สาวงามเช่นนี้…เห็นทีสมญานามสาวงามอันดับหนึ่งในยุทธภพของเซวียไฉ่อีคงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว จากนั้นก็มีคนไม่น้อยมองไปทางเซวียไฉ่อีอย่างนึกเห็นใจ เขาไม่ให้ดูก็รั้นอยากจะดู ตอนนี้พอได้เห็นแล้วกลับเป็นการสร้างความอับอายให้ตัวเองแทนมากกว่ากระมัง
“องค์หญิงหมิงเจ๋อช่างงดงามมากจริงๆ คุณชายอวิ๋นอิ่นช่างมีบุญนัก” เว่ยอู๋จี้เอ่ยชื่นชมเสียงเบา
มู่ชิงอีเหลือบมองเว่ยอู๋จี้ที่กลัวว่าเรื่องจะยังไม่วุ่นวายพอแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ เว่ยอู๋จี้กลับยิ้มบางด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ใช่ว่าเขาอยากดูเรื่องสนุกๆ เสียทีเดียว คำพูดประโยคนี้เขาชื่นชมจากใจจริง ถึงแม้รูปโฉมของมู่ชิงอีตรงหน้าจะไม่เปลี่ยนไปเลย แต่รัศมีกลับเปล่งประกายมากกว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อครั้งตอนอยู่เมืองหลวงในคราวนั้นเสียอีก องค์หญิงหมิงเจ๋อของเมืองหลวงแคว้นหวาในอดีตก็งามอยู่หรอก ทว่ากลับให้ความรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป แต่อากัปกิริยาของสาวน้อยตรงหน้ากลับดูสง่างามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บุคลิกเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ในยุทธภพ เพราะต่อให้เป็นตระกูลทรงอิทธิพลธรรมดาหรือเชื้อพระวงศ์ก็ใช่ว่าจะสามารถปลูกฝังสั่งสอนออกมาเช่นนี้ได้ คิดว่าต้องเป็นพื้นเพและนิสัยของตระกูลผู้มีความรู้ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคนเท่านั้นถึงจะทำได้ เพียงแต่จวนซู่เฉิงโหวสามารถสั่งสอนเลี้ยงดูบุตรสาวออกมาได้ขนาดนี้ก็นับว่าน่าทึ่งมากจริงๆ
หลังจากเว่ยอู๋จี้เรียกชื่อองค์หญิงหมิงเจ๋อก็ยิ่งเรียกสายตาของทุกคนมาจับจ้องบนร่างนาง คนในยุทธภพไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก ดังนั้นคนที่รู้ว่าองค์หญิงหมิงเจ๋อเป็นใครจึงมีน้อยนัก แต่คำเรียกองค์หญิงย่อมรู้กันดีว่าเป็นธิดาของฮ่องเต้ เห็นทีจะมีสถานะสูงส่งดั่งที่ว่าไว้จริงๆ
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง เลิกคิ้วเอ่ย “คุณชายเว่ยชมกันเกินไปแล้ว แต่…หากคุณชายเว่ยชื่นชมหญิงอื่นเช่นนี้เป็นปกติ ก่อนหน้านี้แม่นางเชียนหลิงคงปวดใจไม่น้อย”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มขมขื่นอย่างระอาใจ หญิงผู้นี้ไม่ยอมเสียเปรียบเลยจริงๆ “เชียนหลิงเป็นคนอ่อนไหวง่าย หากล่วงเกินที่ใดไป แม่นางโปรดอภัยให้ด้วยเถิด”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร แค่คุณชายเว่ยไม่ติดใจอะไรก็พอแล้ว” นางกับเชียนหลิงไม่ได้เป็นมิตรหรือผูกแค้นพยาบาทต่อกัน หากเห็นแล้วไม่ขัดตาก็มองไป แต่หากเห็นแล้วขัดตาก็ช่างปะไร ขอแค่เว่ยอู๋จี้คิดว่าไม่เป็นปัญหาก็พอ
เซวียไฉ่อีที่ถูกทิ้งอยู่อีกฝั่งสีหน้าเปลี่ยนทันควัน ครั้นหันไปมองมั่วเวิ่นฉิงก็เห็นว่าเขาไม่รีบร้อนจากไปไหนแล้ว อีกทั้งกำลังกวาดตามองมู่ชิงอีอยู่ด้วย ฉับพลันก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม เอ่ยยิ้มเสียงเย็นชาว่า “ความสัมพันธ์ของคุณชายเว่ยกับอวิ๋นฮูหยินไม่เลวเลยจริงๆ”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “เจอกันไม่กี่ครั้ง แบบไหนที่เรียกว่าไม่เลวหรือ อีกอย่างต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับคุณชายเว่ยจะดีมาก แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าสำนักเซวียด้วยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น…” มู่ชิงอีมองไปทางเซวียไฉ่อีแล้วยิ้มเย้ยกล่าว “ความจริงความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจ้าสำนักมั่วก็ไม่เลวเช่นกัน เจ้าสำนักมั่วสบายดีหรือไม่เล่า”
ความเย็นชาที่ปรากฏบนใบหน้าของมั่วเวิ่นฉิงจางลงเล็กน้อย พยักหน้ากล่าว “แม่นางมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้ มั่วเวิ่นฉิงไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต”
ครั้นเห็นสีหน้าเซวียไฉ่อีดูย่ำแย่ลงกว่าเดิม มู่ชิงอีก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ปกตินางไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิง เกิดเป็นหญิงใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ก็ยากพอแล้ว เหตุใดยังต้องสร้างความทุกข์ใจต่อกันอีกเล่า แต่คนที่อารมณ์หงุดหงิดอย่างเซวียไฉ่อีดันพานโกรธผู้หญิงรอบข้างไปด้วยเช่นนี้คงยากหากไม่ให้นางผุดความชิงชังขึ้นมาเลย
เซวียไฉ่อีกัดฟันแน่น ขณะที่นางขยับนิ้วเล็กน้อยแต่ยังไม่ทันขยับตัวก็ถูกมือเย็นเฉียบข้างหนึ่งคว้าเอาไว้ก่อน ครั้นหันไปก็เห็นสีหน้าเย็นยะเยือกของมั่วเวิ่นฉิง “หากเจ้าไม่ต้องการมือข้างนี้แล้วก็ลองลงมือดูเถิด”
“เจ้า…มั่วเวิ่นฉิง ข้าไม่ยอมแพ้หรอก!” ภายใต้สายตาเยาะเย้ยมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเต็มไปหมดเช่นนี้ ในที่สุดเซวียไฉ่อีก็กัดฟันวิ่งหนีลงบันไดไปอย่างคุมตัวเองไม่อยู่
มั่วเวิ่นฉิงขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก จากนั้นก็มองมู่ชิงอีที่นั่งอยู่อีกด้านแวบหนึ่ง มั่วเวิ่นฉิงลังเลใจครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวเดินลงบันไดไป ตอนนี้เขามีเรื่องวุ่นวายรุมเร้าเลยไม่เหมาะจะสร้างปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใคร โดยเฉพาะมู่ชิงอีที่ไม่มีวิทยายุทธติดตัว
มู่ชิงอีย่อมเข้าใจความหมายของมั่วเวิ่นฉิง หลังจากตระหนักขึ้นได้ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าคนอย่างมั่วเวิ่นฉิงไม่ใช่คนที่จะสมรู้ร่วมคิดกับมู่หรงอวี้ได้เลย พอขบคิดดูแล้ว มู่ชิงอีถึงเอ่ยถามขึ้นว่า “มั่วเวิ่นฉิงกับกงอ๋องมู่หรงอวี้แห่งแคว้นหวามีความสัมพันธ์ใดกันหรือ”
พวกเขาสามคนที่นั่งอยู่ต่างชะงักไปราวกับไม่เข้าใจว่ามู่ชิงอีถามถึงใคร ฮั่วซูส่ายศีรษะ ข่าวสารของเมืองเทียนเชวียไม่ได้ละเอียดขนาดนั้น เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้วแล้วมองมู่ชิงอีพลางครุ่นคิดกล่าว “แม่นางมู่ถามเรื่องนี้ทำไมหรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าก็แค่ถามดูเฉยๆ”
เว่ยอู๋จี้ส่ายศีรษะกล่าว “บอกตามตรงเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน เย่าหวังกู่ยังถือเป็นเรื่องลึกลับต่อคนภายนอก คนที่ไม่ได้เป็นศิษย์ของเย่าหวังกู่ก็เข้าไปไม่ได้ ดังนั้นคนที่รู้เรื่องเย่าหวังกู่ได้ย่อมไม่ธรรมดา ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสำนักมั่วและมู่หรงอวี้…เหตุใดแม่นางถึงคิดว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกันเล่า”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “หากพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน ด้วยนิสัยของมั่วเวิ่นฉิงจะช่วยชีวิตมู่หรงอวี้ได้เช่นไร”
เรื่องที่มั่วเวิ่นฉิงช่วยชีวิตมู่หรงอวี้ เว่ยอู๋จี้ย่อมรู้อยู่แล้ว ตอนนั้นเขาเป็นคนเอาตัวมู่หรงอวี้ออกมาจากวังเอง แล้วเขาจะไม่รู้เหตุการณ์ของมู่หรงอวี้ในตอนนั้นได้เช่นไร แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงอีจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย
ไท่สื่อเหิงที่อยู่ด้านข้างเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าสำนักมั่วเป็นอะไรกับมู่หรงอวี้นั้นข้าไม่รู้ แต่…เจ้าสำนักเย่าหวังกู่คนก่อน หรือก็คือบิดาของเจ้าสำนักมั่วเคยอาศัยอยู่ในแคว้นหวาระยะหนึ่ง อีกทั้ง…หากว่ากันเรื่องอายุแล้ว เจ้าสำนักมั่วก็น่าจะเกิดในช่วงเวลานั้นพอดี อีกเรื่องก็คืออดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ครองตัวเป็นโสดจนวันตายด้วย”
“มั่วเวิ่นฉิงเป็นคนแคว้นหวาหรือ”
“เป็นไปได้สูงที่มารดาของเจ้าสำนักมั่วจะเป็นคนแคว้นหวา” ไท่สื่อเหิงเอ่ยพลางยักไหล่ เขารับผิดชอบในส่วนที่เขารู้เท่านั้น ส่วนการคาดเดาอื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาจินตนาการกันเองซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนทั้งสิ้น
เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “น่าสนใจ เช่นนั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่มั่วเวิ่นฉิงจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับมู่หรงอวี้ ลูกพี่ลูกน้อง…หรือกระทั่ง…” พี่น้องต่างบิดา พระสนมจูมีฝีมือการรักษาที่ไม่ธรรมดา กระทั่งแม้แต่ยาพิษอย่างหญ้าเก้าหยางสลายวิญญาณยังหามาได้ แค่นี้ก็เพียงพอจะยืนยันได้แล้วว่าไม่ได้อาศัยความสามารถของตนเองแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องมีหมอศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงคอยชี้แนะ หากคนผู้นั้นไม่ใช่อดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ เช่นนั้นจะสอดคล้องกับฝีมือการรักษาของพระสนมจูหรือ
เพียงแต่…ใครจะไปนึกว่ามั่วเวิ่นฉิงเจ้าสำนักเย่าหวังกู่คนปัจจุบันจะมีภูมิหลังเช่นนี้เล่า
ถึงแม้การคาดเดาของมู่ชิงอีจะไม่แตกต่างไปจากเว่ยอู๋จี้เท่าไร แต่มู่ชิงอีกลับไม่ได้พูดออกมา นางเพียงแค่เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายเว่ย เรื่องที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน…ไม่มีความหมาย”
เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้วแล้วมองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มกล่าว “ดูท่าทางความประทับใจที่แม่นางมู่มีต่อเจ้าสำนักมั่วจะไม่เลวเลย” หลังจากไปมาหาสู่กันหลายครั้ง เหตุใดตนถึงมองไม่เห็นความระแวงที่เก็บซ่อนเอาไว้ของมู่ชิงอีกันนะ บัดนี้นางออกหน้าพูดแทนมั่วเวิ่นฉิง เห็นได้ชัดว่าในสายตาขององค์หญิงหมิงเจ๋อ คนที่น่าจะเป็นศัตรูของนางอย่างเจ้าสำนักมั่วกลับสร้างความประทับใจให้นางมากกว่าตนเสียอีก ไม่รู้เพราะเหตุใดความคิดนี้ถึงสร้างความไม่พอใจให้คุณชายเว่ยอยู่บ้าง
เพราะการจากไปของมั่วเวิ่นฉิงเลยทำให้คนไม่น้อยพลอยแยกย้ายตามไปด้วย แน่นอนว่าพวกเขากลับเพราะมั่วเวิ่นฉิงหรือก็เพราะอยากรู้ตำแหน่งของหญ้าเซียนเก้าเมฆานั่นเอง มู่ชิงอีไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้แต่อย่างใด หรือจะกล่าวได้ว่านางกับมั่วเวิ่นฉิงรู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหากเจ้าสำนักมั่วถึงทางตันง่ายดายขนาดนั้น ก็คงเป็นโชคชะตาของเขาเอง
“มั่วเวิ่นฉิงไปแล้ว คุณชายเว่ยไม่ตามไปดูหน่อยหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วถามออกไปด้วยรอยยิ้มบาง