หรงจิ่นทำท่าตกใจ “ข้าจะเอาเขาถึงตายได้อย่างไร เขายังห่างกับคำว่าตายอีกเยอะ ข้ารู้ขอบเขตดี ต่อให้อัดไปอีกสักยี่สิบสามสิบทีก็ไม่ตายหรอก”
เอาเถิด คนธรรมดาอย่างพวกข้าคงมองเรื่องพวกนี้ไม่ออก เพราะในสายตาของคนที่รายล้อมดูอยู่ตอนนั้น ชีวิตของหรงเซวียนปางตายเต็มทีราวกับว่าหากซัดไปอีกหมัดคงสิ้นใจได้แล้ว ทว่าพอสู้เสร็จกลับลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำได้ ซึ่งบ่งบอกว่าเขาบาดเจ็บไม่หนักเท่าไรจริงๆ กระมัง
หรงจิ่นแค่นเสียงใส่ “แน่นอนว่าคงบาดเจ็บไม่หนักเท่าไร อย่างมากพรุ่งนี้ก็แค่ลุกไม่ขึ้นก็เท่านั้น หากเขาขยับตัวไม่ได้จริงๆ เรื่องสนุกๆ ในเมืองเผิงคงเปิดฉากได้ไม่น่าสนใจเท่าไร”
หลังจากกลับไปนั่งในเรือน มู่ชิงอีก็ยกแก้วชาขึ้นพลางมองหรงจิ่นแล้วเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “ท่านออกไปทำอะไรมาทั้งวันหรือเพคะ”
หรงจิ่นเอ่ยยิ้มๆ “แน่นอนว่าต้องไปสืบเรื่องเย่าหวังกู่อยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าชิงชิงไม่ได้ออกไปไหนแต่ดันบังเอิญเจอมั่วเวิ่นฉิงที่หอมู่หวาเสียได้”
“เป็นอย่างไรบ้าง” มู่ชิงอีเมินน้ำเสียงไม่พอใจของเขาไปแล้วเอ่ยถามขึ้น หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “คนของเย่าหวังกู่มาถึงเมืองเผิงแล้ว แต่…ไม่ได้พักในโรงเตี๊ยม เย่าหวังกู่เองก็มีกิจการในเมืองเผิงเช่นกัน แต่มั่วเวิ่นฉิงไม่ได้อยู่กับพวกเขา เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เราคาดเดาก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว มีคนในเย่าหวังกู่คิดก่อกบฏจริงๆ”
“เรื่องครั้งนี้เป็นฝีมือพวกเขาหรือ ทำไปเพื่ออะไรกัน” มู่ชิงอีเลิกคิ้วกล่าว
หรงจิ่นยิ้มบางเอ่ย “เพื่ออะไรน่ะหรือ บีบให้มั่วเวิ่นฉิงตายถือว่าใช่หรือไม่เล่า ตอนนี้คนทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้ว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่กับมั่วเวิ่นฉิง ต่อให้มั่ววิ่งฉิงอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าคิดว่าคนในยุทธภพจะมีใครเชื่อหรือไม่เล่า”
อย่าว่าแต่คนในยุทธภพที่ไม่เชื่อเลย แม้แต่หรงหวงและหรงเซวียนที่พวกเชื้อพระวงศ์ส่งมาคงไม่มีทางเชื่อแน่นอน ลำพังแค่เหล่าเชื้อพระวงศ์ของแคว้นเย่ว์ก็เพียงพอจะบีบให้มั่วเวิ่นฉิงไม่มีที่ซุกหัวนอนในแคว้นเย่ว์ได้แล้ว
“คนในเย่าหวังกู่ที่คิดจะหักหลังมั่วเวิ่นฉิงคือใครกัน อย่าบอกนะว่าท่านตามสืบไม่เจอ”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ข้าสืบเจอแล้ว ถัดลงมาจากตำแหน่งเย่าหวังกู่ยังมีผู้อาวุโสอีกสองคน คนหนึ่งชื่อหลิงซู อีกคนนามว่าซู่เวิ่น มั่วเวิ่นฉิงดวงซวยพอดี เพราะผู้อาวุโสสองคนนี้ดันสมรู้ร่วมคิดกัน ใช่แล้ว ตอนนี้ซู่เวิ่นก็อยู่ในเมืองเผิงด้วย”
มู่ชิงอีนวดคลึงหว่างคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “คนของเย่าหวังกู่คิดจะทำอะไรกันแน่”
หรงจิ่นเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลาย “วิธีการของเย่าหวังกู่ก็คือบอกว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาเป็นสมบัติประจำเย่าหวังกู่ ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องมันทั้งนั้น แต่มั่วเวิ่นฉิงกลับเอาหญ้าเซียนเก้าเมฆาไปที่แคว้นหวา ตอนนี้เย่าหวังกู่ต้องการทวงสมบัติประจำสำนักคืน ในเวลาเดียวกันยังเป็นการลงโทษคนอกตัญญูอย่างมั่วเวิ่นฉิงแทนอดีตเจ้าสำนักด้วย”
มู่ชิงอีที่รู้ความจริงเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาตั้งแต่แรกแล้วก็หมดคำพูด “สมบัติประจำสำนัก…พวกเขาช่างคิดได้เสียจริง”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “ถือว่าพวกเขากุข่าวขึ้นมาไม่ได้ดูเกินจริงเท่าไร ในเมื่อหากบนโลกนี้มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาจริงๆ คนที่มีโอกาสครอบครองมากที่สุดก็คือเย่าหวังกู่ ดังนั้นเกรงว่าตอนนี้ทั่วทั้งใต้หล้าคงเตรียมไล่ล่าฆ่ามั่วเวินฉิงกันแล้ว”
มั่วเวิ่นฉิงมุ่นคิ้วเอ่ย “แต่วันนี้มั่วเวิ่นฉิงยังเดินไปเดินมาด้านนอกอยู่เลย”
“มั่วเวิ่นฉิงไม่ใช่แค่มีฝีมือทางการรักษาที่เป็นเลิศ แต่เรื่องยาพิษยิ่งเก่งกาจเข้าไปใหญ่ คนทั่วไปทำอะไรเขาไม่ได้หรอก หากบุกเข้าใส่ก็มีแต่จะตายท่าเดียว อีกอย่างพวกสำนักดังๆ เหล่านั้นก็ไม่กล้าไล่ล่าฆ่าเขาอย่างเปิดเผยขนาดนั้น แต่น่าจะมีคนไม่น้อยที่คิดอยากลอง ข้าเดาว่า…คนของเย่าหวังกู่ไม่ได้คิดจะฆ่ามั่วเวิ่นฉิงแต่อยากทำลายชื่อเสียงทำให้เขากลายเป็นศัตรูของคนทั่วทั้งยุทธภพมากกว่า ซู่เวิน…หญิงผู้นั้นมีปมแค้นอะไรกับมั่วเวิ่นฉิงกันแน่ แบบนี้เหมือนนังอสรพิษชัดๆ” หรงจิ่นอุทานขึ้นมา
“ผู้อาวุโสซู่เวิ่นเป็นสตรีหรือเพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
หรงจิ่นเอ่ยพลางยิ้มตาหยี “ไม่ใช่แค่เป็นสตรีนะ แต่ยังเป็นสาวงามรุ่นใหญ่ที่มีเสน่ห์เย้ายวนคนหนึ่งเลยแหละ ข้าเดาว่าเป็นเพราะมั่วเวิ่นฉิงสลัดนางทิ้ง ซู่เวิ่นถึงได้โกรธแค้นมั่วเวิ่นฉิงขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่า…มั่วเวิ่นฉิงที่เหมือนท่อนไม้ไร้อารมณ์จะยั่วโมโหเหล่าสาวๆ ได้มากขนาดนี้ ชิงชิง เจ้าต้องอยู่ให้ห่างเขาเอาไว้ เจ้าจะได้ไม่พลอยเดือดร้อนตามไปด้วย ผู้หญิงขี้อิจฉาไม่มีสติสัมปชัญญะนักหรอก”
มู่ชิงอีทำสีหน้าหมดคำพูด จากนั้นก็จ้องเขาตาเขม็งอย่างหงุดหงิดเอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านวางแผนคิดจะทำอะไรต่อไปเพคะ”
หรงจิ่นลูบคางแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่ต้องวางแผนทำอะไรเลย บัดนี้เส้นทางไม่ห่างจากเมืองเผิงสี่ด้านรอบทิศล้วนถูกคนขวางไว้หมดรอบด้าน ด้วยวิทยายุทธของมั่วเวิ่นฉิงไม่มีทางหนีไปจากเมืองเผิงได้อยู่แล้ว อีกอย่าง…ด้วยนิสัยของมั่วเวิ่นฉิงคงไม่มีทางหลบซ่อนตัวแน่นอน ดังนั้น…ไม่นานเมืองเผิงคงคึกคักขึ้นแล้ว”
ถึงมั่วเวิ่นฉิงจะสุขุมเย็นชาแต่กลับแฝงความดื้อรั้นไว้ด้วยประมาณหนึ่งจริงๆ หากพวกเขาหาเขาไม่เจอย่อมเป็นเพราะเขาไม่อยากเจอใคร แต่ไม่ใช่เพราะเขากลัวคนอื่นจะสร้างความเดือดร้อนให้ถึงได้หลบซ่อนตัว เพียงแต่พอเป็นเช่นนี้เลยยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ พลันในใจของมู่ชิงอีก็นึกเป็นห่วงมั่วเวิ่นฉิงขึ้นมา
เมืองเผิงเป็นเมืองแห่งดอกไม้ สำหรับชาวเมืองที่นี่แล้วงานดอกไม้ต่างๆ ในแต่ละปีสำคัญกว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้ปีนี้บัณฑิตผู้มีความรู้ที่มาชมดอกไม้จะน้อยจนนับคนได้ แต่งานชมดอกเบญจมาศที่กำหนดไว้ในเดิมทีจะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด
หลายวันมานี้มีเรื่องสนุกๆ เกิดขึ้นทั้งนอกและในเมืองเผิงเรื่อยๆ แต่เรื่องสนุกๆ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นกับเพียงคนๆ เดียว…ซึ่งก็คือมั่วเวิ่นฉิง เจ้าสำนักแห่งเย่าหวังกู่
มั่วเวิ่นฉิงเจอการดักซุ่มฆ่ามาทุกรูปแบบ ถูกล้อมโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เพียงแต่คนสำนักเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงและพวกโจรป่าเท่านั้น กระทั่งมีสำนักดังๆ ไม่น้อยแอบเข้าไปร่วมวงด้วย แต่ถึงแม้วิทยายุทธของมั่วเวิ่นฉิงจะไม่ได้อยู่ในลำดับต้นๆ ทว่าฝีมือกลับเก่งกาจไม่เบา บวกกับมีวิชายาพิษเหนือใครในใต้หล้าติดตัว คนที่ตายด้วยน้ำมือของเขาจึงไม่รู้ว่ามีมากมายตั้งเท่าไร กลัวก็แต่หลังจากผ่านเรื่องเมืองเผิงไปคงผุดสมญานามเกี่ยวกับจอมมารปีศาจอะไรทำนองนั้นขึ้นมาเพิ่มให้เจ้าสำนักเย่าหวังกู่แน่นอน
เหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นติดต่อกันหลายวัน แม้แต่งานชมดอกไม้เบญจมาศที่ดูมีอารยธรรมยังชวนให้ใครต่อใครสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเลือดอยู่ร่ำไป
วันงานชมดอกเบญจมาศอากาศสดใสซึ่งเป็นวันดีๆ ที่นานๆ ทีจะเห็นสักครั้ง ประชาชนในเมืองต่างเอาดอกเบญจมาศนานาชนิดที่ตนปลูกไว้มาจัดวางริมสองข้างทางเพื่อให้ทุกคนได้เชยชมตั้งแต่เช้าตรู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบัณฑิตผู้รักดอกเบญจมาศที่มาเยือนจากแดนไกลนำเอาดอกเบญจมาศที่ตนทุ่มแรงกายแรงใจบ่มเพาะมาร่วมเสริมด้วย ราวกับเวลาเพียงชั่วข้ามคืนทั่วทั้งเมืองเผิงก็จมลงท่ามกลางมหาสมุทรดอกเบญจมาศก็มิปาน ไม่ว่าใช้สายตาทอดมองไปทางใดก็เห็นแต่ดอกเบญจมาศที่งดงามละลานตาเต็มไปหมด
ถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ด้านนอกจวนผู้ว่าราชการตั้งอยู่ใจกลางเมืองเผิงพอดิบพอดี ดังนั้นดอกเบญจมาศที่โดดเด่นและงดงามที่สุดจะถูกส่งไปเข้าร่วมในการตัดสิน ดอกเบญจมาศที่ได้รับคัดเลือกในตอนสุดท้ายก็จะได้รับรางวัลมหาศาลที่ร่วมลงขันจากร้านค้าร่ำรวยในเมืองเผิง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่ปลูกดอกไม้มากมายมาเยือนจากแดนไกลนับพันลี้
มู่ชิงอีกับหรงจิ่นเดินเคียงไหล่กันบนถนนที่มีกระถางดอกไม้สดวางเรียงรายเต็มไปหมด จากนั้นก็ค้นพบเรื่องน่าตกใจที่ว่ามีคนในยุทธภพไม่น้อยเดินมุ่งหน้าไปชมงานดอกเบญจมาศด้วยเช่นกัน
ครั้นเห็นสีหน้าของนางเช่นนั้น ฮั่วซูก็รุดหน้าเดินขึ้นไปก้าวหนึ่งกล่าวอธิบายเสียงเบา “ปีนี้คนที่มีชื่อเสียงที่ได้รับเชิญมาต่างชิงกลับกันไปก่อนจำนวนไม่น้อย ดังนั้นผู้ว่าราชการเลยเปลี่ยนความคิดเชิญคนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพในเมืองเผิงมาเข้าร่วมด้วยแทน เมื่อวานคุณชายก็ได้รับบัตรเชิญด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
มู่ชิงอีมองหรงจิ่น เพราะหรงจิ่นไม่พูดเปรยเรื่องนี้กับนางเลย หรงจิ่นยิ้มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ใครจะไปนั่งโง่วิพากษ์วิจารณ์ดอกเบญจมาศของพรรค์นั้นกัน พวกเราเดินเล่นกันเองไม่มีความสุขกว่าหรือ” มู่ชิงอีขบคิดดูแล้วก็เห็นด้วย เมื่อก่อนนางเองก็เคยร่วมงานชมดอกเบญจมาศมาไม่น้อย นั่งโง่ๆ อย่างที่หรงจิ่นว่าจริงๆ เพราะจะมีคนมุงห้อมล้อมดอกไม้กระถางหนึ่งแล้วถกประเด็นเรื่องยามจื่อ ยามโฉ่ว ยามอิ๋นวุ่นกันไปหมด แถมรั้นจะพูดให้ได้ว่าเหตุใดดอกนี้ถึงสู้ดอกนั้นไม่ได้ น่าเบื่อหน่ายมากจริงๆ