“แม่นางมู่ ข้าก็แค่คิดแทนหรงจิ่นเท่านั้น เจ้าเด็กนั่นโดดเดี่ยวมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งไม่ค่อยสนิทสนมกับยายอย่างข้าสักเท่าไร หากทำอะไรผลีผลามแม่นางอย่าได้ถือสาเลย” พอเหมยฮูหยินผู้เฒ่าเปิดปากอีกครั้ง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็สงบลงมากทีเดียว
มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยความตกใจ จากนั้นก็มองเหมยฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทีสงบ เหมยฮูหยินผู้เฒ่ามองเหมยอิ้งเสวี่ยที่เผยสีหน้าไม่ยอมจำนนแวบหนึ่งด้วยอารมณ์หงุดหงิดกับความไม่เอาไหนของนางก่อนถอนหายใจเอ่ย “ในเมื่อจิ่นเอ๋อร์บอกแล้วว่าแม่นางมู่จะเป็นว่าที่นายหญิงแห่งเมืองเทียนเชวีย ข้าก็คงไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่…เจ้าหนูอิ้งเสวี่ย...หลงรักหรงจิ่นมาตั้งแต่เด็ก ข้าเองก็มีแค่หลานสาวหลานชายอย่างละคน ข้าไม่อยากสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้แก่นาง”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “ฮูหยินผู้เฒ่าหมายความว่าอย่างไรหรือ”
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย “ตระกูลเหมยจะไม่สนใจเรื่องการแต่งงานของแม่นางมู่กับจิ่นเอ๋อร์ แต่…แม่นางมู่ห้ามขัดขวางเรื่องระหว่างอิ้งเสวี่ยกับจิ่นเอ๋อร์เด็ดขาด ขอแค่แม่นางมู่พูดโน้มน้าวให้จิ่นเอ๋อร์รับอิ้งเสวี่ยเป็นภรรยาอีกคน หากพูดให้น่าฟังก็คือรับใช้สามีคนเดียวกันนั่นเอง”
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าคิดทึกทักเอาเองว่าตระกูลเหมยควรยอมอ่อนข้อให้ แต่กลับไม่รู้เลยว่าความเย็นยะเยือกของมู่ชิงอีตรงหน้าได้จับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งไปแล้ว นางแสยะยิ้มเอ่ย “รับใช้สามีคนเดียวกันหรือ ขอโทษด้วย เพราะมู่ชิงอีคงรับไม่ได้ หากเหมยฮูหยินผู้เฒ่าเก่งนักสามารถพูดโน้มน้าวหรงจิ่นให้รับแม่นางอิ้งเสวี่ยเป็นภรรยาได้ มู่ชิงอีก็พร้อมประเคนตำแหน่งนายหญิงของเมืองเทียนเชวียให้ แต่หากไม่มีความสามารถนั้น…ก็ต้องขอโทษด้วย นับแต่นี้ไปเมืองเทียนเชวียคงมีนายหญิงได้เพียงคนเดียว”
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” เหมยฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าเดือดดาล คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงอีจะหักหน้ากันเช่นนี้
เหมยฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบใจ แต่มู่ชิงอีกลับไม่ชอบใจยิ่งกว่า ตั้งแต่ตายเกิดใหม่สองครั้งยังไม่เคยมีใครกล้าบอกให้นางใช้สามีร่วมกับคนอื่นต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้นางกับหรงจิ่นจะไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น แต่เวลานี้ในใจของมู่ชิงอีกลับไม่ชอบใจเอาเสียเลย นางไม่มีอารมณ์มารับมือกับเหมยฮูหยินผู้เฒ่า เดิมทีเรื่องรับมือกับญาติของหรงจิ่นไม่ใช่เรื่องของนางเลยสักนิด มู่ชิงอีจึงลุกขึ้นเอ่ยสั่งเสียงเรียบ “ส่งเหมยฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูเหมยกลับ หากมีเรื่องอันใดก็รอท่านเจ้าเมืองกลับมาแล้วค่อยรายงาน แต่อย่ามาวุ่นวายกับข้า”
“เจ้าค่ะ แม่นางมู่” เหล่าบ่าวรับใช้ที่ยืนคอยรับใช้อยู่ภายในห้องโถงใหญ่พยักหน้ารับโดยไม่คิดลังเลใจสักนิด ถึงแม้เหมยฮูหยินผู้เฒ่าดูท่าทางดุร้าย แต่พวกนางก็ยังยืนกรานและคิดว่าการเข้าข้างแม่นางมู่ถึงจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง ดังนั้นพอได้รับคำสั่งจากมู่ชิงอีเลยรุดหน้าหมายจะส่งแขกโดยไม่คิดลังเลใจสักนิด
“พวกเจ้าเหิมเกริมนัก!” เหมยอิ้งเสวี่ยตวาดอย่างโมโหแล้วก้าวขึ้นมาขวางตรงหน้าเหมยฮูหยินผู้เฒ่าไว้พร้อมชักดาบออกมา ถึงแม้ความสามารถของนางจะธรรมดา แต่หลายปีมานี้นางกลับตรากตรำฝึกฝนวิชาการต่อสู้เพื่อหรงจิ่นอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนักแต่พออยู่บนร่างของหญิงสาวก็นับว่าไม่เลวทีเดียว
“บังอาจ!” สาวใช้คนหนึ่งสีหน้าเปลี่ยน เอ่ยเสียงขรึม “บังอาจชักดาบในจวนเจ้าเมือง เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วหรือ” ครานั้นเมืองเทียนเชวียสร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของเหลิ่งเทียนเชวีย ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเจ้าเมืองเทียนเชวียก็คือฮ่องเต้แห่งเมืองเทียนเชวีย หากชักดาบภายในจวนเจ้าเมืองก็เหมือนชักดาบภายในวังหลวงไม่ต่างกัน
เหมยอิ้งเสวี่ยหน้าซีดแล้วกัดฟันเอ่ย “พวกเจ้าไร้มารยาทกับท่านย่าก่อน! พวกเจ้าเหิมเกริมนัก นิ่งดูดายฟังผู้หญิงคนนี้เหยียดหยามท่านย่าในช่วงเวลาที่พี่ชายไม่อยู่ พวกเจ้าลืมแล้วหรือ ไม่ว่าเช่นไรท่านย่าก็คือยายแท้ๆ ของพี่ชาย!”
มู่ชิงอีกวาดตามองพวกเขาสองคนอย่างหงุดหงิดแล้วหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก “ส่งพวกนางกลับ” นางยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยงเลย เหตุใดต้องมาวุ่นวายกับพวกนางสองคนด้วย หรงจิ่น...ท่านรอข้าไว้ได้เลย!
“เจ้าห้ามไปไหนทั้งนั้น!” ครั้นเห็นนางจะเดินหนี เหมยอิ้งเสวี่ยก็ผลักสาวใช้สองคนออกในคราวเดียวแล้วรุดหน้าเข้าไปคว้าตัวมู่ชิงอีไว้
พลั่ก!
เงาสีดำพุ่งมาจากประตู เหมยอิ้งเสวี่ยพลันรู้สึกเจ็บปวดที่หลังมือ ดาบสั้นในมือร่วงลงพื้นไป ข้างกายมู่ชิงอีปรากฏบุรุษหนุ่มในชุดสีดำคนหนึ่งยืนอยู่
“เจ้าเป็นใครกัน” เหมยอิ้งเสวี่ยทั้งเจ็บทั้งโมโห
“อู๋ซิน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร” มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยความตกใจ หลังจากนางกับหรงจิ่นออกจากวังมาก็ไม่ได้แวะเข้าไปในจวนอวี้อ๋องอีกแต่ออกเมืองมาเลย อู๋ซินมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
อู๋ซินเอ่ยอย่างนอบน้อม “องค์ชายรับสั่งให้คนส่งจดหมายมาให้ข้า” ในฐานะองครักษ์ติดตามย่อมต้องคอยปกป้องอยู่ข้างกายเจ้านายไม่ห่าง นี่คือเจตนาที่หรงจิ่นมอบอู๋ซินให้มู่ชิงอีในตอนนั้น
มู่ชิงอีเฉลียวฉลาดเหนือใครแต่ฝีมือการต่อสู้กลับเหมือนไก่อ่อน บนโลกนี้บางเรื่องต้องอาศัยสมองอันชาญฉลาดเพื่อแก้ปัญหา ถึงแม้อู๋ซินจะไม่ได้เก่งกาจเรื่องวิทยายุทธขนาดนั้น แต่หากเทียบกับยอดฝีมือทั่วไปในยุทธภพกลับไม่เป็นรองใคร ซึ่งเอามาเป็นองครักษ์ปกป้องมู่ชิงอีได้อย่างพอดิบพอดี
แต่ไม่นานหรงจิ่นก็ค้นพบว่าการตัดสินใจนี้ของตนมีข้อเสีย ทั้งๆ ที่เขารู้จักชิงชิงมานานมากที่สุด แต่หลังจากมาถึงแคว้นเย่ว์เวลาส่วนมากกลับต้องมีอู๋ซินคอยยืนเงียบๆ ข้างกายเพิ่มมาด้วยอีกคนอยู่ตลอด ช่างทำลายบรรยากาศเหลือเกิน! ดังนั้นครั้งนี้หรงจิ่นเลยทิ้งอู๋ซินไว้ด้านหลังโดยไม่คิดลังเลใจสักนิด หลังจากพวกเขาออกจากเมืองหลวงมาถึงให้คนเอาจดหมายไปให้อู๋ซินสั่งให้เขาตามมาทีหลัง
“เจ้าเองหรือ เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้” อู๋ซินและอู๋ฉิงเป็นลูกน้องที่หรงจิ่นไว้วางใจมากที่สุด อีกทั้งยังเคยติดตามหรงจิ่นมาเมืองเทียนเชวียครั้งสองครั้งแล้ว เหมยอิ้งเสวี่ยย่อมรู้จักเขาเป็นธรรมดา พอเห็นใบหน้าของอู๋ซินแล้ว เหมยอิ้งเสวี่ยก็หน้าถอดสีในทันที
อู๋ซินเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเป็นองครักษ์ประจำตัวของคุณหนู”
“พี่ชาย…แม้แต่เจ้า พี่ชายก็ยังยกให้นางอย่างนั้นหรือ” เหมยอิ้งเสวี่ยเอ่ยน้ำเสียงขัดเคืองพร้อมใบหน้าซีดขาว แต่อู๋ซินกลับเผยสีหน้าราบเรียบอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาย่อมรู้เรื่องที่เหมยอิ้งเสวี่ยหลงรักองค์ชายอยู่แล้ว แต่แล้วอย่างไรเล่า เหมยอิ้งเสวี่ยอยากเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟเอง พวกเขาในฐานะองครักษ์แค่ดูอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว ผู้หญิงที่ไม่รู้จักขอบเขตเช่นนี้ ไม่แน่วันใดองค์ชายเกิดรำคาญขึ้นมาคงบีบคอฆ่านางตายเอง หลายปีมานี้ที่เหมยอิ้งเสวี่ยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้คงต้องขอบคุณที่นางมีบิดาที่ดี หากองค์ชายไม่เห็นแก่หน้าท่านน้าอย่างเหมยมู่เฉิน เขาคงฆ่าเหมยอิ้งเสวี่ยตายไปนานแล้ว
“เจ้านังจิ้งจอก ยั่วยวนพี่ชายข้า! ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” เหมยอิ้งเสวี่ยจ้องมู่ชิงอีตาเขม็งด้วยความโกรธ ไม่รู้ว่านางไปดึงมีดสั้นเล่มหนึ่งจากไหนมาแล้วพุ่งเข้าใส่หมายแทงมู่ชิงอี
“คุณหนู” อู๋ซินมุ่นคิ้วแล้วคว้าตัวมู่ชิงอีเบี่ยงหลบมาด้านข้าง เขายังฆ่าเหมยอิ้งเสวี่ยไม่ได้เลยทำได้แค่หลบก่อน แต่เขาคิดว่าองค์ชายน่าจะไม่ว่าอะไรหากเขาจะสั่งสอนนางสักหน่อย
อู๋ซินยังไม่ทันยกมือตอบโต้กลับ จู่ๆ แขนสีขาวซีดข้างหนึ่งที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็คว้ามีดสั้นในมือเหมยอิ้งเสวี่ยไว้ได้ก่อน จากนั้นก็มีลมพัดแหวกผ่านอากาศมาก่อนที่เหมยอิ้งเสวี่ยจะตัวกระเด็นออกไปกระแทกพื้นด้านหลังในทันที
จากนั้นก็เห็นหรงจิ่นรูปร่างสูงโปร่งในชุดผ้าแพรสีดำที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไรอยู่ตรงหน้าประตู ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับเต็มไปด้วยความดุดันและเย็นชา ระหว่างนิ้วสีขาวซีดเรียวยาวกำลังคีบมีดสั้นส่องแสงเงาวาวแผ่ไอเย็นยะเยือกเล่มนั้นไว้อยู่ จากนั้นเขาก็ใช้สายตาเรียบนิ่งจับจ้องไปทางเหมยอิ้งเสวี่ย
“พี่ชาย…” เหมยอิ้งเสวี่ยใช้มือกุมแผ่นอกไว้พลางขานเรียกเสียงทุ้มต่ำพร้อมใบหน้าซีดเซียว
สวบ!
จากนั้นแสงเย็นยะเยือกก็ลอยผ่านไป มีดสั้นเล่มนั้นกลายเป็นแสงเย็นยะเยือกพุ่งไปหาร่างของเหมยอิ้งเสวี่ยที่อยู่บนพื้น
“อ๊าก!!!”
“จิ่นเอ๋อร์!”
“เจ้าเมือง โปรดเมตตาด้วยเถิด!” ครั้นเทียนเฉวียน เทียนซูและเทียนเสวียนที่เดินตามหรงจิ่นเข้ามาทีหลังเห็นฉากตรงหน้าก็ตกใจ ทว่าเทียนเฉวียนกลับอดร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนกไม่ได้