“อวิ๋นฮูหยิน”
เว่ยอู๋จี้เดินขึ้นบันไดมา พอเห็นมู่ชิงอีนั่งอยู่ตรงโต๊ะก็เดินเข้ามากล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้ม นานๆ ทีจะไม่เห็นเชียนหลิงที่เป็นดั่งเงาตามติดเขามาด้วย มู่ชิงอีเลิกคิ้วอมยิ้มถาม “คุณชายเว่ย เหตุใดไม่เห็นแม่นางเชียนหลิงเล่า”
ความจริงความประทับใจที่มู่ชิงอีมีต่อเว่ยอู๋จี้นับว่าไม่เลวทีเดียว ใบหน้าหล่อเหลา นิสัยก็ถือว่า…ผ่าน ความสามารถล้ำเลิศ วิทยายุทธก็เก่งกาจ ไม่ว่าจะมองจากแง่ไหนก็ล้วนเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ถึงแม้เชียนหลิงจะพลอยทำให้นางไม่ชอบเขาไปด้วย แต่ความชอบความเกลียดกลับเป็นเรื่องส่วนตัว นางคงมิอาจเอาความเกลียดที่มีต่อเชียนหลิงมาพานทำให้ไม่ชอบเว่ยอู๋จี้ไปด้วยได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่คิดเล็กคิดน้อยกับภูมิหลังของเชียนหลิง ในเมื่อหลายปีมานี้นางเองก็ไม่ได้มีใคร อย่างน้อยการทุ่มเทกับความรักก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งมิใช่หรือ
ดังนั้นขอแค่เชียนหลิงไม่ได้อยู่ข้างกาย มู่ชิงอีก็คงไม่เพิกเฉยต่อการปฏิสัมพันธ์กับเว่ยอู๋จี้
เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงนิ่ง “เชียนหลิงสุขภาพไม่ค่อยดีเลยพักผ่อนอยู่ที่ห้อง ขอบคุณที่อวิ๋นฮูหยินนึกถึง ข้า…นั่งด้วยได้หรือไม่” พอเห็นว่าไม่มีใครชวนนั่ง เว่ยอู๋จี้เลยทำได้แค่ออกหน้าขอเอง
มู่ชิงอีพยักหน้าเชิงว่าเชิญเขาตามสบาย
เว่ยอู๋จี้นั่งลงตรงที่นั่งที่ว่างอยู่ก่อนจะเอ่ยทักทายไท่สื่อเหิงที่อยู่ด้านข้าง “คุณชายเหวินหวา เป็นเกียรตินัก”
ไท่สื่อเหิงเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “เว่ยอู๋จี้ เป็นเกียรตินัก แต่ข้า…ไม่เคยเจอคุณชายเว่ยมาก่อนกระมัง” คุณชายเหวินหวาอย่างเขาล่องลอยไปมาดั่งลมในยุทธภพ ทว่าแต่ละคนกลับรู้จักเขาหมดแบบนี้ วันหน้าเขาจะแฝงตัวไปไหนมาไหนได้เช่นไร
เว่ยอู๋จี้ยิ้มบางไม่พูดอะไร ทุกกิจการใหญ่โตของตระกูลเว่ยย่อมมีเครือข่าย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหันเสวี่ยโหลวภายใต้นามอีกต่างหาก แถมยังอยู่ในแวดวงยุทธภพด้วย ฉะนั้นเขาจะไม่สนใจตระกูลไท่สื่อที่รู้ข่าวว่องไวที่สุดในยุทธภพได้ที่ไหนกัน
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “ความจริงข้าอยากบอกว่าเหมือนเมื่อครู่ข้าจะเห็นเจ้าสำนักเซวียของสำนักไฉ่อีมาจากเมืองหลวงแล้ว เหตุใดถึงไม่เห็นคุณชายอวิ๋นอิ่นเลยเล่า”
ไท่สื่อเหิงสีหน้าเปลี่ยนทันที เพราะเขากลัวผู้หญิงของสำนักไฉ่อีขึ้นสมองแล้วจริงๆ ประจวบกับที่คุณชายอวิ๋นอิ่นไม่อยู่ด้วยพอดี หากเซวียไฉ่อีโผล่มาฆ่าเขา…จากนั้นเขาก็มองมู่ชิงอีอย่างกังวลใจ ทว่ากลับเห็นมู่ชิงอีดื่มชาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายไม่กระวนกระวายใจเลยสักนิด พลอยทำให้เขานึกโล่งอกขึ้นมา
ฮั่วซูปิดปากขำเอ่ย “คุณชายไท่สื่อวางใจเถิด ลำพังแค่สำนักไฉ่อี คุณชายของพวกเราไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก”
ทันใดนั้นไท่สื่อเหิงก็นึกถึงองครักษ์หกสิบคนที่อยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยมซึ่งดูท่าทางแล้วฝีมือคงไม่ธรรมดาขึ้นมาได้ รวมถึงอู๋ซินที่ชอบผลุบๆ โผล่ๆ ขยับร่างว่องไวกับหญิงสาวชุดดำใบหน้างดงามตรงหน้าแล้ว ก็เหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลัวพวกสำนักไฉ่อีจริงๆ นั่นแหละ
เขาจึงถอนหายใจเอ่ย “มาก็มาเถิด ต่อให้นางเชือดข้าทิ้ง ข้าก็จนปัญญาจะแปลงร่างเป็นเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ได้อยู่ดี”
“เมื่อก่อนเห็นแต่คุณชายอวิ๋นอิ่นตัวคนเดียว แต่กลับไม่เคยถามว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นเป็นคนที่ใด” เว่ยอู๋จี้ขบคิดพลางเอ่ยถามขึ้นมา พวกหรงจิ่นถึงขั้นพากองกำลังทหารหกสิบคนเข้าเมืองมา เว่ยอู๋จี้ย่อมรู้อยู่แล้ว เพราะการเคลื่อนไหวของทหารหกสิบคนนั้นเหมือนกันหมด ฝีมือก็ไม่ธรรมดา ดูก็รู้ว่าผ่านการฝึกฝนมาย่อมไม่มีทางที่อวิ๋นอิ่นจะได้มามือเปล่าแน่นอน แต่ต่อให้ตระกูลเว่ยจะได้รับข่าวสารว่องไว เว่ยอู๋จี้ก็ยังสืบหาภูมิหลังของอวิ๋นอิ่นไม่ได้อยู่ดี
เขามองไท่สื่อเหิงที่อยู่ข้างกาย มีความเป็นไปได้สูงมากที่ไท่สื่อเหิงจะรู้ ถึงแม้อยากจะให้เขาพูดออกมามากแค่ไหน แต่เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
ฮั่วซูเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายของพวกเรารักอิสระ เพียงแต่ตอนนี้มีฮูหยินตามมาด้วยย่อมทำอะไรลวกๆ ไม่ได้ ดังนั้นถึงพาพวกเราออกมาด้วย ”
มู่ชิงอีมองเว่ยอู๋จี้ด้วยท่าทีสงบแล้วตอบกลับเสียงเรียบ “อวี๋โจว หมู่บ้านหุบเขาอวิ๋นฉี่”
เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้ว “ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง” เว่ยอู๋จี้เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านหุบเขาอวิ๋นฉี่มาบ้าง แต่ไม่ได้อยู่ในแวดวงยุทธภพ ถึงแม้จะมีการทำมาค้าขายกันบ้างแต่ไม่ใช่สถานที่ที่เตะตาอะไร อีกทั้งยังเป็นดินแดนห่างไกล ดังนั้นเลยไม่ค่อยเป็นที่สนใจของผู้คนเท่าไร แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีบุคคลน่าทึ่งอย่างอวิ๋นอิ่นโผล่มาได้ ดูท่าทางผ่านไปอีกไม่กี่ปีหมู่บ้านหุบเขาอวิ๋นฉี่คงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าแน่นอน คงต้องส่งคนคอยติดตามเสียหน่อยกระมัง
ครั้นได้ยินมู่ชิงอีกล่าวเช่นนั้น ฮั่วซูก็ตกใจ แต่สีหน้ายังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ในเมื่อแม่นางมู่กล่าวเช่นนี้ก็คงมีเหตุผลของนาง เพียงแต่นางจำได้ว่าภายใต้อาณัติของเมืองเทียนเชวียไม่มีสถานที่ที่ชื่อว่าหมู่บ้านหุบเขาอวิ๋นฉี่เลยนี่นา
เว่ยอู๋จี้มองมู่ชิงอีก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ย “ไม่ทราบว่า…อวิ๋นฮูหยินแซ่อะไรหรือ” ไม่รู้เพราะเหตุใดเว่ยอู๋จี้ถึงมักรู้สึกว่าหญิงสาวชุดขาวตรงหน้าช่างคุ้นหน้าคุ้นตานัก แต่หากเขาเคยเจอหญิงสาวที่โดดเด่นเช่นนี้มาก่อนจริงๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะใช้ผ้าปิดหน้าไว้ก็ต้องจำได้บ้างถึงจะถูก
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ปิดบัง ตอบกลับเสียงเรียบ “แซ่มู่” ความจริงเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง อีกอย่างนางคงไม่มีทางใช้ผ้าปกปิดใบหน้าไม่ยอมเจอะเจอใครไปชั่วชีวิตแน่นอน หากเว่ยอู๋จี้คิดจะตามสืบจริงๆ ก็ต้องตามสืบได้อยู่แล้วว่านางแซ่อะไร ในทางกลับกันจงใจปกปิดเช่นนี้ออกจะดูกินปูนร้อนท้องเสียมากกว่า
เว่ยอู๋จี้แววตาวูบไหว จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันที “ที่แท้ก็องค์หญิงหมิงเจ๋อนี่เอง คิดไม่ถึงจริงๆ…” ดูท่าทางตอนเกิดเรื่องที่แคว้นหวาคราวนั้น อวิ๋นอิ่นคงยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วย เพียงแต่เว่ยอู๋จี้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนที่ปรากฏตัวแค่ในแคว้นเย่ว์และชายแดนเป่ยฮั่นอย่างอวิ๋นอิ่นถึงโผล่มาแคว้นหวากะทันหันได้
ครั้นเห็นท่าทีเหมือนเว่ยอู๋จี้กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ก็รู้ทันทีว่าเขาต้องคิดอะไรในใจแน่นอน มู่ชิงอีจึงเอ่ยเสียงเบาเสริม “คุณชายอวิ๋นอิ่นมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้” ความฉลาดมักเป็นเรื่องที่น่ากลัว ดังนั้นการชี้แนะและชักนำในเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก
เว่ยอู๋จี้ผงะไปตามคาด แต่ไม่นานก็ยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็อัศวินช่วยสาวงามเอาไว้นี่เอง เพียงแต่…เหตุใดองค์หญิงหมิงเจ๋อถึงเลือกออกมาจากแคว้นหวาเล่า ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงเป็นห่วงองค์หญิงยิ่งนัก”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วคลี่ยิ้มเอ่ย “คุณชายเว่ยพูดจาน่าขบขันแล้ว บัดนี้มู่ชิงอีไม่มีบ้านให้กลับอีกต่อไป โชคดีที่คุณชายอวิ๋นอิ่นเก็บข้ามาเลี้ยง”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มบางพลางส่ายหน้ากล่าว “ใช่ที่ไหนกัน หากถูกใจแม่นางมู่ล่ะก็ บุรุษในใต้หล้าคงรู้สึกเป็นเกียรติมากถึงจะถูก” ความจริงตอนอยู่แคว้นหวาเว่ยอู๋จี้อยู่ในฐานะคนนอกเหตุการณ์ ถึงแม้จะเข้าไปยุ่มย่ามอยู่บ้างแต่กลับไม่ได้เข้าไปพัวพันด้วยเสียทีเดียว ดังนั้นเขาจึงมองออกมากกว่าคนอื่นๆ เขาย่อมรู้ดีว่าตอนนี้เป็นช่วงตกอับของบุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหว เรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นหวาแต่งตั้งตำแหน่งองค์หญิงหมิงเจ๋อให้ด้วยพระองค์เองนั้นไม่ได้ดูธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกแน่นอน อวิ๋นอิ่นช่างสายตาหลักแหลมนัก
เว่ยอู๋จี้กวาดตามองมู่ชิงอี ลังเลใจครู่หนึ่งถึงเปิดปากเอ่ย “ความจริงวันนี้ข้ามีเรื่องอยากขอให้แม่นางมู่ช่วย”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่น “หากคุณชายเว่ยจะพูดถึงเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆา เกรงว่ามู่ชิงอีคงช่วยอะไรไม่ได้”
เว่ยอู๋จี้ส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ถกกับคุณชายอวิ๋นอิ่นแล้ว ข้าไม่กล้ารบกวนแม่นางมู่ เพียงแต่…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปล่วงเกินอะไรคุณชายอวิ๋นอิ่นเข้า เหมือนว่าหลายปีมานี้คุณชายอวิ๋นอิ่นจะเข้าใจอะไรผิดในตัวข้าไปมาก ดังนั้นข้าถึงอยากขอให้แม่นางมู่ช่วยข้าที หากสามารถช่วยคลายปมความเข้าใจผิดแล้วทำให้อยู่กันอย่างสันติสุขได้ล่ะก็ แบบนี้จะไม่ใช่เรื่องที่ดีกว่าหรือ”
หลายปีมานี้เว่ยอู๋จี้ถูกอวิ๋นอิ่นเล่นงานจนกลัดกลุ้มไม่น้อย เขามั่นใจว่านับตั้งแต่อวิ๋นอิ่นปรากฏตัวมา ตนไม่เคยล่วงเกินเขาเลยสักครั้ง แต่อวิ๋นอิ่นกลับหาเรื่องเดือดร้อนให้ตระกูลเว่ยไม่หยุดหย่อน บางครั้งเว่ยอู๋จี้ก็คิดอยากทุ่มสุดแรงจัดการฆ่าอวิ๋นอิ่นให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย แต่เขาจะทำแบบนั้นไม่ได้ อวิ๋นอิ่นตัวคนเดียวทำอะไรย่อมสะดวกสบายกว่า แต่เบื้องหลังเขายังมีตระกูลเว่ยที่ยิ่งใหญ่และหันเสวี่ยโหลวอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยฝีมือวิทยายุทธของเขาแล้ว ต่อให้หันเสวี่ยโหลวทุ่มสุดแรงก็ใช่ว่าจะสามารถปลิดชีพเขาได้สักหน่อย หากเขานึกแก้แค้นขึ้นมาล่ะก็ ตนคงยิ่งได้ไม่คุ้มเสียซะมากกว่า