หรงจิ่นเผยท่าทีดูแคลน “เว่ยอู๋จี้ สมองเจ้ามีปัญหา? สำหรับข้าแล้วชีวิตผู้หญิงของเจ้าสิบชีวิตก็สู้ความงามของฮูหยินข้าไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น…ฝีดาบนั้นข้าเป็นคนแทงเองมิใช่หรือ หากข้าแทงนางแล้วยังช่วยหายาวิเศษรักษานางอีก เช่นนั้นข้าสู้ไม่แทงเสียยังดีกว่า”
เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงเรียบ “หากกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นจะไม่ยอมถอยให้ข้า?”
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “หรือเจ้าอยากดูว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”
หรงจิ่นพูดยังไม่ทันจบ เว่ยอู๋จี้ก็สัมผัสได้ถึงแรงแค้นและไอสังหารที่แผ่ออกมาจากชายหญิงทั้งสามที่นั่งอยู่อีกฝั่ง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่องครักษ์ธรรมดาๆ แน่นอน
“อู๋จี้…” ชั่วขณะนั้นภายในห้องก็อัดแน่นไปด้วยไอสังหาร เชียนหลิงที่ร่างกายอ่อนแอที่สุดนั้นหน้าซีดลงตั้งนานแล้ว
“คุณชายอวิ๋นอิ่นพูดจาน่าขบขันแล้ว เวลานี้คุณชายย่อมเป็นต่อมากกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราวัดกันที่ฝีมือก็แล้วกัน”
“เพ้อเจ้อ” หรงจิ่นเอ่ยอย่างหัวเสีย
เว่ยอู๋จี้ลุกขึ้นประคองตัวเชียนหลิงเดินออกไปด้านนอก กระทั่งเดินไปหน้าประตูถึงหันหน้ากลับมามองมู่ชิงอี เอ่ยพลางครุ่นคิดว่า “ข้าเคยเจออวิ๋นฮูหยินที่ไหนหรือไม่”
จากนั้นก็มีแรงลมพัดผ่านข้างใบหน้าของเว่ยอู๋จี้ไปอย่างเฉียดฉิว เว่ยอู๋จี้ยิ้มบางก่อนจะประคองเชียนหลิงเดินออกไป
ภายในห้อง มู่ชิงอีถอดผ้าปิดหน้าออกแล้วมองไปทางหรงจิ่น ขมวดคิ้วเอ่ย “หญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่ในเมืองเผิงหรือเพคะ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “ดูท่าทางเหตุที่เมืองเผิงคึกคักขึ้นมาเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเมืองเผิงมีหญ้าเซียนเก้าเมฆา แต่เป็นเพราะมั่วเวิ่นฉิงอยู่ที่เมืองเผิง”
“มั่วเวิ่นฉิง? เขากลับเย่าหวังกู่ไปแล้วมิใช่หรือ”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเบา “หญ้าเซียนเก้าเมฆาเป็นความลับที่ไม่ควรหลุดมาจากเย่าหวังกู่ ทว่าเพียงชั่วข้ามคืนกลับมีข่าวแพร่สะพัดดังไปทั่วสารทิศ ชิงชิงเจ้าเดาสิว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ออกมา”
มู่ชิงอีเงียบไปนานถึงเอ่ย “คนในเย่าหวังกู่ หรือก็คือ…ตัวมั่วเวิ่นฉิงเอง แต่มั่วเวิ่นฉิงไม่เหมือนคนที่จะทำเรื่องน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้เลย”
หรงจิ่นพยักหน้าเอ่ยชม “ใช่แล้ว เช่นนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้อย่างเดียว คือเย่าหวังกู่…เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”
“เกิดเรื่อง?” เพียงไม่นานมู่ชิงอีก็เข้าใจความหมายของเขาขึ้นมาทันที “ท่านหมายถึงว่า…คนในเย่าหวังกู่ไม่ยอมรับในตัวมั่วเวิ่นฉิงเลยคิดอยาก…”
“ใช่แล้ว เย่าหวังกู่มีคนก่อกบฏ” หรงจิ่นยิ้มเอ่ยอย่างพึงพอใจ
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่น “ต่อให้เป็นเช่นนั้นพวกเราก็ยังไม่มีข่าวสารที่แน่ชัดว่าเย่าหวังกู่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาจริงหรือไม่”
หรงจิ่นโบกมือเอ่ย “จะมีหญ้าเซียนเก้าเมฆาหรือไม่ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือเราสามารถฉวยโอกาสนี้ทำอะไรได้บ้าง แน่นอนว่า…ถ้ามีย่อมดีที่สุด”
“ท่านคิดจะ…”
หรงจิ่นยิ้มเย็นยะเยือก “ชิงชิงอยากลองเดาดูหรือไม่ว่าครั้งนี้จะมีคนในเมืองหลวงออกมาเท่าไร”
มู่ชิงอีตระหนักขึ้นได้ทันที ในเมื่อแพร่งพรายข่าวไปว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาเป็นสมบัติล้ำค่าช่วยทำให้อายุยืนยาว แล้วจะมีฮ่องเต้คนใดไม่หวั่นไหวบ้าง โดยเฉพาะฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่อายุเกือบเจ็ดสิบชันษา ตอนนี้เขาได้ยื่นขาเข้าไปในโรงศพข้างหนึ่งแล้วก็ว่าได้ หญ้าเซียนเก้าเมฆามีความสำคัญต่อเขามากแค่ไหนไม่ต้องพูดก็คงรู้กันดี
มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น “ครั้งก่อนตอนแคว้นหวาตวนอ๋องทำคะแนนนำลิ่วไปแล้ว ครั้งนี้…น่าจะเป็นจื้ออ๋องหรือจวงอ๋องกระมัง ท่านคิดจะ…”
หรงจิ่นขบคิดแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมากันทั้งสองคน ควรรู้ก่อนว่าหากใครได้หญ้าเซียนเก้าเมฆาไปถวายเสด็จพ่อก่อน เกรงว่าเสด็จพ่อคงดีพระทัยจนแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นองค์รัชทายาทเลยก็เป็นไปได้ เพราะเรื่องที่แคว้นหวา ระยะนี้คิดว่าพี่สี่คงถูกพี่ใหญ่กับพี่รองรวมหัวกันข่มเขาอยู่ คาดว่าคงออกจากเมืองหลวงไม่ได้ หากไม่ใช่พวกเขาแล้วจะเป็นใครไปได้ และหากทำให้คนใดคนหนึ่ง…โดนทิ้งอยู่ด้านนอก ก็นับว่าไม่เลวเช่นกัน”
โดนทิ้งอยู่ด้านนอกก็คือไม่มีวันกลับไปได้ชั่วชีวิต หรงจิ่นคิดสังหารหรงหวงหรือไม่ก็หรงเซวียนนั่นเอง
มู่ชิงอีไม่ได้ตกใจกับเรื่องนี้สักเท่าไร เพียงแค่เอ่ยถามเสียงเรียบว่า “ท่านเจาะจงไปทางใครเพคะ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “ยุ่งยากทั้งสองคน แต่…หนานกงเจวี๋ยยุ่งยากมากกว่า ดังนั้น…หรงหวงก็แล้วกัน” คนหนึ่งเป็นโอรสของฮองเฮา ส่วนอีกคนเป็นโอรสของกุ้ยเฟยเป็นหลานของแม่ทัพใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล อำนาจเบื้องหลังฝังลึกจนพัวพันยาวไปถึงวันข้างหน้า หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองคนย่อมเกิดเรื่องวุ่นวายแน่นอน แต่เขาคิดหาวิธีได้แล้ว ในเมื่อคนอยู่ในเขตยุทธภพมักเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่า
แต่ไหนแต่ไรมาในราชสำนักแคว้นเย่ว์มีองค์ชายใหญ่หรงหวง องค์ชายรองหรงเซวียนและองค์ชายสี่หรงเหยี่ยนคอยคานอำนาจกัน บัดนี้หรงจิ่นคิดจะเข้าไปร่วมวงด้วยจึงจำเป็นต้องทำลายคานอำนาจนี้ทิ้ง ดังนั้นหรงเซวียนหรือหรงหวงจำเป็นต้องตาย พอถึงตอนนั้นหรงจิ่นในฐานะองค์ชายเก้าถึงจะเข้าไปแทนที่คนที่หายไปได้ แล้วกลับมามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมั่นคงและคานอำนาจซึ่งกันและกันในสายตาของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ใหม่อีกครั้ง
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ข้ารู้แล้ว ฮั่วซู”
“ฮั่วซูอยู่นี่เจ้าค่ะ” ฮั่วซูก้าวขึ้นมาพลางเอ่ยเสียงขรึม มู่ชิงอีเอ่ยเสียงนิ่ง “คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวละแวกเผิงโจวอย่างละเอียด โดยเฉพาะคนที่มาจากเมืองหลวง”
ฮั่วซูขานรับเสียงหนักแน่น “น้อมรับคำสั่ง”
มู่ชิงอีใช้ดวงตาเรียบนิ่งกวาดมองไปทางเทียนเสวียนและเทียนเฉวียน พวกเขาทั้งสองคนรีบลุกขึ้น พลันรู้สึกใจเต้นกระหน่ำ “น้อมรับคำสั่งฮูหยิน” ท่านเจ้าเมืองตัดสินชีวิตความเป็นความตายขององค์ชายคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งนายหญิงผู้นี้กลับเผยสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม ดูท่าทางกำลังขบคิดในใจว่าควรจะวางแผนการอย่างไรอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสองคนไม่มีใครธรรมดาเลย ไคหยางกำลังคิดว่านายหญิงอ่อนโยนจิตใจดีงามผู้นี้คงถูกอะไรพรางตาเข้ากระมัง
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางเอ่ย “ไม่ต้องจริงจังไป ข้าแค่จะบอกพวกเจ้าว่าพวกเจ้าอยู่ในเมืองเทียนเชวียมานานเลยไม่ค่อยคุ้นชินโลกภายนอกนัก ถือโอกาสนี้หาเวลาว่างไปเดินเล่นด้านนอกให้มากหน่อย อีกเรื่อง เทียนเสวียน อันนี้ข้าให้เจ้า เจ้าไปหาคนที่มีนามว่าเฝิงจื่อสุ่ยของตระกูลกู้ เขาจะบอกเจ้าเองว่าควรทำอะไร เจ้าฟังคำสั่งของเขาก็พอแล้ว”
เทียนเสวียนรับหยกแขวนที่มู่ชิงอีส่งมาให้ ถึงแม้จะนึกเสียดายที่จะไม่ได้อยู่ดูเรื่องสนุกๆ ในเมืองเผิง แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องที่มู่ชิงอีสั่งเป็นเรื่องสำคัญจึงไม่ถามอะไรมากนักแล้วหมุนตัวเดินออกไป
หลังจากพวกเขาสามคนออกไปแล้ว หรงจิ่นก็มองมู่ชิงอีพลางยิ้มตาหยีเอ่ย “ชิงชิง เจ้าเตรียมเอาสินเดิมออกมาก่อนล่วงหน้าหรือ”
มู่ชิงอีมองค้อนเขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “กระทั่งให้ท่านเฟิ่งจังออกโรง ไม่ใช่เพื่อให้เทียนเสวียนรวบรวมเงินหรอกหรือ ชิงชิงช่วยข้าหาเบี้ยหวัดก็ไม่ใช่เพราะเอามาเป็นสินเดิมหรอกหรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “หรือจะบอกว่า…ท่านอ๋องจะติดค้างหม่อมฉันไว้ก่อนเล่าเพคะ”
หรงจิ่นเอ่ยเชิงอย่างไรก็ได้ “ได้สิ ชิงชิงอยากให้ข้าติดเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น” ไม่ว่าเท่าไรสุดท้ายก็ต้องเป็นของพวกเขาทั้งคู่อยู่ดี อย่างไรเสียสามีภรรยาก็คือคนๆ เดียวกัน
มู่ชิงอียิ้มเยาะก่อนจะเอ่ย “องค์ชายเก้าปณิธานแรงกล้าขนาดนี้ก็ควรจะรู้ว่าขาดแคลนเงินอีกตั้งเท่าไร หลายปีมานี้ท่านถลุงเงินของตระกูลเพื่อเมืองเทียนเชวียไปไม่น้อยเลยจริงๆ ถึงแม้กิจการภายใต้การดูแลของเทียนเสวียนจะทำเงินได้มาก แต่หากเทียบกับความต้องการของท่านแล้วกลับเทียบไม่ติดเลย” ไม่ว่าหรงจิ่นจะอยากแก่งแย่งบัลลังก์หรือไม่ แต่การก่อกบฏในวันหน้าจะทำอะไรก็ต้องผลาญเงินทั้งสิ้น กิจการที่เทียนเสวียนดูแลไม่พอแม้แต่ใช้อุดร่องฟันเสียด้วยซ้ำ
หรงจิ่นยิ้มขมขื่นอย่างเหนื่อยหน่าย “กิจการด้านนอกของเมืองเทียนเชวียหายไร้ร่องรอยไปหลายปีแล้ว ตอนนี้กิจการที่มีอยู่ในมือเทียนเสวียนล้วนเพิ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อหลายปีที่ผ่านมานี้เอง ข้าเองก็รู้ว่าบัดนี้เศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้าคือเว่ยอู๋จี้กับตระกูลกู้ของเจ้า หากคิดจะหาเงินคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหากไม่ระวังตัวอาจตกเป็นเป้าสายตาของเว่ยอู๋จี้ได้เช่นกัน”