิ้งเสวี่ยสีหน้าขรึมลงแล้วรีบปล่อยมือออกจากแขนเสื้อเทียนเฉวียนก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว เทียนเฉวียนที่ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการก็ปรากฏประกายความตกใจพาดผ่านแววตา จากนั้นก็หลุบตาลงอย่างเงียบๆ
น่าสนใจ…มู่ชิงอีลอบยิ้มในใจ
นางค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาในห้องหนังสืออย่างช้าๆ แล้วกวาดตาสำรวจห้องหนังสือขนาดใหญ่ ในนั้นมีกองกระดาษสมุดบัญชีมากมายวางเกลื่อนเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครสนใจนัก ปกติของเหล่านี้จะมีเทียนเฉวียนคอยรับผิดชอบเพียงคนเดียว คนอื่นๆ ไม่ค่อยสนใจของเหล่านี้เลย
“เจ้ามาทำอะไร” เหมยอิ้งเสวี่ยมองมู่ชิงอีด้วยความระแวง ครั้นเห็นท่าทีประหม่าราวกับเจอศัตรูตัวฉกาจ มู่ชิงอีก็คลี่ยิ้มบางพลางเลิกคิ้วเอ่ย “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
“ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยว่าทางที่ดีควรอยู่ห่างจากพี่ชายสักหน่อย” เหมยอิ้งเสวี่ยเอ่ยเสียงสูงพลางจับจ้องมู่ชิงอี “ถ้ารู้ตัวก็ควรรีบไสหัวออกไปจากเมืองเทียนเชวียโดยเร็วดีกว่า ไม่เช่นนั้นล่ะก็…”
“ไม่เช่นนั้นจะทำไมหรือ” มู่ชิงอีฉีกยิ้มสดใส ทว่านัยน์ตางดงามกลับแฝงความเย็นชาไว้จางๆ “เจ้าวางใจได้ อีกไม่นานข้าก็ไปแล้ว แต่…คงต้องลากตัวพี่ชายของเจ้าไปพร้อมกันด้วย ในเมื่อวันหน้า…ที่อยู่ของพวกเราคือจวนอวี้อ๋องในเมืองหลวง ไม่ใช่เมืองเทียนเชวียอะไรนี่เสียหน่อย”