เทียนเฉวียนพยักหน้าซ้ำๆ เอ่ย “ข้าขอบคุณแม่นางมู่มาก”
ครั้นเห็นเทียนเฉวียนทำความเคารพอย่างนอบน้อม สีหน้าของหรงจิ่นก็เปลี่ยนไป แค่นเสียงใส่ทีหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรอีก หากทำให้เหล่าดาวทั้งเจ็ดดวงยอมรับชิงชิงได้ เหมยอิ้งเสวี่ยก็ไม่สำคัญขนาดนั้นแล้ว ในเมื่อเทียนเฉวียนเองก็เป็นคนเก่งกาจและจงรักภักดีซึ่งยากจะหาได้ ขอแค่เขาทำงานให้ชิงชิงด้วยความจริงใจ หากจะยกเหมยอิ้งเสวี่ยเป็นการตบรางวัลให้เขาหน่อยก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
พอคนทางฝั่งนี้กลมเกลียวกันได้ ต่อให้เหมยฮูหยินผู้เฒ่าและเหมยอิ้งเสวี่ยจะคัดค้านอย่างหนักแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะหรงจิ่นมองพวกนางเป็นดั่งอากาศธาตุไปแล้ว สุดท้ายเหมยฮูหยินผู้เฒ่าก็ระเบิดอารมณ์แล้วกลับจวนไปด้วยความเดือดดาล ส่วนเหมยอิ้งเสวี่ยก็ถูกเปลี่ยนสถานะจากผู้ดูแลเหยากวงที่สูงศักดิ์กลายเป็นบ่าวรับใช้ติดตามของเทียนเฉวียน นางถูกคนถอดชุดสีดำประจำตำแหน่งกลุ่มดาวหมีใหญ่ทั้งเจ็ดออก แล้วสวมชุดบ่าวรับใช้สีเขียวอ่อนแทน ทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธแต่กลับต้องเดินตามเทียนเฉวียนไปอย่างทำอะไรไม่ได้
พอออกจากจวนเจ้าเมืองมา เหมยอิ้งเสวี่ยที่สะกดอารมณ์ไว้ก็กลับมาแผลงฤทธิ์เหมือนเดิม นางดึงเทียนเฉวียนไว้แล้วเอ่ยอย่างโมโห “เทียนเฉวียน เหตุใดถึงไม่ช่วยข้า เหตุใดต้องช่วยนังผู้หญิงคนนั้น”
“เหิมเกริมนัก” เทียนซูที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยเสียงเรียบ “เทียนเฉวียน เจ้าคุมคนของเจ้าให้ดี หากยังไม่เคารพนายหญิงอีก อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานีแล้วกัน” เทียนซูเป็นองครักษ์แนวหน้าของเมืองเทียนเชวีย ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้คุมกฎระเบียบในเมืองนี้ด้วย ดังนั้นใครก็ตามที่ทำผิดกฎเมืองเทียนเชวียเขาย่อมมีอำนาจในการลงโทษทั้งสิ้น เขาไม่พอใจคำวิจารณ์ไร้มารยาทที่เหมยอิ้งเสวี่ยกล่าวถึงมู่ชิงอีอยู่แล้ว
“ขอรับ พี่ใหญ่” เทียนเฉวียนพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก
เทียนเสวียนที่อยู่ด้านข้างหันมามองเหมยอิ้งเสวี่ยก่อนหันไปมองเทียนเฉวียน จากนั้นก็เอ่ยพลางยิ้มกว้างว่า “แม่นางเหมย วันนี้ถือว่าแม่นางมู่ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าเคารพนางสักหน่อยจะดีกว่า”
เพราะรอยแผลบนใบหน้าพลันเจ็บจี๊ดขึ้นมาเลยทำให้เหมยอิ้งเสวี่ยหน้าซีดลง กัดฟันเอ่ย “ใครต้องการความช่วยเหลือจากนางกัน พี่ชายไม่ฆ่าข้าหรอก”
เหอะ…ผู้หญิงคนนี้สายตาช่างตื้นเขินนัก และแน่นอนว่าเทียนเฉวียนที่ต้องตาผู้หญิงแบบนี้นั้นยิ่งสายตาตื้นเขินมากกว่า ท่านเจ้าเมืองไม่กล้าฆ่านางหรือ นางไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน
เทียนเฉวียนขมวดคิ้วเอ่ย “พอแล้ว อิ้งเสวี่ย วันหลังห้ามทำตัวไร้มารยาทกับแม่นางมู่เด็ดขาด” ไม่ว่าอย่างไรวันนี้แม่นางมู่ก็เป็นช่วยชีวิตเหมยอิ้งเสวี่ยเอาไว้ ท่านเจ้าเมืองถึงยอมปล่อยนางอย่างง่ายดายขนาดนี้ ตามเหตุผลแล้วเหมยอิ้งเสวี่ยควรรู้สึกซาบซึ้งใจนางถึงจะถูก ยิ่งไปกว่านั้นเขากับเทียนเสวียนต่างเห็นความสามารถของนางแล้ว หากพูดอย่างเป็นธรรม แม่นางมู่เหมาะที่จะเป็นนายหญิงแห่งเมืองเทียนเชวียมากกว่าอิ้งเสวี่ยมากทีเดียว
“เจ้าว่าอะไรนะ” เหมยอิ้งเสวี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ ตั้งแต่เล็กจนโตนางชินกับการถูกให้ท้ายตามใจจากเทียนเฉวียนมาตลอด แต่ตอนนี้เทียนเฉวียนกลับตำหนินางเพราะผู้หญิงคนอื่น อีกทั้งเพื่อมู่ชิงอีอีกต่างหาก นี่เลยทำให้เหมยอิ้งเสวี่ยโกรธอย่างมาก “พี่ชายก็เข้าข้างแต่นังผู้หญิงคนนั้น แม้แต่เจ้ายังพูดแบบนี้…ทุกคนถูกนางปิดหูปิดตากันหมดแล้วหรืออย่างไร”
พอพูดจบ เหมยอิ้งเสวี่ยก็จ้องพวกเขาสามคนตาเขม็งแล้วหมุนตัววิ่งตรงไปข้างหน้า
“อิ้งเสวี่ย...” เทียนเฉวียนคิดจะไล่ตามนางไป แต่เทียนซูด้านหลังกลับเอ่ยว่า “หากนางไม่อยากไปกวาดถนนเดี๋ยวก็คงกลับมาเอง หากเจ้าหวังดีกับนางจริงๆ ก็เลิกตามใจนางได้แล้ว วันหน้ามีนายหญิงอยู่ในเมืองแล้ว เจ้าคิดว่าท่านเจ้าเมืองจะทนปล่อยนางได้อีกกี่ครั้ง เจ้าลองคิดดูเองก็แล้วกัน”
เทียนซูตบบ่าเทียนเฉวียนก่อนเดินหมุนตัวจากไป
ครั้นเทียนเสวียนเห็นเขาเผยท่าทีเหนื่อยใจซึ่งนานๆ จะเห็นเช่นนี้ก็อดถอนหายใจเอ่ยอย่างเอือมระอาไม่ได้ “ข้าคงอดพูดไม่ได้ว่า เทียนเฉวียน สายตาของเจ้าสู้ท่านเจ้าเมืองไม่ได้เลยจริงๆ ไม่เช่นนั้นครั้งหน้าเจ้าออกเมืองไปกับข้า หากเจ้าเห็นโลกกว้างมากกว่านี้คงรู้สึกได้ว่าความจริงแล้วเหมยอิ้งเสวี่ยนั้นไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิก”
เทียนเสวียนคิดว่าถึงแม้เทียนเฉวียนจะฉลาดกว่าเขา แต่กลับเห็นโลกภายนอกมาน้อยเกินไป เขาใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตแค่ภายในเมืองเทียนเชวียเลยไม่เคยเห็นสาวงามด้านนอก ดังนั้นถึงผูกพันกับเหมยอิ้งเสวี่ยมากเช่นนี้ รอหลังจากเขาค้นพบว่ามีผู้หญิงด้านนอกมากมายที่ทั้งฉลาด งดงาม อ่อนโยนกว่าเหมยอิ้งเสวี่ย เขาคงไม่ทนโง่ชอบนางอีกต่อไปแล้ว
เทียนเฉวียนยิ้มบาง แต่รอยยิ้มตรงมุมปากกลับแฝงไปด้วยความขมขื่น เขามองเงาแผ่นหลังของเหมยอิ้งเสวี่ยหายลับไปจากมุมถนน เขาเคยคิดว่าพวกเขาคงครองคู่กันอย่างราบรื่น เพียงแต่หลังจากนั้นอิ้งเสวี่ยกลับชอบท่านเจ้าเมืองที่โดดเด่นกว่าเขา อีกทั้งเขายังจดจำคำมั่นสัญญาในวัยเด็กได้เป็นอย่างดี บางทีภายในใจของอิ้งเสวี่ยคงมองว่านั่นเป็นเพียงเรื่องตลกๆ ในวัยเด็กเท่านั้นกระทั่ง…นางคงลืมมันไปแล้วกระมัง
บางที…เทียนเสวียนอาจพูดถูก เขาควรค่อยๆ ลองปล่อยวางลงได้แล้ว
ภายในจวนท่านเจ้าเมือง ใครบางคนกะพริบดวงตากลมโตใสซื่อปริบๆ มองสาวงามฝั่งตรงข้ามที่ก็กำลังจับจ้องเขาอยู่เช่นกัน
“ชิงชิง” หลังจากค้นพบว่าชิงชิงไม่มีท่าทีจะใจอ่อนลงเลย หรงจิ่นเลยยู่ปากล้มเลิกทำตัวน่ารักอย่างผิดหวัง “ชิงชิง ข้าผิดไปแล้ว”
มู่ชิงอียิ้มเย็นชาเอ่ยเสียงเรียบ “มิบังอาจหรอกเพคะ องค์ชายเก้าทำอะไรรอบคอบแล้วจะทำผิดพลาดได้เช่นไร”
“ชิงชิง ข้าผิดไปแล้ว”หรงจิ่นไม่สนความน่าเกรงขามของท่านเจ้าเมืองเทียนเชวียอีกต่อไปแล้วพุ่งตัวเข้าไปดึงมู่ชิงอีไว้ไม่ยอมปล่อย “ชิงชิง ข้าผิดไปแล้ว”
เหล่าบ่าวรับใช้ที่คอยยืนรับใช้อยู่ด้านข้างต่างเบิกตากว้างด้วยท่าทีตกตะลึง พวกนางชินกับใบหน้าเย็นชา ร้ายกาจ ดุดัน โหดเหี้ยมของท่านเจ้าเมืองมานานแล้ว ทว่าจู่ๆ ปรากฏตัวท่านเจ้าเมืองที่ทำตัวออดอ้อนโผล่มาคนหนึ่งเช่นนี้ ช่างทำให้ใครต่อใครยากที่จะรับได้จริงๆ
ครั้นเห็นใครบางคนกะพริบตาปริบๆ รังควานไม่ปล่อย มู่ชิงอีเลยทำได้แค่ถอนหายใจอย่างระอาก่อนโบกมือสื่อให้ทุกคนออกไป เหล่าบ่าวรับใช้พากันถอนหายใจแล้วพุ่งพรวดออกไปด้านนอกราวกับถูกปลดปล่อยก็มิปาน ใครจะรู้ว่าหลังจากท่านเจ้าเมืองกลับมาเป็นปกติแล้วจะฆ่าปิดปากพวกนางหรือไม่
“ชิงชิง” หรงจิ่นมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีน่าสงสารและไร้ซึ่งท่าทีวางอำนาจเย็นชาที่มักแสดงต่อคนภายนอกอย่างสิ้นเชิง มู่ชิงอีถอนหายใจเลิกคิ้วเอ่ย “ท่านอ๋อง โปรดบอกหม่อมฉันทีว่าตกลงแล้วคิดจะทำอะไรกันแน่” พอกลับเมืองเทียนเชวียมา ตามเหตุผลแล้วหรงจิ่นควรแวะไปเยี่ยมเยียนท่านผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลเหมยด้วยตัวเอง แต่นอกจากหรงจิ่นจะไม่ทำแล้ว แม้กระทั่งบอกคนไปส่งข่าวทักทายก็ไม่มีด้วยซ้ำ วันนี้ยังจงใจทิ้งนางไว้ในจวนท่านเจ้าเมืองเพียงลำพังอีก แบบนี้จงใจอยากให้นางปะทะกับเหมยฮูหยินผู้เฒ่าชัดๆ
นางย่อมไม่กลัวตระกูลเหมยอยู่แล้ว แต่มู่ชิงอีมองไม่ออกจริงๆ ว่านางปะทะกับตระกูลเหมยแล้วหรงจิ่นจะได้ประโยชน์อันใด ควรรู้ก่อนว่าถึงอย่างไรตระกูลเหมยก็เป็นตระกูลฝั่งแม่ของหรงจิ่น หากหรงจิ่นตัดขาดไร้เยื่อใยต่อตระกูลเหมยจริงๆ คงเลี่ยงให้คนอื่นๆ จดจำภาพเย็นชาไร้ความปรานีของเขาไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้ในสายตาของคนนอกหรงจิ่นจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเท่าไรอยู่แล้วก็ตาม
หรงจิ่นจับพนักเก้าอี้ของมู่ชิงอีไว้ก่อนนั่งลงตรงที่วางแขน เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร ชิงชิงต้องปกครองคนทั้งเมืองเทียนเชวีย ไม่ว่าเช่นไรก็คงหนีตระกูลเหมยไม่พ้น ในเมื่อต้องปะทะด้วยในไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ตอนนี้จะเกรงใจพวกเขาไปทำไมเล่า ตอนที่ข้ารับสืบทอดดูแลเมืองเทียนเชวียเมื่อหลายปีก่อน ท่านตาก็เคยเปรยว่าตระกูลเหมยช่วยข้าได้แล้วให้ข้ายกอำนาจในการปกครองเมืองเทียนเชวียให้พวกเขาเสีย”
“แล้วแบบนั้นผิดตรงไหนเล่าเพคะ” ถึงอย่างไรทั่วทั้งเมืองเทียนเชวียก็มีเพียงตระกูลเหมยที่มีความสัมพันธ์กับหรงจิ่น ตอนนั้นหรงจิ่นอายุแค่สิบสองเท่านั้น ตระกูลเหมยคิดจะช่วยเขาย่อมเป็นเรื่องที่ดีถึงจะถูกสิ
หรงจิ่นยิ้มเย้ยเอ่ย “หากตอนนั้นข้ายกอำนาจให้พวกเขาหมด เจ้าคิดว่าตอนนี้เราจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องอื่นๆ ได้หรือ เพียงแต่หลายปีมานี้ท่านตาสุขภาพไม่ค่อยดี ท่านน้าเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ข้าเลยไม่สนใจพวกเขาอีก นับตั้งแต่นั้นมาท่านยายเลยไม่ค่อยชอบข้า ตอนนั้นข้าเลยเข้าใจว่าบนโลกใบนี้…ต่อให้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดก็พึ่งพาไม่ได้ ไม่ว่าพึ่งพาใครก็สู้พึ่งพาตัวเองไม่ได้อยู่ดี”