ฮั่วซูมองมู่ชิงอีด้วยความตกใจ มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ปกติ…ข้าไม่ได้เป็นคนขี้หึงอยู่แล้ว”
ฮั่วซูชะงักไปเพราะคิดไม่ถึงว่านายหญิงจะพูดเช่นนี้ พอได้สติกลับมาก็อดฉีกยิ้มกว้างไม่ได้ มู่ชิงอีอมยิ้มพลางจับจ้องใบหน้าที่ผ่อนคลายลงของนาง ลอบอุทานในใจว่า ช่างเป็นหญิงสาวที่ไร้เดียงสาเสียจริง
“นายหญิงงดงามขนาดนี้จำเป็นต้องหึงหวงเสียที่ไหนกัน” ฮั่วซูใบหน้าแดงระเรื่อพลางเอ่ยเสียงเบา นางพูดจากใจจริง หากกล่าวถึงรูปโฉมของตนต่อให้จะประจบเอาใจแค่ไหนก็สู้นายหญิงไม่ได้ หรือต่อให้นางเป็นผู้ชายก็ย่อมต้องเลือกสาวงามอย่างนายหญิงอยู่แล้ว เกรงว่าบนโลกใบนี้คงไม่มีสตรีคนใดมีสิทธิ์ทำให้นายหญิงหึงหวงได้เลย
มู่ชิงอีดึงนางนั่งลงแล้วเอ่ย “บอกแล้วว่าไม่ต้องเรียกว่านายหญิง เรียกซะข้าดูแก่เลย ข้ามีนามว่ามู่ชิงอี เจ้าเรียกข้าว่าแม่นางมู่หรือเรียกชื่อข้าก็พอแล้ว”
“ต่างชนชั้นกัน เรียกว่าแม่นางมู่จะดีกว่า” ฮั่วซูกล่าวด้วยความเคารพ
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้สนใจ ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนั้นเจ้าติดตามเทียนซูได้อย่างไรหรือ” ฮั่วซูเป็นสตรีคนหนึ่ง อีกทั้งว่ากันว่าเก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น ตามหลักการแล้วควรจะติดตามเทียนเฉวียนถึงจะถูก
ฮั่วซูเอ่ยตอบเสียงเบา “วิทยายุทธของข้านั้น…ท่านเทียนซูเป็นคนสอนเจ้าค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง แม้แต่ไคหยางยังชื่นชมในฝีมือวิทยายุทธของเจ้า ข้าว่าต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เจ้าเต็มใจรับตำแหน่งเหยากวงหรือไม่”
“ไอ๊หยา!” ฮั่วซูตกใจ คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงอีให้นางอยู่ต่อเพราะอยากคุยเรื่องนี้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เทียนซูอยากถอดเหมยอิ้งเสวี่ยออกจากตำแหน่งมาตลอด แต่ผู้ดูแลเหยากวงเป็นหนึ่งในเจ็ดผู้ดูแล ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่หัวหน้าอย่างเทียนซูคิดจะถอดก็ถอดได้เลย อย่างน้อยเทียนเฉวียนก็คอยคัดค้านอยู่ตลอด เทียนเสวียนสนิทสนมกับเทียนซูมากที่สุด แต่ในเมื่อเทียนเฉวียนไม่เห็นด้วย ถึงแม้เทียนเสวียนจะไม่ได้รู้สึกประทับใจในตัวเหมยอิ้งเสวี่ยแต่ก็แสดงท่าทีใดไม่ได้
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “ทำไมหรือ มิกล้าหรือ”
ฮั่วซูรีบส่ายศีรษะเอ่ย “เปล่าเจ้าค่ะ เพียงแต่ตำแหน่งเหยากวง…”
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าก็น่าจะรู้ความคิดของท่านเจ้าเมืองของเราดี แม่นางเหมยไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ย่อมต้องเปลี่ยนเอาคนอื่นที่มีความสามารถกว่ามาแทนที่ เจ้าแค่บอกข้ามาว่าเต็มใจรับตำแหน่งเหยากวงหรือไม่ และมีความสามารถทำได้ดีหรือเปล่าก็พอแล้ว”
ฮั่วซูดวงตาเป็นประกายเล็กน้อยพร้อมความมุ่งมั่นที่ฉายชัดบนใบหน้าอันหมดจดนั้น นางลุกขึ้นคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นเอ่ยเสียงขรึม “ข้าขอบคุณแม่นางมู่มาก ข้าไม่มีทางทำลายความเชื่อใจของแม่นางมู่และท่านเจ้าเมืองแน่นอน”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ขณะที่ดึงนางขึ้นก็ยัดป้ายคำสั่งใส่มือนางไปด้วย ป้ายคำสั่งที่ดำสนิทชิ้นหนึ่งสลักรูปดาวหมีใหญ่ทั้งเจ็ดดวง บนดาวตำแหน่งเหยากวงฝังพลอยสีม่วงเม็ดหนึ่งไว้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์พิเศษของสถานะตำแหน่งเหยากวง ส่วนป้ายคำสั่งด้านหลังเขียนคำว่าเทียนเชวียด้วยอักษรจีนโบราณเอาไว้
“นับตั้งแต่นี้ไปเจ้าก็คือเหยากวงแห่งเมืองเทียนเชวีย”
ฮั่วซูดวงตาแดงก่ำ “เหยากวงขอบคุณบุญคุณครั้งนี้ของแม่นางมู่มากเจ้าค่ะ”
เดิมทีนี่เป็นสิ่งที่นางสมควรได้รับตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะการเข้ามาแทรกแซงของเหมยอิ้งเสวี่ยเลยล้มเหลวไป สำหรับหญิงสาวที่บากบั่นพัฒนาตัวเองมาตลอดใช่ว่าจะไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลย ป้ายคำสั่งนี้ไม่ใช่แค่หลักประกันความพยายามและความสามารถของนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้นางมีสิทธิ์อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่คนที่นางเฝ้าฝันด้วย
หลังจากสนทนากับแม่นางมู่เพียงครู่เดียว ทว่าออกมานางก็ก้าวกระโดดกลายเป็นเหยากวงแล้ว ทุกคนต่างรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าภายในใจของท่านเจ้าเมืองสถานะของมู่ชิงอีสูงส่งมากเพียงใด ด้วยความสามารถติดตัวของฮั่วซูจึงเป็นที่ยอมรับของทุกคนเลยไม่มีใครแสดงท่าทีไม่พอใจต่อการเลื่อนตำแหน่งอย่างกะทันหันเช่นนี้ของนาง อย่างน้อยเมื่อเทียบกับเหมยอิ้งเสวี่ยแล้ว ฮั่วซูมีความสามารถครอบครองตำแหน่งเหยากวงมากกว่า เพียงแต่ทุกคนต่างหันไปมองหรงจิ่น ถึงแม้ฮั่วซูจะได้รับป้ายคำสั่งของตำแหน่งนี้แล้ว แต่เรื่องนี้ก็ต้องออกจากปากท่านเจ้าเมืองอยู่ดีถึงจะวางใจได้
หรงจิ่นเหลือบมองทุกคนแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “มองข้าทำไมเล่า ป้ายคำสั่งก็ให้นางไปแล้ว เหยากวง เจ้าคอยติดตามชิงชิงก่อน ส่วนรายละเอียดงานนั้นฟังคำสั่งของนางก็แล้วกัน”
ฮั่วซูประสานมือเอ่ยอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
หรงจิ่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขารู้จักฮั่วซูอยู่บ้าง หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปนางต้องจงรักภักดีต่อชิงชิงแน่นอน เขาชอบลูกน้องที่ทั้งฉลาดและเชื่อฟังคำสั่ง ชิงชิงไม่มีวิทยายุทธติดตัว ต่อให้ตอนนี้เริ่มเรียนก็สายไปแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาทำใจมอบความลำบากนี้แก่ชิงชิงไม่ได้ ดังนั้นหากมีลูกน้องที่จงรักภักดีและวิทยายุทธแกร่งกล้ามากเท่าไรก็ยิ่งดี
“เหยากวง ยินดีด้วย” ไคหยางฉีกยิ้มสดใส “ในเมื่อขึ้นเป็นเหยากวงแล้วก็ต้องกลับเมืองไปพร้อมกับท่านเจ้าเมืองและแม่นางมู่ใช่หรือไม่เล่า” หลังจากรู้จักกันมาสามปีไคหยางนั้นรู้สึกประทับใจในตัวฮั่วซูไม่น้อย ถึงแม้แม่นางผู้นี้จะทำทุกเรื่องอย่างตั้งใจด้วยความสุขุม แต่นางอยู่ที่นี่กลับไม่มีความสุขเลยสักนิด ไคหยางรู้ดีว่านางอยากกลับไปเมืองเทียนเชวียแทบแย่แล้ว
หรงจิ่นพยักหน้า คนที่ต้องติดตามชิงชิงย่อมต้องกลับเมืองไปพร้อมกันอยู่แล้ว ครั้นเห็นเช่นนั้นแววตาที่นิ่งสงบของฮั่วซูก็อดเป็นประกายไม่ได้
“ไคหยาง เจ้าเลือกคนมาบางส่วนส่งให้ฮั่วซู ข้าจะเอากลับไปพร้อมกันเลย” หรงจิ่นเอ่ยรับสั่ง
ไคหยางผงะไป “ท่านเจ้าเมืองจะพาคนออกเมืองไปด้วยหรือ” เดิมทีเมืองเทียนเชวียคุ้มกันง่ายบุกรุกยาก ลำพังแค่หน่วยอารักขาในเมืองก็เพียงพอแล้ว ท่านเจ้าเมืองต้องเอาคนออกไปนอกเมืองแน่นอน
หรงจิ่นพยักหน้าเอ่ย “ใช่แล้ว”
“ท่านเจ้าเมืองต้องการเท่าใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนขมวดคิ้วเอ่ย “ทหารฝีมือดีสักพันคนก็พอแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ไคหยางแววตาเป็นประกายแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกฝนกองทัพมาตั้งแต่แรก แถมเป็นครั้งแรกที่ท่านเจ้าเมืองจัดคนออกนอกเมืองด้วย เห็นได้ชัดว่าท่านเจ้าเมืองจะเริ่มลงมือแล้ว ถึงแม้คนพวกนี้จะพำนักในเมืองเทียนเชวียมาเป็นเวลานานจึงไม่ค่อยเข้าใจโลกภายนอกนัก แต่หลังจากท่านเจ้าเมืองเข้ามาอยู่ในเมืองเทียนเชวียก็ค่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลง ในเมื่อล้วนเป็นคนวัยหนุ่มสาวทั้งสิ้นย่อมซ่อนปณิธานอันแกร่งกล้าและไฟอันเร่าร้อนฝังภายในกระดูกอยู่แล้ว หลายปีมานี้พวกเขาค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าท่านเจ้าเมืองต้องการทำอะไร
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ย “ท่านพาทหารฝีมือดีหนึ่งพันคนไปทำอะไรหรือเพคะ” ทหารหนึ่งพันคนในสมรภูมิรบถือว่าน้อยเกินไป แต่หากเป็นสถานที่อื่นก็นับว่าเตะตามากเช่นกัน ในยุทธภพทหารฝีมือดีหนึ่งพันคนเพียงพอก่อตั้งสำนักขนาดใหญ่แห่งหนึ่งได้แล้ว ทหารหนึ่งพันคนแฝงตัวเข้าไปในเมืองหลวง ไม่ว่าจะระมัดระวังเพียงใดก็สร้างความระแวงให้ผู้มีอำนาจได้อยู่ดี
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้เยอะแยะ เอามาแย่งหญ้าเซียนเก้าเมฆาได้ เอามารังแกเว่ยอู๋จี้ได้ แถมเอากลับไปไว้ป้องกันยามฉุกเฉินก็ยังได้”
มู่ชิงอีกรอกตาใส่เขาอย่างหัวเสีย จากนั้นก็ก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “รู้แล้วเพคะ หม่อมฉันจะคิดหาวิธีจัดการพวกเขาเอง”
หรงจิ่นยิ้มตาหยีเอ่ย “ลำบากชิงชิงแล้ว” ฮั่วซูที่อยู่ด้านข้างมองพวกเขาคุยกันด้วยท่าทีตกใจ ถึงแม้อายุของท่านเจ้าเมืองจะน้อยกว่าผู้ดูแลบางคนในกลุ่มดาวหมีใหญ่ แต่ยอมรับว่าพวกเขาต่างเกรงกลัวหรงจิ่นกันทั้งสิ้น คิดไม่ถึงว่าคนที่บอบบางอย่างมู่ชิงอีจะต่อปากต่อคำกับท่านเจ้าเมืองเช่นนี้ กระทั่งเสนอคัดค้านท่านเจ้าเมืองด้วยซ้ำ
หรงจิ่นเหลือบมองฮั่วซูแวบหนึ่ง “ต่อไปเจ้ารับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของชิงชิง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
ฮั่วซูขานรับเสียงขรึม “ท่านเจ้าเมืองวางใจได้ หม่อมฉันสาบานว่าจะปกป้องแม่นางมู่จนตัวตายเพคะ”