รอกระทั่งพวกเขาทั้งสามหารือกันเรื่องงานเสร็จ ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงเที่ยงแล้ว มู่ชิงอีมองท้องฟ้าก่อนหันมาเอ่ยกับพวกเขาทั้งสอง “ใกล้เที่ยงแล้ว พวกเจ้าอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนเถิด”
ไม่รู้ว่าหรงจิ่นพาเทียนซูหนีหายไปไหน มู่ชิงอีเองก็คร้านจะไปตามหาจึงเชิญเทียนเฉวียนกับเทียนเสวียนอยู่ทานข้าวด้วยกัน ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็เป็นใหญ่ในจวนเจ้าเมืองย่อมไม่ต้องเกรงใจใครอยู่แล้ว
เทียนเสวียนยิ้มเอ่ยอย่างชอบใจ “เช่นนั้นต้องขอบคุณแม่นางมู่ด้วย”
ถึงแม้เพิ่งจะรู้จักกับมู่ชิงอีได้ไม่นาน แต่เทียนเสวียนกลับรู้สึกจากใจจริงว่าแม่นางมู่ผู้นี้เป็นหญิงสาวที่เหมาะสมกับท่านเจ้าเมืองที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเรื่องความสามารถ รูปโฉม หรือชาติตระกูลล้วนไม่เป็นรองใคร ยิ่งไปกว่านั้นก็คือนางสามารถกำราบท่านเจ้าเมืองได้อยู่หมัด อีกทั้งท่านเจ้าเมืองยังเชื่อฟังนางอีกต่างหาก บนโลกนี้ยังมีเรื่องที่ยากไปกว่านี้อีกหรือ
เทียนเฉวียนเองก็พยักหน้าเอ่ย “น้อมรับคำสั่ง ต้องรบกวนแม่นางมู่แล้ว”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางเอ่ย “ไม่ต้องเกรงใจ”
เมื่อออกคำสั่งให้สาวใช้เตรียมสำรับอาหารเที่ยงสำหรับสามคนแล้ว มู่ชิงอีเลยตัดสินใจฉวยโอกาสช่วงเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดทำความรู้จักกับเทียนเฉวียน หลังจากทำความรู้จักกันมาตลอดทั้งช่วงเช้าย่อมไม่ต้องพูดถึงความสามารถของเทียนเฉวียนเลย มิเช่นนั้นเขาคงเป็นผู้ดูแลทั่วทั้งภายในเมืองเทียนเชวียนไม่ได้ ส่วนเรื่องที่เทียนเฉวียนไม่ค่อยเป็นมิตรกับตนเท่าไรนั้น มู่ชิงอีพอจะเข้าใจได้ เพราะคนอย่างเขามีความระแวงมากกว่าเทียนเสวียน ยิ่งไปกว่านั้นความไม่พอใจของเขาที่มีต่อนางก็เพราะเหมยอิ้งเสวี่ยเลยพลอยไม่ชอบนางไปด้วย
มู่ชิงอีถือถ้วยที่มีน้ำชาสีเขียวอ่อนในมือพลางมองเทียนเฉวียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้านล่างเงียบกริบไม่พูดอะไร จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “เทียนเฉวียนไม่พอใจข้าเรื่องใดหรือ”
เทียนเฉวียนผงะไปแล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมแววตาทอประกายอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงขรึม “แม่นางมู่เข้าใจผิดแล้ว เทียนเฉวียนมิบังอาจ”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้ม เท้าคางแล้วมองเขาด้วยท่วงท่าสบายๆ “มิบังอาจไม่ได้หมายความว่าไม่มีสักหน่อยมิใช่หรือ”
เทียนเฉวียนไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าแฝงความไม่พอใจไว้อยู่
เทียนเสวียนขมวดคิ้วมองเทียนเฉวียนกล่าว “เทียนเฉวียน แม่นางมู่…ล่วงเกินเจ้าตรงไหนหรือ” สำหรับเขาแล้วจิตใจผู้มีความรู้ช่างคับแคบนัก เทียนเฉวียนไม่พอใจแม่นางมู่คิดว่าคงเพราะนางเผลอไปล่วงเกินเขาโดยไม่รู้ตัว แต่ในฐานะบุรุษจำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงขนาดนี้เชียวหรือ
ครั้นเห็นเทียนเฉวียนขมวดคิ้วมุ่นไม่พูดอะไร เทียนเสวียนครุ่นคิดดูแล้วถึงนึกขึ้นได้ในทันที “เจ้าคงไม่ได้เป็นเพราะเหยากวงหรอกกระมัง”
เทียนเฉวียนเหลือบมองเขาด้วยความไม่ชอบใจแวบหนึ่ง เทียนเสวียนเองก็ขึงตาใส่โดยไม่คิดจะเกรงใจเช่นกัน เขาเห็นเหมยอิ้งเสวี่ยขัดหูขัดตาแล้วทำไมหรือ ทั้งๆ ที่อยู่ในตำแหน่งเหยากวงแท้ๆ แต่กลับไม่ทำอะไรสักอย่าง ทุกครั้งที่ท่านเจ้าเมืองกลับมาก็เอาแต่ตามรังควานไม่เลิก หากแค่นี้ยังพอว่าไปอย่าง แต่ทั้งๆ ที่เหมยอิ้งเสวี่ยรู้อยู่แก่ใจดีว่าเทียนเฉวียนมีความรู้สึกดีๆ ให้นาง หากนางไม่รู้สึกอะไรด้วยก็แค่ตีตัวออกห่างหน่อยก็จบ ทว่านางดันชอบขอให้เทียนเฉวียนช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ห้าคนที่เหลือเองก็ไม่มีใครชอบนางเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเทียนเฉวียนมักคอยปกป้องนางอยู่เรื่อย ต่อให้นางมีตระกูลเหมยคอยหนุนหลังก็คงไม่ได้เป็นเหยากวงแน่นอน
เทียนเฉวียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยถามว่า “แม่นางมู่ เราหารือเรื่องขับไล่เหยากวงออกจากกลุ่มอีกครั้งได้หรือไม่”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “ให้เหตุผลข้ามาสักข้อหนึ่งสิ”
“ตำแหน่งเหยากวง…” เทียนเฉวียนพลันเงียบไป
เทียนเฉวียนน่าจะเฉลียวฉลาดที่สุดในบรรดากลุ่มดาวหมีใหญ่ทั้งเจ็ดแล้ว เขาจะไม่รู้ได้เช่นใดว่าลำพังแค่เหตุผลธรรมดาๆ คงทำให้หญิงสาวใบหน้าสะสวยตรงหน้ายอมจำนนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากเรื่องส่วนตัว เขาเองก็ไม่มีเหตุผลใดที่เหมาะสมแล้วเช่นกัน ถึงแม้เขาเองก็คิดว่าเหมยอิ้งเสวี่ยไม่เหมาะสมจะอยู่ในกลุ่มดาวหมีใหญ่ก็ตาม
มู่ชิงอีใช้นิ้วเคาะโต๊ะเสียงเบาอย่างไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “กลุ่มดาวหมีใหญ่เป็นหัวใจสำคัญในเมืองเทียนเชวีย เรื่องความสำคัญไม่ต้องพูดถึงก็รู้กันดี หลายปีมานี้ภารกิจของท่านเจ้าเมืองมีมากมายจนไม่มีเวลาดูแลเมืองเทียนเชวีย แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวพวกเจ้ามาก ข้าไม่อยากให้วันใดวันหนึ่งท่านเจ้าเมืองรู้สึกว่ามองคนผิด”
พวกเขาทั้งสองอดทำหน้าเคร่งขรึมไม่ได้ ถึงแม้ความจริงพวกเขาจะรู้จักหรงจิ่นได้ไม่นาน แต่กลับเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างถ่องแท้ดีว่าหากท่านเจ้าเมืองรู้สึกผิดหวังกับพวกเขาขึ้นมา เกรงว่าเรื่องต่อจากนั้นคงน่ากลัวไม่น้อย
ดวงตางดงามค่อยๆ กวาดมองร่างของเขาทั้งสอง มู่ชิงอีเอ่ย “ในเมื่อพวกเจ้าเป็นคนที่ท่านเจ้าเมืองไว้ใจ พวกเจ้าก็คงรู้ว่าเมืองเทียนเชวียในภายภาคหน้าไม่มีทางอยู่แค่ท่ามกลางกลุ่มเขารายล้อมเล็กๆ ไปเช่นนี้ตลอดกาลแน่นอน เทียนเฉวีย ตอนนี้เจ้าลองบอกข้าอีกครั้งสิว่าหากเหยากวงอยู่ต่อไปยังเหมาะสมอยู่หรือไม่ หากเจ้าคิดว่าเหมาะสมจริงๆ ข้าเองก็จะช่วยพูดโน้มน้าวหรงจิ่นให้ แต่ภารกิจที่นางต้องรับผิดชอบคงมีไม่น้อย หากทำงานพลาดก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน”
เทียนเฉวียนพลันใจชาวาบ เอ่ยเสียงขรึม “ขอบคุณแม่นางมู่มาก ข้าเข้าใจแล้ว นางไม่เหมาะจะอยู่ในกลุ่มดาวหมีใหญ่ต่อจริงๆ”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมาก” เทียนเฉวียนก็ไม่ได้ถูกความรักบังตาเสียทีเดียวเลยไม่ได้ยืนกรานรั้นจะให้เหมยอิ้งเสวี่ยดำรงตำแหน่งต่อ มิเช่นนั้นมู่ชิงอีคงพิจารณาบีบเทียนเฉวียนออกไปพร้อมกันเลย
เทียนเสวียนมองพวกเขาทั้งสองแล้วชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างอดไม่ได้ “แม่นางมู่ พวกเราเองก็เคยถกเถียงเรื่องเหยากวงควรอยู่หรือไปหลายครั้งแล้ว แต่แม่นางเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก อีกทั้งในเมืองเทียนเชวียตระกูลเหมยนั้นมีอิทธิพลมากเช่นกัน ทางที่ดี...เรื่องนี้ให้ท่านเจ้าเมืองเป็นคนจัดการดีกว่า”
นางย่อมเข้าใจความปรารถนาดีของเทียนเสวียนอยู่แล้วจึงยิ้มบางเอ่ย “ขอบใจเทียนเสวียนด้วย ข้าเข้าใจดี ตอนนี้ก็เลยเวลามามากแล้ว พวกเราไปทานข้าวกันเถิด”
แต่ยังไม่ทันลุกขึ้น สาวใช้ด้านนอกก็เดินเข้ามารายงานด้วยความรีบร้อนว่า “คารวะแม่นางมู่ เหมยฮูหยินผู้เฒ่ามาเจ้าค่ะ”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เอ่ยอย่างเสียดาย “ดูท่าทางข้าคงไม่ได้ไปร่วมวงทานข้าวกับพวกเจ้าแล้ว ข้าไปดูก่อน พวกเจ้าทั้งสองไปทานข้าวก่อนเถิด”
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าที่เกล้ามวยผมสีขาวโพลนอย่างเป็นระเบียบกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถงใหญ่ภายในจวนเจ้าเมือง ส่วนเหมยอิ้งเสวี่ยคอยยืนรับใช้อยู่ข้างกายเหมยฮูหยินผู้เฒ่าอย่างว่าง่ายพร้อมสีหน้าเอาแต่ใจเย่อหยิ่ง
ถึงแม้จะเป็นท่านยายของเจ้าเมือง แต่เหมยฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่เคยแวะมาสักครั้ง อย่างแรกเพราะหรงจิ่นไม่สนิทสนมกับตระกูลเหมย และเพราะจุดนี้ตั้งแต่หรงจิ่นกลับมาเมืองเทียนเชวียจึงยังไม่เคยกลับไปทักทายเยี่ยมเยียนท่านตาท่านยายเลยทำให้พอจะมองออกอยู่บ้าง เหมยฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ถือว่าตนมีสถานะสูงศักดิ์มาทั้งชีวิตย่อมไม่มีทางแบกหน้ามาเอาอกเอาใจคนที่อายุน้อยกว่าอยู่แล้ว อย่างที่สอง หรงจิ่นไม่ค่อยอยู่ในเมืองเทียนเชวีย ตามกฎเมืองเทียนเชวียแล้วภายในระยะเวลาที่เจ้าเมืองไม่อยู่ นอกจากเทียนซูและเทียนเฉวียนแล้ว ต่อให้เป็นกลุ่มดาวหมีใหญ่อีกห้าคนที่เหลือก็ห้ามเข้าจวนเจ้าเมืองโดยพลการเด็ดขาด
เหมยฮูหยินผู้เฒ่านั่งกวาดตาสำรวจภายในห้องโถงหรูหราใหญ่โต จากนั้นก็ปรากฏริ้วรอยเต็มใบหน้าสื่อว่าไม่ค่อยชอบใจนัก
“เหตุใดแม่นางมู่นั่นถึงยังไม่มาอีก” เหมยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วน้อยๆ นางในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสกว่ากลับนั่งรออยู่ที่นี่ตั้งนาน แต่แม่นางมู่นั่นกลับไม่ออกมาต้อนรับขับสู้ ผ่านมานานขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่เห็นเงาของสองคนนั้น แบบนี้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
สาวใช้ที่คอยยืนรับใช้อยู่อีกฝั่งเอ่ยอย่างนอบน้อม “แม่นางมู่กำลังหารือเรื่องงานกับเทียนเฉวียนอยู่ในห้องหนังสือ ข้าให้คนไปรายงานแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” เพราะมู่ชิงอียืนกรานห้ามไม่ให้ใครเรียกนางว่านายหญิงและองค์หญิง เพราะเหตุนี้ทุกคนเลยทำได้แค่เรียกนางว่าแม่นางมู่เท่านั้น