“ผู้ว่าเมืองเผิงปรับตัวเก่งดีเสียจริง” มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มชื่นชม งานชมดอกเบญมาศถูกคนในยุทธภพทำลายจนสิ้น เขาเลยเลือกเชิญคนในยุทธภพมาร่วมงานโต้งๆ แทนเสียเลย งานดอกไม้เกี่ยวพันถึงความเป็นอยู่ของประชาชน หากคนในยุทธภพเหล่านี้มาเดินบ้างคงไม่เป็นไร แต่หากงานชมดอกไม้ครั้งนี้ต้องยกเลิก รายรับของประชาชนทั่วทั้งเมืองเผิงคงลดลงไม่น้อย มองจากเรื่องนี้แล้ว ผู้ว่าคนนี้ก็คู่ควรให้ชื่นชมจริงๆ
หรงจิ่นมุ่นคิ้วเอ่ย “กลัวว่าถึงเวลานั้นงานดอกไม้จะล่มมากกว่า” มีคนในยุทธภพไม่กี่คนที่จะรักดอกไม้ หากขัดแย้งจนทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมา เกรงว่าผู้ว่าคนนั้นคงร้องไห้แทบไม่ทัน
“พวกท่านคือคุณชายอวิ๋นอิ่นกับอวิ๋นฮูหยินใช่หรือไม่” ขณะที่กำลังสนทนากันก็มีบุรุษสวมชุดทางการสองสามคนเดินมาทางนี้ จากนั้นก็ประสานมือไปทางมู่ชิงอีและหรงจิ่นอย่างนอบน้อม บางทีคงเป็นเพราะคำว่าอวิ๋นฮูหยินถูกใจใครบางคนเลยทำให้หรงจิ่นอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เลิกคิ้วถามว่า “มีเรื่องอันใดหรือ”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยอย่างนอบน้อม “ท่านผู้ว่าได้จัดเตรียมที่นั่งชมดอกเบญจมาศที่ดีที่สุดไว้ให้ฮูหยินกับคุณชายแล้ว เพื่อเลี่ยงไม่ให้ท่านทั้งสองผิดหวังเอาได้ ท่านทั้งสองโปรดให้เกียรติไปร่วมงานด้วยเถิด”
หรงจิ่นหันไปมองมู่ชิงอี มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ลำบากท่านผู้ว่าต้องเปลืองแรงแล้ว เช่นนั้นเชิญท่านนำทางพวกข้าเถิด”
บุรุษผู้นั้นรีบกล่าวว่า “มิบังอาจ” ก่อนจะหมุนตัวนำพวกเขาทั้งสองคนไป
ผู้ว่าเมืองเผิงท่านนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ พอมู่ชิงอีและหรงจิ่นไปถึงก็เห็นสถานที่จัดงานถูกล้อมไปด้วยทะเลดอกไม้งดงามนานาชนิด บนแท่นที่นั่งตรงหน้าในงานมีคนนั่งอยู่ไม่น้อยแล้ว ตรงหน้าเป็นเว่ยอู๋จี้และเชียนหลิง หรงเซวียนและหรงหวง รวมถึงบุรุษวัยกลางคนสวมชุดเกราะที่ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นนักรบ ส่วนตำแหน่งที่ว่างอยู่อีกฝั่งย่อมเป็นของหรงจิ่นและมู่ชิงอี กระทั่งสำนักดังๆ ในยุทธภพและบัณฑิตนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงบางส่วนต่างนั่งตำแหน่งถัดลงมาหนึ่งชั้น นับว่าเป็นตำแหน่งที่ดีจริงๆ
มู่ชิงอีลอบอุทานว่าผู้ว่าท่านนี้ความคิดช่างเลิศล้ำนัก ในเมื่อมีสององค์ชาย หนึ่งเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า หนึ่งยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในใต้หล้าและหนึ่งแม่ทัพคอยนั่งคุมอยู่ หากคนในยุทธภพคิดจะก่อเรื่อง เกรงว่าคงต้องคิดหนักเสียหน่อยแล้ว
หรงจิ่นกระซิบเสียงเบาข้างหูมู่ชิงอี “นั่นคือ…ซุนเจ๋อหลิง ตำแหน่งแม่ทัพผิงหรงประจำการเมืองเผิง อวี๋โจวและชิงหลานโจว มีกองทหารปกครองในมือถึงสองแสนคน มีอำนาจที่แท้จริงมากกว่าแม่ทัพหนานกงเจวี๋ยที่ถูกฮ่องเต้แอบยึดเอาอำนาจมาไว้ในมืออย่างมากเชียวล่ะ”
หนานกงเจวี๋ยชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าจริงๆ กระทั่งดวงดีเป็นแม่ทัพปกครองสูงสุดในแคว้นเย่ว์ แต่นอกจากเรื่องสงครามในยามฉุกเฉินแล้ว หลายปีมานี้เหมือนหนานกงเจวี๋ยจะถูกฮ่องเต้แคว้นหวาสั่งให้อยู่ในเมืองหลวงตลอด แม้แต่แตะต้องอำนาจทางการทหารฝั่งนั้นยังไม่ได้ เขาจะเป็นแม่ทัพที่มีกองทหารสำคัญในมือที่แท้จริงได้เช่นไร ในเมื่อหนานกงเจวี๋ยชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งใต้หล้า หากจะไม่ให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ระแวงคงเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก
ซุนเจ๋อหลิงผู้นี้ดูอายุราวสามสิบต้นๆ เท่านั้น สายตาหลักแหลม บุคลิกดูสง่างามน่าเกรงขาม แค่ดูก็รู้แล้วว่าความสามารถไม่ธรรมดา เกรงว่าหากผ่านไปอีกสิบปีคงเป็นแม่ทัพชื่อดังรุ่นถัดมาของแคว้นเย่ว์
มู่ชิงอีมองหรงจิ่นแล้วเลิกคิ้วถาม “องค์ชายเก้าอยากดึงเขาเข้าเป็นพวกอย่างนั้นหรือ”
หรงจิ่นลูบจมูกแต่ไม่พูดอะไร
“ข้าปู้อวี้ถังผู้ว่าแห่งเผิงโจวขอคารวะคุณชายอวิ๋นอิ่นและอวิ๋นฮูหยิน” ผู้ว่าราชการเมืองเผิงโจวที่สวมชุดข้าหลวงผู้ว่าทั้งร่างรุดหน้าเข้ามาทำความเคารพด้วยท่วงท่าที่สำรวมเหมาะสม ผู้ว่าเมืองเผิงท่านนี้ก็อายุราวสามสิบต้นๆ เช่นกัน บุคลิกใบหน้าดูสง่าเหมือนผู้มีความรู้ มองดูแล้วชวนให้รู้สึกประทับใจไม่น้อย
หรงจิ่นเล่นพัดในมือยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าปู้ช่างหลักแหลมนัก”
ปู้อวี้ถังย่อมเข้าใจความหมายของเขาอยู่แล้วเลยยิ้มเจื่อนอย่างเหนื่อยใจกล่าว “ช่วยไม่ได้จริงๆ คุณชายอวิ๋นอิ่นโปรดเห็นแก่ประชาชนเมืองเผิงและไว้หน้าของข้าด้วยเถิด” คนในยุทธภพแต่ละคนต่างหยิ่งทะนงตนกันทั้งสิ้น ใช่ว่าจะเห็นแก่หน้าข้าหลวงอย่างพวกเขาเสียเมื่อไร คุณชายอวิ๋นอิ่นเป็นยอดฝีมือเพียงคนเดียวที่พอจะกำราบคนพวกนี้ได้ ดังนั้นปู้อวี้ถังถึงคิดหาวิธีเชิญหรงจิ่นมาคุมหน้างานเช่นนี้
หรงจิ่นเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าเกรงใจกันแล้ว ก็แค่ชมดอกไม้เท่านั้น”
“ขอบคุณคุณชายอวิ๋นมาก เชิญทั้งสองประจำที่นั่งเถิด” ปู้อวี้ถังย่อมได้ยินเรื่องนิสัยประหลาดๆ ของคุณชายอวิ๋นอิ่นมานานแล้ว ครั้นเห็นเขาพูดจาดีด้วยในเวลานี้ก็ลอบผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ทั่วทั้งงานดอกไม้มีคนในยุทธภพกินพื้นที่ไปครึ่งงานแล้ว ถึงแม้คนในยุทธภพทั่วไปจะไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องงานดอกไม้นัก แต่ถึงขั้นได้รับบัตรเชิญจากคนของทางการได้ต้องมีสถานะตำแหน่งในยุทธภพประมาณหนึ่ง ดังนั้นเจ้าสำนักทั่วไปและผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลมากมายที่ได้รับบัตรเชิญต่างมากันทั้งสิ้น พอคนพวกนี้มา คนที่ไม่ได้รับบัตรเชิญขึ้นแท่นที่นั่งเหล่านี้ก็ย่อมตามมาร่วมสนุกด้วยเช่นกัน
บัดนี้พอมาถึงงานเหลือบเห็นเหล่าคนที่นั่งบนแท่นสูงสุดแล้ว ต่อให้คนเหล่านี้จะไม่พอใจแต่ก็ข่มอารมณ์ไว้ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงสององค์ชายเลย เพราะยังมีเว่ยอู๋จี้เศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่มีกิจการไปทั่วทุกแคว้น คนในยุทธภพก็ยังต้องมีเสื้อผ้าใส่ กิน ดื่มเช่นกัน ยิ่งสำนักในยุทธภพชื่อดังยิ่งต้องผูกสัมพันธ์กับเว่ยอู๋จี้ไว้ทั้งสิ้น ซุนเจ๋อหลิงแม่ทัพผิงหรงมีกองกำลังทหารในมือสองแสนคน ในแถบซีหนานก็ถือว่ามีความดีความชอบเรื่องศึกสงครามเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต่อให้เป็นสำนักที่แข็งแกร่งแค่ไหนหรือมียอดฝีมือมากแค่ไหน แต่ต่อหน้ากองทัพทหารนับหมื่นกลับไร้ประโยชน์ ส่วนคนสุดท้ายที่มาถึงในงานก็คือคุณชายอวิ๋นอิ่น เขายิ่งเป็นเทพชั่วร้ายที่หาเรื่องด้วยไม่ได้เด็ดขาด บุรุษที่หาเรื่องเขาเมื่อหลายวันก่อนถูกโยนร่างศพออกนอกเมืองโดยไม่มีใครสนใจสักคน
ทุกคนต่างตัดสินใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องใดก็ห้ามก่อเรื่องในวันนี้เด็ดขาด ส่วนงานชมดอกเบญจมาศที่คิดว่าคงอลหม่านแน่ๆ กลับสุขสงบอย่างเหนือความคาดหมาย
“คุณชายอวิ๋นอิ่น แม่นางมู่” ตำแหน่งที่นั่งของหรงจิ่นและมู่ชิงอีอยู่ตรงกลางระหว่างเว่ยอู๋จี้และซุนเจ๋อหลิงพอดี แต่ห่างจากหรงหวงหรงเซวียนออกมาหน่อย รู้ทั้งรู้ว่าคาดหวังให้หรงจิ่นเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายตนก่อนไม่ได้ เว่ยอู๋จี้ก็ไม่สนใจและเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายพวกเขาทั้งสองก่อนพร้อมรอยยิ้ม
เชียนหลิงยังคงหวาดกลัวหรงจิ่นเช่นเคย ใบหน้าสีขาวซีดเซียว จากนั้นก็ฝืนยิ้มส่งให้มู่ชิงอีพลางพยักหน้ากล่าว “แม่นางมู่ คุณชายอวิ๋นอิ่น”
มู่ชิงอีเองก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเว่ย แม่นางเชียนหลิง”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “พวกเจ้ามากันช้าไปเสียหน่อย หากรู้แต่แรกว่าพวกเจ้าก็มาด้วย พวกเราจะได้มาพร้อมกันเลย”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ถึงแม้จะมาช้าไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถือว่าช้ามากนัก แต่ดูท่าทางแม่นางเชียนหลิงสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เป็นอะไรไปหรือ”
เชียนหลิงส่ายศีรษะโดยไม่พูดอะไร มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางในใจ พอมีหรงจิ่นอยู่ข้างๆ ขนาดเชียนหลิงยังเปลี่ยนไปไม่ได้น่าชิงชังขนาดนั้นแล้ว เพราะต่อหน้าหรงจิ่น เชียนหลิงไม่กล้าแม้แต่พูดจา ส่วนแววตาโกรธเคืองของนาง มู่ชิงอีกลับจนใจ หากอยากมองก็มองไปแล้วกัน
“คุณชายผู้นี้คือคุณชายอวิ๋นอิ่นที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแคว้นเย่ว์?” จู่ๆ ซุนเจ๋อหลิงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็โพล่งถามขึ้น หรงจิ่นหันไปมองเขาแวบหนึ่งโดยเลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไร ทว่ามู่ชิงอีกลับหันหน้าไปยิ้มกล่าว “แม่ทัพซุน ข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”
ซุนเจ๋อหลิงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามมู่ชิงอีราวกำลังจับผิด “หืม?…อวิ๋นฮูหยินเคยได้ยินชื่อข้าด้วยหรือ” ระหว่างที่พูดก็แสดงท่าทีไม่ค่อยเชื่อนางสักเท่าไร
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “แม่ทัพซุนประจำการอยู่ที่ชายแดนซีหนาน ผ่านสงครามมาแล้วนับสิบแต่ไม่แพ้สักครั้ง ประชาชนซีหนานได้รับการปกป้องจากแม่ทัพเช่นนี้ถึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ใครจะไม่รู้จักบ้างเล่า”