เทียนเฉวียนยืนกรานอย่างมั่นใจ “กระหม่อมแน่ใจ ท่านเจ้าเมืองและแม่นางมู่โปรดอนุญาตด้วย”
เทียนเสวียนที่อยู่ด้านข้างเหลือบมองเพื่อนของตน จากนั้นก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าประสานมือกล่าว “ท่านเจ้าเมือง กระหม่อมยินดีอยู่ช่วยงานเทียนซูเฝ้าประจำการในเมืองเทียนเชวียแทนเทียนเฉวียนพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นโบกมือเอ่ย “ช่างเถิด เมืองเทียนเชวียก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ทิ้งเทียนซูไว้คนเดียวก็ได้แล้ว หากมีเรื่องอันใดก็ยังมีไคหยางอยู่” เมืองเทียนเชวียเป็นเมืองปราการตัดขาดจากโลกภายนอกมาหลายร้อยปีจึงไม่มีเรื่องใดจริงๆ ในทางกลับกันจวนอวี้อ๋องในเมืองหลวงมีเรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด ในเมื่อมีคนยินดีคอยติดตามรับฟังคำสั่งเขา หรงจิ่นย่อมไม่ติดใจอะไรหากจะพาคนไปมากหน่อยอยู่แล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ ท่านเจ้าเมือง” ทุกคนต่างเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากไล่ทุกคนออกไปแล้ว หรงจิ่นก็จูงมือมู่ชิงอีเดินออกไปด้านนอกเรือนอย่างอารมณ์ดี หรงจิ่นเป็นคนนิสัยสุขุมเย็นชาแต่เนื้อแท้กลับเต็มไปด้วยความดิบเถื่อนและโหดเหี้ยม ดังนั้นเมืองเทียนเชวียเลยไม่ค่อยเหมาะสมกับเขา เขาเองก็ไม่ได้ชอบมากเท่าไร เพราะเหตุนี้หลายปีมานี้ถึงแม้เขาจะเป็นท่านเจ้าเมืองเทียนเชวีย แต่หรงจิ่นกลับเมืองเทียนเชวียน้อยครั้งนัก ส่วนหนึ่งเพราะสถานะความเป็นองค์ชายของเขา ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งเพราะเขาไม่โปรดปรานที่นี่อย่างแท้จริง
ถึงแม้โลกภายนอกจะเต็มไปด้วยอุบายแผนร้ายและกลิ่นคาวเลือด แต่สิ่งเหล่านั้นน่าสนใจกว่ามิใช่หรือ
พอทุกครั้งอยู่เมืองเทียนเชวียนานวันเข้า เขามักรู้สึกว่าอารมณ์วูบวาบกระหายเลือดที่ฝังอยู่ในกระดูกของเขาเริ่มยากที่จะควบคุมได้ เพราะหรงจิ่นไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเหลิ่งเทียนเชวียที่กำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองตอนนั้นถึงออกจากการช่วงชิงตำแหน่งแล้วหนีมาสร้างเมืองปราการในที่แบบนี้
“พี่ชาย!” พอออกนอกประตูพระตำหนักมาก็ถูกเหมยอิ้งเสวี่ยที่อยู่ด้านนอกเอ่ยรั้งเอาไว้ หรงจิ่นไม่แม้แต่จะเหลือบมองนางสักนิดก็เหวี่ยงมือใส่ทีหนึ่ง จากนั้นแขนเสื้อกว้างก็ม้วนพัดเป็นลมกวาดตัวเหมยอิ้งเสวี่ยไปด้านหลัง เทียนเฉวียนที่เดินตามมาด้านหลังสีหน้าเปลี่ยนทันควันแล้วรีบพุ่งเข้าไปรับตัวเหมยอิ้งเสวี่ยไว้
รอกระทั่งเหมยอิ้งเสวี่ยที่วิญญาณล่องลอยได้สติถึงค้นพบว่าหรงจิ่นลากมู่ชิงอีเดินไปไกลแล้ว
“พี่ชาย…เหตุใดถึงทำกับข้าเช่นนี้” เหมยอิ้งเสวี่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ต่อให้มู่ชิงอีจะหน้าตางดงามมากกว่านาง แต่แล้วทำไมเล่า นางเองก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย นางรู้จักกับพี่ชายมาตั้งหลายปี ทว่ามู่ชิงอีกับพี่ชายเพิ่งรู้จักกันยังไม่ถึงครึ่งปี มีสิทธิ์อันใดกัน
หลังจากประคองนางจนทรงตัวได้แล้ว เทียนเฉวียนก็ปล่อยมือแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเจ้าไม่ต้องไปจวนข้าแล้ว” พูดถึงครั้งนี้มู่ชิงอีและหรงจิ่นกลับเร็วจนเสียเปรียบเหมยอิ้งเสวี่ยเข้าแล้ว ในจวนเทียนเฉวียนมีเพียงเขาคนเดียว พอเขาตามไปด้วย เหมยอิ้งเสวี่ยเลยไม่ต้องเป็นบ่าวรับใช้ใครอีก
“เจ้าคิดว่าข้าอยากไปนักหรือ” เหมยอิ้งเสวี่ยเอ่ยอย่างหัวเสีย นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหมยแต่ดันถูกลงโทษให้เป็นบ่าวรับใช้เสียได้
เทียนเฉวียนมองนางเงียบๆ ก่อนส่ายศีรษะหมุนตัวเดินจากไป
เหมยอิ้งเสวี่ยผงะไปครู่หนึ่งถึงรู้สึกตัวว่าแปลกพิกล “เหตุใดถึงไม่ต้องไปแล้ว พี่ชายไม่ลงโทษข้าแล้วหรือ”
เทียนเฉวียนเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะไปแล้ว”
“ไป? เจ้าจะไปไหน”
“ออกนอกเมือง” เทียนเฉวียนเอ่ย ภายในเมืองเทียนเชวียคำว่าออกนอกเมืองไม่มีความหมายอื่นใด แค่หมายถึงออกนอกเมืองนี้ไป ออกจากเขาสูงตระหง่านที่รายล้อมมากมายเหล่านี้ไปสู่โลกภายนอกนั่นเอง
เหมยอิ้งเสวี่ยสีหน้าเปลี่ยน “พี่ชายจะไปอีกแล้วหรือ ข้าจะไปด้วย!” จากนั้นก็จ้องเทียนเฉวียนตาเขม็งเชิงว่าต้องเป็นไปตามนี้เท่านั้น
เทียนเฉวียนปฏิเสธคำขอของนางด้วยท่าทีสงบ “ข้าไม่พาใครไปด้วย เจ้าก็ไม่ได้” พอพูดจบก็เผยสีหน้าราบเรียบโดยไม่สนใจเหมยอิ้งเสวี่ยอีกแล้วหมุนตัวเดินออกนอกจวนท่านเจ้าเมืองไป
ครั้นเห็นเงาแผ่นหลังของเทียนเชวียเดินจากไป เหมยอิ้งเสวี่ยถึงสีหน้าหม่นลง แต่ไหนแต่ไรมาเทียนเฉวียนไม่เคยปฏิเสธคำขอของนาง แต่ครั้งนี้กลับตอบปัดนางโดยไม่คิดลังเลสักนิด ทุกอย่างเป็นเพราะนังมู่ชิงอีคนเดียว!
ยามเข้าเมืองเทียนเชวียมามีแค่หรงจิ่นและมู่ชิงอีเท่านั้น ทว่าตอนออกจากเมืองกลับแปรเปลี่ยนเป็นคนกลุ่มใหญ่ ไม่ว่าหรงจิ่นหรือคุณชายอวิ๋นอิ่น แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่รู้จักคำว่าถ่อมตนสองคำนี้เลยสักนิด ทหารฝีมือดีพันคนย่อมพาเดินทางไปพร้อมกันไม่ได้ แต่เพราะมีฮั่วซู เทียนเฉวียน เทียนเสวียนและอู๋ซินคอยติดตาม แถมมีทหารฝีมือดีอีกหกสิบคนคอยเฝ้าอารักขา กองทหารเดินในยุทธภพเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นภาพขบวนที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว
ออกจากเมืองเทียนเชวียได้ไม่ถึงห้าสิบหกสิบลี้ก็ปรากฏเมืองปราการขนาดใหญ่แห่งหนึ่งนามว่าเมืองเผิง เมืองเผิงขึ้นชื่อเรื่องดอกไม้ โดยเฉพาะดอกโบตั๋น ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ใช่ฤดูกาลของดอกโบตั๋น แต่ดอกเบญจมาศกลับเบ่งบานงดงามสะกดใจคนเหลือเกิน
เพราะรูปโฉมที่งดงามเหนือใครของพวกเขา ไม่ว่าเดินไปที่ไหนล้วนตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน ด้วยเหตุนี้พอเข้าเมืองมาจึงได้รับสายตาจับจ้องจากผู้คนนับไม่ถ้วนโดยไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด
บนใบหน้าของหรงจิ่นสวมหน้ากากสีเงินลายเมฆสีทอง ตรงชายแขนและคอเสื้อล้วนปักลายเมฆสีทองราวกับกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเขาคือคุณชายอวิ๋นอิ่น มู่ชิงอีที่เห็นเช่นนั้นยังต้องส่ายศีรษะ
หรงจิ่นไม่กลัวที่ตนถูกคนจับจ้อง แต่ไม่ชอบใจที่ชิงชิงของเขาถูกคนอื่นจับจ้องมากกว่า เพราะเหตุนี้ยังไม่ทันเข้าเมืองก็ไม่รู้ว่าเขาไปหาผ้าบางสีขาวผืนหนึ่งจากไหนมาใช้ปิดใบหน้าอันงดงามของมู่ชิงอี คนที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังไม่กี่คนต่างสบตากันพลางลอบยิ้ม จากนั้นก็ส่ายศีรษะโดยไม่พูดอะไร
“ท่านเจ้า…คุณชาย ด้านหน้าเป็นหอมู่หวา โรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเผิงโจวแล้ว พวกเราพักกันก่อนหรือไม่ขอรับ” คนที่เข้าใจสถานที่ภายนอกมากที่สุดก็คือเทียนเสวียน ด้วยเหตุนี้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้จึงมอบหมายให้เทียนเสวียนจัดการไป ถึงแม้ภายนอกเทียนเสวียนจะดูเป็นคนหยาบกระด้าง แต่ความจริงกลับเป็นคนละเอียดอ่อน เรื่องยิบย่อยระหว่างทางเขาก็จัดการได้เป็นอย่างดีจนทำให้หรงจิ่นรู้สึกพอใจไม่น้อย
หรงจิ่นก้มศีรษะมองใบหน้าที่แสนอ่อนล้าของมู่ชิงอีแล้วพยักหน้าเอ่ย “ก็ดีเหมือนกัน”
ยังไม่ทันเดินเข้าหอมู่หวา ผู้ดูแลของหอมู่หวาก็เดินเข้ามาต้อนรับด้วยตัวเองแล้ว แค่ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าคนกลุ่มนี้สถานะไม่ธรรมดา ในเมื่อผู้ดูแลเปิดร้านต้อนรับด้วยท่าทีอ่อนโยน ต้อนรับแขกด้วยตัวเองย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ฮั่วซูและเทียนเฉวียนแทบออกมาเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมาเทียนเฉวียนสุขุมแน่นิ่งลมพัดไม่ขยับอยู่แล้ว ทว่าฮั่วซูกลับเห็นอะไรก็ละลานตาหมด พอเห็นคนนั่งอยู่เต็มโรงเตี๊ยมก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “ผู้ดูแล เห็นทีหอมู่หวาจะค้าขายดีไม่หยอก”
ผู้ดูแลฉีกยิ้มตาหยี ประสานมือแล้วยิ้มเอ่ย “คิดว่าพวกท่านคงมาจากต่างถิ่น สองสามวันนี้เป็นงานชมดอกเบญจมาศพอดีซึ่งหนึ่งปีจะมีสักครั้ง เพราะเหตุนี้คนเลยมากเป็นพิเศษ กิจการของทางร้านเลยดีเป็นพิเศษด้วย”
ความจริงเมืองเผิงขึ้นชื่อเรื่องดอกไม้ สามารถเรียกได้ว่าเมืองแห่งดอกไม้ ในหนึ่งปีของทุกๆ เดือนจะมีดอกไม้ให้ชมเชย อย่างเช่นเดือนสองเป็นงานชมดอกกล้วยไม้ เดือนสามเป็นเทศกาลชมดอกท้อ เดือนสี่เป็นงานชมดอกโบตั๋นเป็นต้น ดังนั้นนักท่องเที่ยวจากหลายที่จึงแวะเวียนกันมาไม่ขาดสาย หอมู่หวาแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองเผิงย่อมโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
หรงจิ่นเลิกคิ้วกวาดตามองแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ที่แท้คนในยุทธภพตอนนี้ก็ชื่นชอบการชมดอกไม้กันหรือ”
เวลานี้ในโถงใหญ่ที่มีคนนั่งอยู่มากมายเกินครึ่งล้วนเป็นคนในยุทธภพที่พกพาอาวุธมีดดาบติดตัว ถึงแม้จะเป็นคนเหมือนกัน แต่กลับสามารถแยกแยะคนในยุทธภพกับคนในตระกูลร่ำรวยทั่วไปได้ตั้งแต่แวบแรก
ผู้ดูแลถอนหายใจพลางส่ายศีรษะกล่าว “คุณชายพูดถูก ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงมีคนในยุทธภพโผล่มามากมายขนาดนี้ แขกขาประจำของร้านเราปีก่อนๆ เลยจำต้องเปลี่ยนไปพักโรงเตี๊ยมอื่นกันบางส่วน” อีกอย่างคุณชายท่านนี้ก็เป็นคนในยุทธภพเหมือนกันมิใช่หรือ ผู้ดูแลลอบสบถขึ้นในใจ