มู่ชิงอีมองหรงจิ่นพลางครุ่นคิดแล้วเอ่ย “กลีบดอกสีดำ” ความจริงมู่ชิงอีคนเดิมชอบดอกโบตั๋นสีเขียวที่แสนหายากมากกว่า ดูงามสง่าแต่เรียบง่ายบริสุทธิ์ ถือเป็นดอกไม้ขึ้นชื่อในบรรดาดอกไม้นานาชนิด แต่มู่ชิงอีในตอนนี้กลับชอบดอกเบญจมาศสีดำที่งดงามน่าหลงใหลมากกว่า
หรงจิ่นมองใบหน้างดงามของนางแล้วยิ้มแป้นอย่างมีความสุข ทันใดนั้นก็พุ่งตัวขึ้นกลางอากาศมุ่งหน้าไปยังดอกเบญจมาศที่ล้ำค่าที่สุดที่วางอยู่ด้านล่างภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน ระหว่างนั้นเงาสีดำร่างหนึ่งก็แวบกลับมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงอุทานตกใจของทุกคนอย่างถ้วนหน้า หลังจากทุกคนได้สติ หรงจิ่นก็กลับมายืนบนแท่นที่นั่งพร้อมดอกเบญจมาศสีดำงดงามกระถางหนึ่งในมือแล้ว
ถึงจะมีชื่อว่าดอกเบญจมาศสีดำ แต่ความจริงแล้วกลีบดอกส่วนมากจะเป็นสีม่วงเข้ม แต่ดอกเบญจมาศสีดำในมือของหรงจิ่นกลับแตกต่างกันออกไป เพราะถึงจะมีสีม่วงเข้มแต่ออกไปทางสีดำมากกว่า อีกทั้งกลีบดอกยังเรียวยาวงดงามกว่า สง่ากว่าและมีเสน่ห์ดูหรูหรามากกว่าดอกเบญจมาศสีดำทั่วไปหน่อย ขับให้เฉิดฉายยามอยู่กับคุณชายอวิ๋นอิ่นในชุดผ้าแพรสีดำอย่างพอดิบพอดี เวลานั้นทุกคนต่างไม่รู้ว่าควรดูดอกไม้หรือดูคนดี เพราะงดงามราวกับภาพวาดสีหมึกที่วาดเค้าโครงรางๆ ไว้เหลือเกิน
“ชิงชิง สวยหรือไม่” หรงจิ่นวางดอกเบญจมาศสีดำลงบนโต๊ะตรงหน้ามู่ชิงอีอย่างระวังมือพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงอีพยักหน้าเล็กน้อยก่อนก้มหน้ามองดอกเบญจมาศบนโต๊ะ จากนั้นริมฝีปากก็ขยับคลี่รอยยิ้มบางๆ
จากการกระทำของหรงจิ่นนี้ทำเอางานด้านล่างโกลาหลกันไปหมด เดิมทีดอกเบญจมาศสีดำที่หรงจิ่นเลือกไปเป็นกระถางที่ได้รับการตัดสินว่าดีที่สุดในงานดอกเบญจมาศปีนี้ เจ้าของดอกเบญจมาศกระถางนี้เป็นผู้เฒ่าที่รักดอกเบญจมาศจนถึงขั้นหลงใหลซึ่งมีชื่อเสียงมากในเมืองเผิงด้วย ครั้นเห็นดอกเบญจมาศสีดำที่ตนทุ่มเทแรงกายเอาใจใส่เป็นอย่างดีถูกคนลักไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น เขาจะทนได้หรือ จากนั้นก็โวยวายกับใต้เท้าผู้ว่าเมืองเผิงเสียยกใหญ่
พอปู้อวี้ถังมองดอกเบญจมาศสีดำกระถางหนึ่งบนแท่นที่นั่งด้านบนก็นึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ถึงแม้เขาจะเป็นข้าหลวงปกครองเมืองเผิง แต่เขากลับล่วงเกินคนพวกนี้ไม่ได้เลย แต่ในเมื่อแก้วตาดวงใจของผู้เฒ่าถูกชิงไปต่อหน้าต่อตาก็ย่อมต้องให้ความเป็นธรรมอยู่แล้ว เขาจึงทำได้แค่เดินเข้าไปไกล่เกลี่ยเหตุการณ์เป็นเพื่อนผู้เฒ่าด้วยตัวเอง
“อย่าแตะต้องดอกไม้ของข้านะ!” ครั้นผู้เฒ่าเดินขึ้นแท่นที่นั่งไปก็เห็นมือใหญ่เท่าพัดของซุนเจ๋อหลิงกำลังจะแตะต้องดอกเบญจมาศที่งามหยดย้อยของตนเลยตวาดเสียงแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาทันที
ท่วงท่ารวดเร็วจนทำเอาปู้อวี้ถังผงะไป ผู้เฒ่าท่านนี้ฝีเท้าว่องไวดั่งสายลมจริงๆ
“บอกแล้วไงว่าอย่าแตะ!” ครั้นเห็นมือของซุนเจ๋อหลิงยังเคลื่อนเข้าไปหามันไม่หยุด ผู้เฒ่าก็ปัดมือของซุนเจ๋อหลิงออกอย่างไม่คิดลังเลใจสักนิด ซุนเจ๋อหลิงไฟโทสะปะทุขึ้นมาทันที ตนเป็นถึงแม่ทัพใหญ่คนหนึ่ง แต่กลับถูกผู้เฒ่าร่างซูบผอมดุด่าต่อหน้าคนมากมาย เขาเสียหน้าหมดแล้ว!
“เหตุใดข้าจะแตะต้องไม่ได้ ข้าจะแตะทำไมหรือ!” ขณะที่พูดก็ยื่นมือไปหมายจะบีบกลีบดอกไม้ ซุนเจ๋อหลิงเป็นนักรบจึงไม่มีความทะนุถนอมต่อดอกไม้ต้นหญ้าเหล่านี้อยู่แล้ว หากจะบอกว่าวันนี้มาร่วมงานชมดอกไม้ สู้บอกว่ามาเพราะเห็นแก่หน้าปู้อวี้ถังจะถูกกว่า
“แม่ทัพซุน” มู่ชิงอีรีบยกมือปัดมือของเขาออก เอ่ยยิ้มๆ ว่า “แม่ทัพซุนอย่าโกรธไปเลย ผู้เฒ่าท่านนี้ปรารถนาดีต่างหาก”
ซุนเจ๋อหลิงขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก “หมายความว่าอย่างไร เห็นอยู่ทนโท่ว่าผู้เฒ่าท่านนี้ดูแคลนข้า!”
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “ดอกเบญจมาศสีดำมีพิษ หากแม่ทัพซุนแตะต้องนิดหน่อยคงไม่เป็นไร แต่หากบีบมันล่ะก็เกรงว่าคงไม่เป็นผลดีนัก ผู้เฒ่าท่านนี้กลัวและเป็นห่วงถึงปัดมือของแม่ทัพออกโดยไม่คำนึงเรื่องกาลเทศะถึงห้ามได้ทันท่วงทีอย่างไรเล่า”
“มีพิษหรือ” ซุนเจ๋อหลิงสีหน้าเปลี่ยน จากนั้นก็จับจ้องผู้เฒ่าท่านนั้นตาเขม็งเอ่ย “ผู้เฒ่า เจ้าเอาดอกไม้มีพิษมาทำไมกัน”
ผู้เฒ่าเหลือบมองแวบหนึ่งอย่างไม่ชอบใจ เอ่ยอย่างผยอง “ดอกไม้มีพิษไม่ใช่ดอกไม้หรืออย่างไร อีกอย่างข้าเองก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าดูไกลๆ ได้เท่านั้น ใครใช้ให้เจ้าหยิบไปโดยไม่บอกไม่กล่าวกันเล่า” พอพูดจบก็ไม่สนใจซุนเจ๋อหลิงที่ไฟโทสะปะทุท่วมร่างแต่หันมากวาดตามองมู่ชิงอีด้วยท่าทีสนใจแทนแล้วเอ่ย “แม่หนูผู้นี้รอบรู้ไม่เบา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าดอกไม้นี้มีพิษ”
“ข้าเคยมีโอกาสได้เห็นดอกเบญจมาศสีดำเช่นนี้ดอกหนึ่ง ว่ากันว่าดอกไม้ประเภทนี้มีอีกชื่อว่า ‘บุปผามั่วเยา’ บัดนี้นับว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เบ่งบานเต็มที่ที่สุด หากเบ่งบานเต็มที่จะเหมือนดอกโบตั๋น งดงามน่าเย้ายวนหาเห็นได้ยากมาก อีกอย่างยังสามารถนำมาใช้ปรุงยาได้ทั้งดอก ทว่ากลีบดอกกลับมีพิษปะปนอยู่” มู่ชิงอีเอ่ยตอบเสียงเบา
ผู้เฒ่ากวาดตามองมู่ชิงอีอยู่ครู่หนึ่งถึงพยักหน้ากล่าว “แม่นางน้อยผู้นี้ช่างรอบรู้นัก นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ท่านชมกันเกินไปแล้ว อวิ๋นอิ่นเสียมารยาทไป ผู้เฒ่าโปรดอภัยให้ด้วย” ขณะที่พูดนางก็ยกกระถางดอกเบญจมาศสีดำส่งให้ผู้เฒ่าตรงหน้าอย่างนอบน้อม หรงจิ่นยู่ปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ชิงชิงไม่ชอบหรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มอ่อนโยน “เบญจมาศสีดำกระถางนี้ปลูกดูแลไม่ง่าย คิดว่าต้องเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของท่านผู้เฒ่าแน่ๆ แล้วข้าจะแย่งของรักของคนอื่นได้เช่นไร”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบา “เขาเอามาวางในงานชมดอกไม้เช่นนี้ก็เพื่อขายมิใช่หรือ”
ผู้เฒ่าโกรธจนขึงตาใส่ “เจ้าเด็กนี่เหิมเกริมนัก ใครบอกว่าข้าเอามาขายกัน ข้าไม่ได้ขาดแคลนเงินแค่นี้สักหน่อย ต่อให้ข้าขาดแคลนเงิน…ก็ไม่ขาย!”
“เช่นนั้นเอาออกมาวางประดับเล่นหรืออย่างไร”
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มลำพองใจ “ถ้าใช่แล้วจะทำไม บนโลกนี้นอกจากข้าแล้วจะมีใครสามารถดูแลมั่วเยาออกมาได้ดีเช่นนี้อย่างข้าบ้าง แม่หนู เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า” มู่ชิงอีอมยิ้มพยักหน้า “ท่านผู้เฒ่าพูดถูกแล้ว” นางไม่ได้เยินยอแต่อย่างใด ดอกเบญจมาศนี้เลี้ยงดูแลยากมากจริงๆ มั่วเยาดูแลยากกว่าดอกเบญจมาศสีดำทั่วไปถึงสิบเท่า ตอนนั้นตระกูลกู้เองก็เคยมีมั่วเยาต้นหนึ่งเช่นกัน ทว่ายังไม่ทันบานเต็มที่ก็เหี่ยวตายภายใต้การดูแลเอาใจใส่ของกู้เซียงไปเสียก่อน ทำเอากู้เซียงเสียใจไปพักหนึ่ง เอาแต่ตัดพ้อว่าดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีวาสนากับตัวเอง
“ชอบเอามาอวดนักระวังจะถูกฟ้าผ่า” หรงจิ่นสบถออกมาเสียงเย็นชา
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเอือมระอาก่อนลอบกระชากแขนเสื้อของหรงจิ่นเชิงว่าเอาแค่ตามเหมาะสมก็พอ หากทำเอาผู้เฒ่าโกรธจนเป็นอะไรขึ้นมาคงรับมือยากแน่
ฉับพลันเชียนหลิงที่กำลังแอบอิงในอ้อมอกของเว่ยอู๋จี้แนบแน่นด้านข้างก็โพล่งขึ้นว่า “อู๋จี้ ดอกไม้ดอกนี้ช่างงามนัก”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “งดงามกว่าดอกใดจริงๆ”
ครั้นเห็นเขาไม่แสดงท่าทีใดเลย เชียนหลิงก็กัดริมฝีปากเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน “อู๋จี้ ข้า…ข้าอยากได้ดอกเบญจมาศสีดำกระถางนี้ได้หรือไม่”
เว่ยอู๋จี้ลังเลใจครู่หนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร ทว่าผู้เฒ่าหันกลับไปเอ่ยเสียงดุดันว่า “ไม่ได้!” นึกว่าพูดเสียงเบาแล้วเขาจะไม่ได้ยินหรืออย่างไรกัน
เว่ยอู๋จี้ก้มมองเชียนหลิงด้วยสีหน้าลำบากใจ “เชียนหลิง…พวกเราลองดูอันอื่นกันเถิด” ถึงแม้เว่ยอู๋จี้จะเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่เขาไม่อยากแก่งแย่งของรักของใครต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้เฒ่าที่อายุปาเข้าไปขนาดนี้แล้วด้วย
เชียนหลิงที่โอนอ่อนผ่อนตามมาโดยตลอด ครั้งนี้กลับดูดื้อรั้นจนน่าตกใจนัก ส่ายศีรษะเอ่ย “ไม่…ข้าอยากได้แค่ดอกเบญจมาศสีดำกระถางนี้ อู๋จี้…ขอร้องเจ้าล่ะ…” ขณะที่พูด น้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นตรงขอบตา พร้อมนัยน์ตาแฝงความใจร้อนไว้อยู่รำไร เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้นางไม่ได้ออดอ้อนเพื่อเอาชนะความสนใจของเว่ยอู๋จี้ แต่กระถางดอกเบญจมาศสีดำนี้มีความสำคัญต่อนางมากจริงๆ
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วเชิงไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดคนที่เข้าอกเข้าใจเขามาตลอดอย่างเชียนหลิงถึงดึงดันจะแย่งของจากผู้เฒ่าคนหนึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ราวกับเชียนหลิงไม่เห็นถึงความลำบากใจของเขาเลย นางเอาแต่จ้องดอกเบญจมาศสีดำนั้นแน่นิ่งแล้วพึมพำเสียงเบาว่า “นี่คือมั่วเยาหรือ ช่าง…งดงามยิ่งนัก”