กึ่งกลางเรือนขนาดกว้างขวาง หรงเซวียนหรี่ตามองหรงจิ่นที่โบกพัดไปมาด้วยสีหน้าผ่อนคลายอย่างเย็นชา ฉับพลันก็นึกไม่ชอบใจขึ้นมา ถึงแม้จะอายุล่วงเลยสี่สิบมาแล้ว แต่นิสัยของหรงเซวียนก็ยังไม่ค่อยดีเช่นเคย ยิ่งถูกคนในยุทธภพที่อายุน้อยกว่าดูแคลนใส่ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเช่นนี้ หรงเซวียนก็ยิ่งไฟโทสะปะทุ
“เชิญคุณชายอวิ๋นอิ่นเถิด” หรงเซวียนเอ่ย
“ท่านก่อนเลย” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ ถึงแม้ดูอย่างไรการลงไม้ลงมือกับหรงเซวียนก็เหมือนรังแกเขา แต่หรงจิ่นคิดว่าตนก็ควรแสดงบุคลิกให้สมกับเป็นยอดฝีมือบ้างถึงจะถูก เช่นนั้นคนที่มีวิทยายุทธกระจอกๆ ก็เริ่มก่อนเถิด
น่าเสียดายที่หรงเซวียนกลับไม่คิดรับน้ำใจนี้เลยสักนิด เอ่ยเสียงขรึม “ข้าอยากเห็นมีดซิวหลัวของคุณชายอวิ๋นอิ่นยิ่งนัก”
หรงจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดจะจัดการปลิดชีพหรงเซวียนในตอนนี้ ดังนั้น… “หากมีดซิวหลัวของกระหม่อมออกโรงคงต้องเจอเลือด อีกอย่าง…หากท่านสามารถบีบให้กระหม่อมเอามีดออกมาใช้ได้ ก็ถือว่าท่านเป็นฝ่ายชนะ”
“เหิมเกริมนัก!” หรงเซวียนตวาดเสียงลั่น พอดาบยาวในมือถูกชักออกมาก็พุ่งเข้าใส่หรงจิ่นทันที หนานกงเจวี๋ยเกิดมาในตระกูลนักรบ วิทยายุทธของเขานั้นยิ่งใหญ่และมีกระบวนท่าที่ทรงพลัง แค่มองก็รู้ว่าเป็นกระบวนท่าจากสำนักชื่อดัง ดังนั้นหรงเซวียนที่ได้เขาเป็นคนสอนมากับมือย่อมได้เรียนรู้วิทยายุทธอย่างละเอียดทุกกระบวนท่าโดยไม่ได้ต่างไปจากหนานกงเจวี๋ยเลย น่าเสียดายที่กระบวนท่าที่เหมือนกันพอมาตกอยู่มือของหรงเซวียนแล้วกลับไม่ได้ดูน่าเกรงขามเลยสักนิด ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความแข็งแกร่งอ่อนแอของกำลังภายในและทักษะกระบวนท่าแต่อย่างใด แต่หรงเซวียนกลับขาดใจรักในการต่อสู้อย่างหนานกงเจวี๋ยโดยสิ้นเชิง
กระบวนท่าที่เหมือนกัน หากหนานกงเจวี๋ยเป็นผู้ปล่อยออกมาคงสร้างภัยคุกคามให้แก่หรงจิ่นบ้าง แต่สำหรับเขาแล้วกระบวนท่าของหรงเซวียนกลับดูกระจอกมีช่องโหว่มากมายเต็มไปหมด ทว่าหรงจิ่นไม่ได้รีบอยากล้มหรงเซวียนเร็วขนาดนั้น เขาแค่เบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไวราวกับกลีบเมฆสีดำไปตามกระบวนท่าของหรงเซวียนก็เท่านั้น บางครั้งหากหรงเซวียนคุกคามเขาได้จริงๆ ถึงจะยกมือขึ้นขวางไว้ด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่เวลาส่วนมากเขามักมองกระบวนท่าของหรงเซวียนเหมือนการแสดงลิงด้วยความสนใจมากกว่า
หรงเซวียนถูกเขาแสดงท่าทีดูแคลนใส่จนคำรามขึ้นด้วยความโกรธ จากนั้นกระบวนท่าที่ปล่อยออกมาก็หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ตวัดดาบเสียงดัง เคร้ง! ติดต่อกันสามครั้งเพื่อโจมตีหรงจิ่น ทว่าหรงจิ่นกลับยิ้มบางแล้วเบี่ยงหลบได้อย่างง่ายดาย จากนั้นร่างก็หายวับไปโผล่อยู่ด้านหลังหรงเซวียน เวลานี้หรงเซวียนตระหนักได้ถึงความผิดปกติของหรงจิ่นแล้ว เขาไม่กล้าวอกแวกแล้วจัดการงัดวิทยายุทธที่ท่านน้าเคยสอนให้ตนทั้งหมดออกมา ถือว่าก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดูย่ำแย่เกินไปนัก
“คุณชายอวิ๋นอิ่น...กำลังสังเกตกระบวนท่าของจวงอ๋องอยู่หรือ” หลังจากดูไปสักพัก ในที่สุดไท่สื่อเหิงก็มองแผนการของเขาออก เขาย่อมรู้สถานะของหรงเซวียนอยู่แล้ว เลิกคิ้วเอ่ย “ที่แท้เป้าหมายของคุณชายอวิ๋นอิ่นก็คือหนานกงเจวี๋ยเองหรอกหรือ”
ก็จริง ยอดฝีมืออันดับต้นๆ อย่างอวิ๋นอิ่นจะสนใจประลองฝีมือกับคนอย่างหรงเซวียนได้เช่นไร ถึงแม้วิทยายุทธของหรงเซวียนจะโดดเด่นที่สุดในบรรดาลูกหลานเชื้อพระวงศ์ แถมเก่งกาจในสมรภูมิรบด้วย แต่ในยุทธภพอย่างมากก็เป็นแค่ยอดฝีมือลำดับรองๆ เท่านั้น นับว่าสร้างความอับอายให้แก่วิทยายุทธของหนานกงเจวี๋ยเสียจริง
ฮั่วซูลูบคางเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “คนที่มีสิทธิ์ประลองฝีมือกับคุณชายของเราได้ต้องเป็นยอดฝีมือที่ไม่ธรรมดา และหนานกงเจวี๋ยย่อมเป็นหนึ่งในนั้น” ส่วนหรงเซวียนอย่างมากก็เป็นแค่คนฝีมือไม่เอาไหนที่ล้มได้โดยไม่ต้องออกแรงสักนิด
รอกระทั่งหรงจิ่นดูพอแล้วถึงถอยมาอยู่อีกฝั่งอย่างรวดเร็ว หรงเซวียนจับจ้องหรงจิ่นที่ยังคงแสดงท่าทีผ่อนคลายด้วยสีหน้าเกรี้ยวโกรธพร้อมเสียงลมหายใจที่หอบถี่
“ดูท่าทางหนานกงเจวี๋ยก็ไม่ได้สอนอะไรท่านมากมายเท่าไร” หรงจิ่นเอ่ยอย่างผิดหวัง “ในเมื่อท่านงัดท่ามาหมดแล้ว ต่อไปก็ตากระหม่อม”
หรงเซวียนยังไม่ทันได้สติพอที่จะคิดทบทวนความหมายที่เขาพูดก็เห็นเงาสีดำกระโจนเข้ามาใส่ตน จากนั้นก็ปล่อยหมัดใส่หน้าเสียงดัง พลั่ก! หรงเซวียนไม่ทันแม้แต่จะต้านแรงเขาไว้ได้ทัน แถมยังโดนหรงจิ่นเหวี่ยงพัดในมือใส่เสียงดัง พรึ่บ! จนใบหน้าของเขาแดงเป็นรอยยาว
“น้องรอง…” หรงหวงขมวดคิ้วหมายจะพุ่งเข้าไปหา ทว่ากลับถูกไท่สื่อเหิงและฮั่วซูประกบข้างซ้ายขวารั้งเขาไว้ ถึงแม้ภายในใจเขาปรารถนาอยากให้น้องชายผู้นี้ตายไปในเร็ววันใจจะขาด แต่หากหรงเซวียนถูกอวิ๋นอิ่นจัดการต่อหน้าต่อตาเขาแบบนี้ เกรงว่ากลับเมืองหลวงไปคงให้ความกระจ่างไม่ได้
ฮั่วซูเอ่ยเสียงเรียบ “หากท่านอ๋องไม่อยากพลอยเดือดร้อนไปด้วยก็อย่าเข้าไปเลยจะดีกว่า คุณชายของเราจะฮึกเหิมเวลาประลองฝีมือ หากยังไม่สาแก่ใจเขาล่ะก็ จับใครได้เขาก็จะจัดการคนนั้นแทน”
หรงหวงมองน้องรองที่ถูกคุณชายอวิ๋นอิ่นซัดจนใกล้เละเป็นก้อนจนไร้หนทางหนีแล้วก็ลอบสะท้านในใจ พลันคิดว่า ช่างเถิด เขาเกิดมาจากตระกูลผู้มีความรู้ ย่อมสู้คนเนื้อหนาหยาบกร้านอย่างน้องรองไม่ได้
“หยุด…หยุดนะ!” ในที่สุดจวงอ๋องหรงเซวียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าอะไรคือการไม่ประมาณตนเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาที่มีพละกำลังต่อสู้แข็งแกร่งในสมรภูมิรบ แสนภาคภูมิในบรรดาเหล่าพี่น้ององค์ชายทั้งหมด แต่เบื้องหน้าคนที่อายุน้อยกว่าเขามากผู้นี้กลับไม่มีโอกาสตอบโต้กลับเลยด้วยซ้ำ
หรงจิ่นละเลงฝีมือใส่ไม่ยั้งอย่างฮึกเหิม เขาจะหยุดง่ายๆ ได้เช่นไรเล่า ครั้นมู่ชิงอีเห็นว่าหากทำเกินไปกว่านี้คงไกล่เกลี่ยสถานการณ์ได้ยาก เลยเอ่ยเตือนเสียงเบา “อวิ๋นอิ่น พอแล้ว”
หรงจิ่นเก็บหมัดและเท้ากลับอย่างไม่สบอารมณ์ พลางมองหรงเซวียนที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาอย่างทุรนทุรายแวบหนึ่งอย่างไม่ชอบใจนัก เลิกคิ้วเอ่ย “จวงอ๋องหรือ หากวันหลังอยากประลองฝีมืออีกก็มาหากระหม่อมได้ทุกเมื่อ”
หรงเซวียนกัดฟันพร้อมหยัดกายลุกขึ้น เขายังไม่ทันเปิดปากพูดก็ได้ยินหรงจิ่นพูดเสียงสบายๆ ต่ออีกว่า “แน่นอนว่าหากท่านยังโมโหอยู่แล้วจะเรียกหนานกงเจวี๋ยมาช่วยแก้แค้นแทนให้ก็ย่อมได้เช่นกัน กระหม่อม…แต่ไหนแต่ไรมาก็ชอบประลองฝีมืออยู่แล้ว”
เหมือนว่าหรงเซวียนจะโกรธสุดขีด เขาอายุอานามปาไปสี่สิบกว่าปีแล้ว ถูกคนนอกอัดจนล้มไม่เป็นท่าแล้วยังต้องวิ่งแจ้นไปหาท่านน้าให้ช่วยแก้แค้นอีกหรือ หากพูดออกไปคงถูกเหล่าพี่น้องหัวเราะเยาะ ส่วนท่านน้า…เป็นเขาที่เสนอขอประลองฝีมือก่อนอีกต่างหาก เกรงว่าหากท่านน้ารู้เข้าคงสมน้ำหน้าเขามากกว่า เมื่อก่อนท่านน้าบอกแล้วว่าวิทยายุทธของเขามีแต่เปลือกนอกไร้จิตวิญญาณ หากเจอยอดฝีมือตัวจริงคงพ่ายแพ้ยับเยิน แต่เขาไม่คิดเช่นนั้น ครั้งนี้พอได้เจอกับอวิ๋นอิ่นแล้วถึงรู้ซึ้งว่าเดิมทีวิทยายุทธของตนไม่ได้เก่งกาจอย่างที่คิดไว้ เกรงว่าเมื่อก่อนสองพี่น้องตระกูลหนานกงคงอ่อนข้อให้เขามากพอดู
“คุณชายอวิ๋นอิ่นวิทยายุทธเลิศล้ำยิ่งนัก หรงเซวียนเลื่อมใสเหลือเกิน” ถึงแม้จะถูกซัดจนตัวมอมแมมไปหมด แต่หรงเซวียนกลับไม่ได้ปะทุอารมณ์ตวาดใส่ข่มขู่อวิ๋นอิ่นแต่อย่างใด เขาเป็นคนที่เคยเข้าร่วมศึกสงครามมาก่อนย่อมรู้ว่าความสามารถก็เท่ากับชีวิต ถึงแม้จะสู้อีกฝ่ายไม่ได้จนรู้สึกขายหน้า แต่อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าอวิ๋นอิ่นผู้นี้มีสิทธิ์ที่จะหยิ่งผยองจริงๆ
“เกรงใจแล้ว” หรงจิ่นมองเขา สุดท้ายถึงเปล่งคำพูดออกมาไว้หน้าบ้าง
ครั้นเสียหน้าไปมากแล้ว อีกทั้งทั่วทั้งร่างยังระบม หรงเซวียนจึงไม่คิดอยู่ต่อนาน “เช่นนั้นข้าขอตัว”
“ไม่ส่งก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าหรงเซวียนและหรงหวงจากไปแล้ว หรงจิ่นถึงลากมู่ชิงอีกลับไปที่เรือนตน ระหว่างทางก็ดูกระปรี้กระเปร่าผิดปกติ มู่ชิงอีเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “ซัดหรงเซวียนไปยกหนึ่งทำให้ท่านมีความสุขขนาดนี้เชียวหรือ”
หรงจิ่นโบกไม้โบกมืออย่างเกินจริง “ไม่ใช่เรื่องที่ว่าปะทะกับใครหรอก หลังจากขยับร่างกายแล้วอารมณ์ก็จะดีขึ้นหน่อย เหตุใดชิงชิงต้องเข้ามาขวางข้าด้วยเล่า”
มู่ชิงอีกรอกตาใส่อย่างระอาใจ “ท่านคิดจะเอาหรงเซวียนถึงตายจริงหรือ”