ถึงแม้มู่ชิงอีจะเพิ่งมาเมืองเทียนเชวียได้เพียงสองสามวัน แต่กลับได้รับความรักความเอ็นดูจากบ่าวรับใช้ทุกคนในจวนเจ้าเมืองทั้งสิ้น นับตั้งแต่เจ้าเมืองพามู่ชิงอีกลับมาก็ไม่เคยระเบิดอารมณ์ใส่บ่าวรับใช้เลยสักครั้ง นี่จึงทำให้บ่าวรับใช้ที่หวาดผวาต่ออารมณ์ฉุนเฉียวของหรงจิ่นรู้สึกซาบซึ้งจนแทบน้ำตาไหล
เหมยอิ้งเสวี่ยแค่นเสียงเบา “ผู้ใหญ่มาแต่ไม่รู้จักออกมาต้อนรับ ยังจะมัวหารืออันใดกันอยู่อีก นางกำลังจะอวดว่าพี่ชายเอาเรื่องภายในเมืองเทียนเชวียยกให้นางจัดการหมดหรืออย่างไรกัน”
“อิ้งเสวี่ย” เหมยฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วแล้วเอ่ยคล้อยตามไปด้วย “ได้ยินมาว่าแม่นางผู้นั้นเพิ่งอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น จิ่นเอ๋อร์ทำอะไรสะเพร่าเกินไปแล้ว”
เหมยอิ้งเสวี่ยรีบเอ่ยยิ้มรับ “ท่านย่าพูดถูกเจ้าค่ะ”
“ชิงอีมาช้าไปหน่อย เหมยฮูหยินผู้เฒ่าโปรดอภัยให้ด้วย” เสียงใสกังวานสง่าดังแว่วมาจากประตู พอเหมยฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองก็เห็นสาวน้อยสวมชุดสีขาวเส้นผมสีดำขลับยืนยิ้มสดใสตรงหน้าประตู ถึงแม้รอยยิ้มบางๆ นั้นจะแสดงถึงมารยาทแต่กลับให้ความรู้สึกห่างเหินและเย็นชาอยู่บ้าง
นางมองสาวน้อยชุดขาวที่เผยสีหน้าสุขุมงามสง่าตรงหน้าประตูก่อนหันกลับมามองสีหน้าขึงโกรธและมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นของหลานสาวข้างกายตน ถึงแม้เหมยฮูหยินผู้เฒ่าจะเข้าข้างคนของตนแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าถึงแม้หลานสาวตนจะอายุปาไปสิบแปดปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะเรื่องบุคลิก กิริยามารยาทล้วนสู้สาวน้อยที่อายุเพิ่งสิบห้าสิบหกปีตรงหน้าไม่ได้เลยอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องรูปโฉมความงาม นับว่าชั่วชีวิตนี้เหมยฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เจอะเจอคนมามากมาย ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นหญิงสาวที่ทัดเทียมความงามกับบุตรสาวที่ล่วงลับไปนานแล้วของตนได้
มิน่าจิ่นเอ๋อร์ถึงหลงใหลนางขนาดนี้ หนุ่มน้อยที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ ความจริงก็ถึงช่วงอายุที่ชอบความสวยความงามเช่นกัน เพียงแต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรเอาหญิงสาวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาดูแคลนคนของตนได้ถึงจะถูก
“เจ้าคือมู่ชิงอีหรือ” เหมยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามแล้วใช้สายตาเหนือกว่าจับจ้องมู่ชิงอี จนกระทั่งทำเอามู่ชิงอีที่เพิ่งย่างกรายเข้ามาภายในห้องโถงต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ถึงแม้นางจะยอมเป็นที่ปรึกษาให้หรงจิ่น ทว่าแต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยคิดว่าตนจำเป็นต้องลดศักดิ์ศรีเพื่อญาติของหรงจิ่น หากเป็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ว่าไปอย่าง เพราะด้วยอำนาจและทรัพยากรที่คนในฐานะฮ่องเต้ครอบครองไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปอย่างพวกเขาจะประเมินค่าได้ ก้มศีรษะให้ตามสมควรยังพอว่า แต่ถ้าแม้แต่ท่านยายของหรงจิ่นยังใช้สายตาเหนือกว่าเช่นนี้มองสะใภ้…ไม่สิ ใช้สายตามองอนุมามองนาง เช่นนั้นก็อย่าโทษว่านางหาเรื่องหรงจิ่นก็แล้วกัน
เพราะมู่ชิงอีไม่ค่อยชอบใจนัก รอยยิ้มบนใบหน้าจึงค่อยๆ จางหาย นางค่อยๆ สาวเท้าเดินเข้ามาในห้องโถง พอเห็นเหมยอิ้งเสวี่ยที่เผยท่าทีได้ใจอยู่ข้างกายเหมยฮูหยินผู้เฒ่าก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหลักในห้องโถง พยักหน้าเอ่ยเสียงนิ่งว่า “เจ้าค่ะ หรงจิ่นไม่อยู่จวน ไม่ทราบว่าเหมยฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ”
ครั้นเห็นมู่ชิงอีนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหลักโดยไร้ท่าทีสะทกสะท้านใดๆ อีกทั้งทำตัวเหมือนเป็นเจ้านายในจวนเจ้าเมืองเช่นนี้จึงทำเอาเหมยฮูหยินผู้เฒ่าอดทำหน้ามุ่นคิ้วขมวดไม่ได้ ในเมืองเทียนเชวียแบ่งศักดิ์วรรณะอย่างชัดเจน ดังนั้นต่อให้เหมยฮูหยินผู้เฒ่าใหญ่แค่ไหน แต่พอมาจวนเจ้าเมืองแล้วกลับไม่กล้านั่งเก้าอี้ตัวหลักด้วยซ้ำ ครั้นเวลานี้เห็นหญิงสาวที่ไร้หัวนอนปลายเท้านั่งลงด้วยท่าทีหยิ่งผยอง นางเลยรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“ข้าได้ยินมาว่าจิ่นเอ๋อร์พาแม่นางคนหนึ่งกลับมาด้วยเลยตั้งใจมาดูก็เท่านั้น” แต่เพียงชั่วครู่สีหน้าของเหมยฮูหยินผู้เฒ่าก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็ใช้สีหน้าราวกับเป็นห่วงหลานมองมู่ชิงอีพลางเอ่ยว่า “แม่นางมู่ก็รู้ว่าจิ่นเอ๋อร์เสียมารดาไปตั้งแต่วัยเยาว์ มีเรื่องมากมายที่ยังไม่ค่อยรู้ความ ยายอย่างข้าย่อมต้องช่วยเขาสอดส่องบ้างอยู่แล้ว ตำแหน่งนายหญิงของเมืองเทียนเชวียใช่ว่าใครก็สามารถรับตำแหน่งได้เสียหน่อย”
มู่ชิงอีพยักหน้ายิ้มแย้มอย่างเห็นด้วยกล่าว “เหมยฮูหยินผู้เฒ่าพูดถูก หรงจิ่นเคยเปรยๆ กับข้าแล้วว่าตำแหน่งนายหญิงของเมืองเทียนเชวียก็มีอำนาจปกครองเมืองเทียนเชวียเช่นกัน เพราะเหตุนี้ถึงต้องระมัดระวังมากกว่าเดิม หากเลือกนายหญิงที่ทำอะไรไม่เป็นเลย หรงจิ่นเองก็อยู่เมืองเทียนเชวียไม่บ่อยนัก เช่นนั้นจะไม่อลหม่านไปหมดหรือ”
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าเรียบตึงอีกครั้งแล้วเหลือบมองหลานสาวข้างกายแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจ นางจะฟังไม่ออกได้เช่นไรว่ามู่ชิงอีกำลังเย้ยหยันหลานสาวของตนอยู่ ความจริงถึงแม้ตระกูลเหมยจะค้าขาย แต่กลับสั่งสอนลูกหลานอย่างเอาใจใส่ ถึงแม้ออกนอกจวนไป ความสามารถของเหมยอิ้งเสวี่ยกลับไม่แพ้หญิงสาวตระกูลใหญ่ใดเลย แต่หากเป็นนายหญิงปกครองเมืองกลับห่างชั้นอยู่มาก ถึงแม้หลายปีมานี้ตระกูลเหมยจะพยายามเสริมความรู้ด้านนี้ให้แก่นาง แต่ถึงอย่างไรเหมยอิ้งเสวี่ยก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งจึงไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ ยามปกติยังต้องใช้เวลาไปกับหรงจิ่นและกลุ่มดาวหมีใหญ่อีก หลายปีมานี้จึงไม่พัฒนาขึ้นเลย
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วเอ่ย “หากกล่าวเช่นนี้ แม่นางมู่มั่นใจว่าตัวเองจะปกครองเมืองเทียนเชวียนได้หรือ”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มเอ่ย “ในเมื่อหรงจิ่นคิดว่าข้ามีความสามารถนั้น ต่อให้ไม่มีก็ต้องมีแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าบูดบึ้งมากกว่าเดิม พอเหมยอิ้งเสวี่ยด้านข้างเห็นว่าท่านย่าที่เชิญมายากเหลือเกินนั้นถูกมู่ชิงอีโต้กลับจนพูดไม่ออก นางก็ปะทุความโกรธขึ้นมามากกว่าเดิมทันที “มู่ชิงอี ตระกูลเหมยของเราไม่มีทางยอมให้พี่ชายแต่งงานกับเจ้าแน่นอน!”
มู่ชิงอีหัวเราะเสียงเบาก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง เลิกคิ้วเอ่ย “ยอมหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เลยว่าหรงจิ่นจะแต่งงานกับใครต้องขอความเห็นชอบจากตระกูลเหมยด้วย”
เดิมทีตระกูลเหมยมีอำนาจในเมืองเทียนเชวียมากก็จริง แต่พวกเขาเคยออกนอกเมืองมาราวร้อยปีแล้ว อีกทั้งตอนหนีกลับมา จากตระกูลที่เคยใหญ่โตในวันวานก็เหลือเพียงผู้เฒ่าเหมย เหมยฮูหยินผู้เฒ่า เหมยมู่เฉินและเหมยอิ้งเสวี่ยเท่านั้น ทรัพย์สินด้านนอกของตระกูลเหมยส่วนมากกลับเป็นของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ หลายปีนี้หลังจากหรงจิ่นปกครองเมืองเทียนเชวียก็ไม่ได้ให้ผลประโยชน์ใดกับตระกูลเหมยมากนัก ดังนั้นตระกูลเหมยไม่มีทางกลับมาเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในแคว้นเย่ว์เหมือนดั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนได้
ภายในเมืองเทียนเชวียที่ปิดตายเช่นนี้ เพราะตระกูลเหมยมีความสัมพันธ์กับหรงจิ่นและของที่เคยสะสมไว้เลยส่งผลต่ออิทธิพลไม่น้อย แต่หากพูดว่าสามารถสร้างผลกระทบต่อกับหรงจิ่นได้นั้น คงเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันแล้ว
“สามหาว!” พอถูกคนพูดทิ่มแทงใจ เหมยฮูหยินผู้เฒ่าก็ข่มความโกรธไว้ไม่อยู่ “มู่ชิงอี เจ้าบังอาจนัก! ต่อให้ถึงอย่างไรข้าก็เป็นยายของหรงจิ่น แต่เจ้าใช้กิริยาเช่นนี้กับผู้ที่อาวุโสกว่าหรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงสงบ “เหมยฮูหยินผู้เฒ่าเห็นข้าเป็นลูกหลานด้วยอย่างนั้นหรือ หากเหมยฮูหยินผู้เฒ่าเห็นข้าเป็นคู่หมั้นของหรงจิ่นจริงก็น่าจะแสดงท่าทีเหมือนผู้ใหญ่บ้าง แต่หากแสดงท่าทีเหมือนว่าข้าเป็นศัตรูที่แก่งแย่งของอะไรในตระกูลเหมยเช่นนั้น…เหตุใดข้าต้องเกรงใจท่านด้วยเล่า ท่านก็เป็นแค่ท่านยายของหรงจิ่น ไม่ใช่พ่อแม่เขาเสียหน่อย” ยิ่งไปกว่านั้นหรงจิ่นเองก็ไม่เห็นเกรงใจพ่อแท้ๆ ของเขาสักเท่าไรเลย
“เจ้า เจ้า…ช่างปากคอเราะร้ายนัก” เหมยฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนหายใจหอบถี่พลางชี้นิ้วก่นด่ามู่ชิงอี
มู่ชิงอีเม้มริมฝีปากยิ้มบางกล่าว “ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าที่เยินยอเจ้าค่ะ”
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึก นางอายุเลยหกสิบมานานแล้ว นางใช้ชีวิตมาถึงปูนนี้ย่อมผ่านเรื่องราวมาอย่างโชกโชน ก่อนหน้านี้นางโมโหเพราะความไร้มารยาทของมู่ชิงอี เวลานี้พอได้สติกลับมาเลยเข้าใจทันทีว่าสาวน้อยผู้นี้ไม่ได้ต่อกรด้วยง่ายๆ เหมือนดั่งรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็น จากนั้นนางเลยสงบสติลงได้