เว่ยอู๋จี้ยิ้มบางด้วยท่าทีไม่รีบร้อน “เหตุใดต้องใจร้อนด้วยเล่า”
“เช่นนั้นเชิญคุณชายเว่ยตามสบายเถิด” มู่ชิงอีเองก็ไม่สนใจ เว่ยอู๋จี้ครุ่นคิดบางอย่างพลางกวาดตามองนางแล้วเอ่ย “ดูเหมือนแม่นางมู่ไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไรนัก”
มู่ชิงอีเอ่ยตอบ “เรื่องนี้มีอวิ๋นอิ่นคอยจัดการอยู่แล้ว ข้าจะเสียแรงคิดมากไปทำไมเล่า”
เว่ยอู๋จี้ส่ายศีรษะอย่างระอาใจ จากนั้นก็ล้มเลิกความคิดที่จะหลอกถามสิ่งใดจากมู่ชิงอีไป
“อู๋จี้” เชียนหลิงเดินขึ้นมา จากนั้นก็ยืนชะงักอยู่ตรงหน้าบันไดพลางจับจ้องเว่ยอู๋จี้ที่กำลังสนทนากับมู่ชิงอีอย่างสนุกสนาน
ครั้นเห็นสายตาโกรธเคืองของนาง ชั่ววินาทีนั้นมู่ชิงอีก็รู้สึกเอือมระอาขึ้นมาทันที คนที่อยู่ในแวดวงการค้าเดินทางไปทั่วหล้าเห็นโลกมามากอย่างเว่ยอู๋จี้ย่อมมีความคิดต่อเรื่องมากมายเป็นของตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาไม่ใช่คนที่พอพูดไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเฉไฉไร้สาระอย่างหรงจิ่น ถือว่าเขาเป็นคู่สนทนาที่ไม่เลวเลยจริงๆ แต่ต่อให้เป็นคู่สนทนาที่ไม่เลวก็ใช่ว่าจะทนคู่หมั้นที่เอาแต่ตามหึงหวงเขาแบบนี้ไหว มู่ชิงอีรู้สึกว่าทางที่ดีควรรักษาระยะห่างจากผู้ชายที่มีเจ้าของเช่นนี้ไว้จะดีกว่า
ครั้นเห็นสีหน้าของมู่ชิงอี เว่ยอู๋จี้ก็เข้าใจทันทีว่านางคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็ลูบจมูกปอยๆ แล้วลุกขึ้นเข้าไปประคองร่างของเชียนหลิง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “พักผ่อนอยู่มิใช่หรือ เหตุใดถึงออกมาได้เล่า”
เชียนหลิงขบริมฝีปากเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำ “ข้าตื่นมาไม่เห็นเจ้าเลยออกมาหาเจ้า นี่คือ…” เว่ยอู๋จี้ยิ้มกล่าว “นี่คือแม่นางมู่ว่าที่ฮูหยินของคุณชายอวิ๋นอิ่น พวกเจ้าเคยเจอกันมาก่อนแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าคำว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นสี่คำนี้ส่งผลต่อเชียนหลิงอย่างเหนือความคาดหมาย นางแอบอิงข้างกายของเว่ยอู๋จี้ด้วยท่าทีหวาดกลัวแล้วมองไปทางมู่ชิงอี “มู่…องค์หญิงหมิงเจ๋อหรือ” ในเมื่อถูกเขาใช้ดาบแทงทะลุทรวงอก ยามได้ยินชื่อนี้ย่อมหวาดกลัวเป็นธรรมดา ดูจากปฏิกิริยาของเชียนหลิงน่าจะควบคุมอารมณ์อยู่ด้วยซ้ำ
มู่ชิงอีเงยหน้ามองนางด้วยกิริยางดงามพร้อมรอยยิ้ม “แม่นางเชียนหลิง เจอกันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้ไปร่วมงานมงคลของแม่นางเชียนหลิงกับคุณชายเว่ยเมื่อไร ถึงตอนนั้นอย่าลืมบอกข้ากับอวิ๋นอิ่นเล่า”
เชียนหลิงสีหน้าแดงระเรื่อแล้วงุดหน้าลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างขวยเขิน “ขอบคุณแม่นางมู่…น่าจะอีกไม่นานแล้วกระมัง ยินดีกับแม่นางมู่และคุณชายอวิ๋นอิ่นด้วยเช่นกัน”
มู่ชิงอีมองหญิงสาวเผยท่าทีเหนียมอายตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วมองไปทางเว่ยอู๋จี้ปนเย้าแหย่ เว่ยอู๋จี้ส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะบอกลาพวกมู่ชิงอีแล้วประคองร่างเชียนหลิงหมุนตัวเดินลงบันไดไป
บนถนนด้านล่างมีเสียงกีบม้าวิ่งอย่างพร้อมเพรียงกันดังแว่วมา มู่ชิงอีเลิกคิ้ว ถึงขั้นขี่ม้าในเขตเมืองได้คิดว่าต้องเป็นคนที่มีสถานะไม่ธรรมดาแน่นอน
ไท่สื่อเหิงมองออกนอกหน้าต่างไปแวบหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ย “ดูท่าทางชื่อเสียงของหญ้าเซียนเก้าเมฆาจะโด่งดังสมคำร่ำลือจริงๆ แม้แต่คนของเชื้อพระวงศ์ยังมาด้วย” มู่ชิงอีลุกขึ้นเดินไปริมหน้าต่าง หรงหวงกับหรงเซวียนต่างก็พากลุ่มองครักษ์ของตัวเองขี่ม้าเร็วมาที่นี่ตามคาดจริงๆ ต่อให้คนในยุทธภพจะไม่สนใจคนในราชสำนักแต่ก็ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถึงแม้พวกเขาสองคนจะพาองครักษ์ขี่ม้าเร็วเข้าเมืองมา แต่กลับไม่มีใครกล้าออกมาห้ามปรามพวกเขาสักคน
ไท่สื่อเหิงขมวดคิ้วกล่าว “สองคนนี้…คงจะเป็นจื้ออ๋องกับจวงอ๋องกระมัง” องค์ชายของฮ่องเต้แคว้นหวาอายุค่อนข้างต่างกันมาก อายุขององค์ชายใหญ่มากกว่าองค์ชายเก้า องค์ชายสิบ องค์ชายสิบเอ็ดไม่น้อย ซึ่งสอดคล้องกับสถานะของพวกเขาสองคนตรงหน้า ฉะนั้นก็คงมีเพียงองค์ชายใหญ่จื้ออ๋องและองค์ชายรองจวงอ๋องแล้ว
มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว “เป็นพวกเขาสองคนจริงๆ”
ไท่สื่อเหิงขมวดคิ้วพลางมองพวกเขาสองคนหยุดม้าตรงด้านนอกประตูหอมู่หวาก่อนเอ่ย “พวกเขาสองคนควรจะไปพักผ่อนที่จวนผู้ว่าราชการมิใช่หรือ เหตุใดถึงมาโผล่ที่โรงเตี๊ยมได้เล่า”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “คงเพราะในโรงเตี๊ยมคนเยอะกว่า”
ไม่รู้ว่าปีนี้ผู้ดูแลหอมู่หวาดวงดีเป็นอย่างมากหรือดวงซวยกันแน่ บุคคลใหญ่โตที่ต่อให้วิงวอนเช่นไรก็ไม่มีทางมาได้ในยามปกติกลับแวะเวียนมาตลอดสองสามวันนี้ไม่ขาดสาย ภายใต้ความรู้สึกดีอกดีใจนี้กลับสร้างความหวาดผวาในใจให้แก่ผู้ดูแลไปพร้อมกัน ควรรู้ก่อนว่าแต่ละคนไม่น่าเย้าแหย่ด้วยเลยสักนิด ยิ่งสองคนที่มาเยือนในวันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะพวกเขาเป็นองค์ชายแห่งราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นสององค์ชายที่มีความสามารถมากที่สุดด้วย
จากนั้นผู้ดูแลก็เดินนำพวกเขาสองคนเข้ามามุ่งหน้าไปทางห้องส่วนตัวด้วยท่าทีระมัดระวัง หรงหวงมุ่นคิ้วทรงดาบเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ไม่ต้องหรอก พวกเรานั่งด้านนอกก็ได้แล้ว”
ผู้ดูแลรีบยิ้มรับเอ่ย “จะทำแบบนั้นได้เช่นใดพ่ะย่ะค่ะ ด้านนอกเสียงดังเซ็งแซ่ หากเผลอล่วงเกินท่านอ๋องทั้งสองขึ้นมาเล่า”
หรงเซวียนเอ่ยอย่างหงุดหงิด “พูดจาเหลวไหลอันใดกัน ข้าอยู่ขอบชายแดนเจอมาทุกสภาพแวดล้อมแล้ว ยังต้องกลัวเสียงดังอื้ออึงแค่นี้ด้วยหรือ” ไม่ว่านิสัยที่แท้จริงจะเป็นเช่นไร แต่ในบรรดาองค์ชายของแคว้นเย่ว์กลับมีน้อยคนนักที่จะไม่เคยเผชิญความลำบาก เพราะเดิมทีการเป็นโอรสของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ลำบากมากพอแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหรงหวงหรือหรงเซวียนต่างก็ไม่ใช่องค์ชายเอาแต่ใจที่รักแต่ความสบายเสียทีเดียว
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้เลย”
ผู้ดูแลทำได้แค่เชิญพวกเขาทั้งสองไปยังโต๊ะมุมที่สงบที่สุดตรงมุมหนึ่งด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายใจ จากนั้นก็ไปตระเตรียมอาหารให้ด้วยตนเอง
เดิมทีโรงเตี๊ยมก็เป็นสถานที่ที่มีคนสัญจรไปมาพลุกพล่านอยู่แล้ว ฉะนั้นหรงหวงและหรงเซวียนไม่มีทางคุยเรื่องความลับอะไรที่นี่แน่นอน เพียงแค่นั่งจิบชาพลางพูดคุยสัพเพเหระกันเท่านั้น พวกมู่ชิงอีที่นั่งอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากพวกเขานักก็ไม่ได้เหล่มองพวกเขาแต่อย่างใด และด้วยอายุของพวกเขาสองคนได้ล่วงเลยช่วงวัยหนุ่มที่ชื่นชอบความงามไปแล้ว ฉะนั้นมู่ชิงอีที่สวมผ้าปิดหน้ากลับเข้าไปใหม่จึงไม่ได้ดึงดูดสายตาพวกเขานัก
รอกระทั่งหรงจิ่นที่พาเทียนเฉวียนหายตัวไปพักใหญ่สาวเท้าขึ้นบันไดมา เพียงแวบเดียวเขาก็มองเห็นหรงหวงและหรงเซวียนที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งริมหน้าต่างแล้ว ถึงแม้พวกเขาทั้งสองจะไม่ใช่คนช่างเลือก แต่ท่าทีเย่อหยิ่งในคราบความเป็นองค์ชายกลับไม่ได้จางหายไปเลย แถมยังใส่ชุดคลุมสีทองอร่ามที่สื่อถึงตำแหน่งอ๋องราวกับเกรงว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นองค์ชายอย่างไรอย่างนั้น
หรงจิ่นเลิกคิ้วมองมู่ชิงอีที่ส่งยิ้มบางมาให้ตนจากมุมที่ไม่ไกลนัก อีกทั้งมู่ชิงอียังเม้มริมฝีปากอมยิ้มพลางเหลือบมองหรงหวงและหรงเซวียนที่อยู่ห่างไม่ไกลจากตนแวบหนึ่งเช่นกัน
คนอย่างหรงจิ่น เดิมทีไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ล้วนตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นอยู่ร่ำไป ถึงแม้จะสวมหน้ากากจนมองไม่เห็นใบหน้า แต่อานุภาพกลิ่นอายที่ชวนให้หายใจไม่ออกเช่นนั้นกลับดึงดูดความสนใจจากทุกคนเหลือเกิน
หรงหวงและหรงเซวียนที่เดิมทีสนทนากันอย่างออกรสต่างพากันชะงักไปแล้วกวาดตามองหรงจิ่นครู่หนึ่ง หรงเซวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย นั่งดื่มสุราด้วยกันก่อนไหมเล่า”
หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วตอบกลับไปเสียงเรียบ “ขอบคุณยิ่งนัก แต่ไม่เป็นไรดีกว่า” ครั้นพูดจบก็เดินวางมาดตรงไปนั่งข้างกายมู่ชิงอี เอ่ยถามเสียงนุ่มนวล “วันนี้ชิงชิงเป็นเช่นใดบ้างหรือ”
มู่ชิงอีพยักหน้ายิ้มกล่าว “ดูเรื่องสนุกๆ ไปรอบหนึ่ง ไม่เลวทีเดียว”
หรงจิ่นดวงตาเป็นประกาย อมยิ้มเอ่ย “หืม เรื่องสนุกๆ แบบไหนกันถึงทำให้ชิงชิงดูมีความสุขได้ขนาดนี้”
มู่ชิงอีแค่นเสียงเบาใส่แต่ไม่ได้คิดจะอธิบายเขาแต่อย่างใด ฮั่วซูที่อยู่ด้านข้างได้รับแววตาฉงนของหรงจิ่นเลยรีบรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟังเสียงเบา หรงจิ่นขมวดคิ้วมุ่นยิ้มเยาะเอ่ย “ที่แท้ก็เซวียไฉ่อีผู้หญิงคนนั้นนี่เอง”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “เจ้าสำนักไฉ่อีสมฉายาสาวงามอันดับหนึ่งในยุทธภพเสียจริง ทำไมหรือ คุณชายอวิ๋นอิ่นกับนางเคยไปมาหาสู่กันหรือไร”
หรงจิ่นยิ้มเย้ย “หากนางแต่งงานเร็ว ป่านนี้บุตรชายของนางคงอายุพอๆ กับข้าแล้ว ข้าจะไปมาหาสู่กับนางได้อย่างไรเล่า”