หรงเซวียนและหรงหวงที่อยู่อีกฝั่งมองดูเหตุการณ์ทางฝั่งนี้ราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง หรงหวงเอ่ยหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดีว่า “คุณชายเว่ย ก็แค่ดอกเบญจมาศต้นเดียวเอง นานๆ ทีฮูหยินจะชอบ เหตุใดต้องลำบากใจด้วยเล่า”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มขมขื่นก่อนยกมือขึ้นลูบศรีษะเชียนหลิงอย่างเบามือ ลุกขึ้นแล้วเดินไปหาผู้เฒ่าคนนั้นเอ่ยด้วยท่าทีเคารพ “ท่านผู้เฒ่า ท่านตัดใจให้สักครั้งเถิด หากมีเงื่อนไขใด ข้ายอมทุ่มเต็มที่แน่นอน”
ผู้เฒ่ายิ้มเยาะทีแล้วชี้ไปทางแม่นางเชียนหลิงกล่าวว่า “ตัดใจให้หรือ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่าเจ้าชอบแม่หนูคนนี้หรือไม่”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เว่ยอู๋จี้ตอบ
“เช่นนั้นเจ้าฆ่านางได้หรือไม่”
“ท่านผู้เฒ่าพูดเรื่องตลกแล้ว”
ผู้เฒ่ากลอกตาขาวใส่เอ่ย “เช่นนั้นข้าก็ตัดใจยกให้ไม่ได้เช่นกัน”
เว่ยอู๋จี้ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ท่านผู้เฒ่า ดอกไม้นี้จะเทียบกับคนได้อย่างไร” ผู้เฒ่ายิ้มเย็นชา “แต่ในสายตาของข้า แม่หนูคนนั้นเทียบกับมั่วเยาของข้าไม่ติดเลยด้วยซ้ำ”
เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจก้มหน้ามองเชียนหลิงกล่าว “เชียนหลิง ถึงแม้มั่วเยาจะมีน้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย ประเดี๋ยวพวกเราค่อยไปหาซื้อสักต้นเถิด”
เชียนหลิงส่ายศีรษะระรัว “ไม่เอา ข้าจะเอาต้นนี้”
เว่ยอู๋จี้มุ่นคิ้ว ถึงแม้เชียนหลิงจะชื่นชอบดอกไม้ แต่กลับไม่ได้ชื่นชอบดอกเบญจมาศมากขนาดนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมั่วเยาที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เหตุใดจู่ๆ ถึงรั้นจะเอาต้นนี้ให้ได้กันเล่า
ผู้เฒ่ากวาดตามองพวกเว่ยอู๋จี้แวบหนึ่งอย่างพอใจ จากนั้นก็อุ้มมั่วเยาของตนขึ้นมาอย่างระวังมือ ตั้งใจจะออกไปจากที่นี่
“ท่านผู้เฒ่า ข้าขอแนะนำว่าเจ้าทิ้งมั่วเยาต้นนี้ไว้ที่นี่จะดีกว่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้เดี๋ยวกลับไปดอกไม้หายแล้วคนจะตายตามไปด้วย” หรงจิ่นพิงพนักเก้าอี้หรี่ตามองดอกเบญจมาศสีดำในมือผู้เฒ่าแล้วเอ่ยเสียงเกียจคร้าน
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ผู้เฒ่าเบิกตากว้าง
“คุณชายอวิ๋นอิ่น เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน” เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงขรึม คำพูดของอวิ๋นอิ่นแอบสื่อเชิงว่าหลังจากนี้เขาจะฆ่าคนเพื่อแย่งดอกไม้มาอย่างไรอย่างนั้น
หรงจิ่นแค่นเสียงเบา “ไม่ได้หมายความว่าอะไร แค่เอ่ยเตือนเท่านั้นเอง”
ครั้นได้ยินเสียงของเว่ยอู๋จี้ ผู้เฒ่าก็ผงะไปครู่หนึ่งเหมือนเขานึกขึ้นได้ว่าคนที่ตนปฏิเสธไปเมื่อครู่เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้า ถึงแม้จะบอกว่าฆ่าคนเพียงเพื่อดอกไม้กระถางเดียวออกจะเกินไปหน่อย แต่บนโลกนี้มีเรื่องอะไรบ้างที่เป็นไปไม่ได้ เขามีชีวิตอยู่มาหกสิบกว่าปีแล้วย่อมพอจะรู้แก่ใจดีเป็นธรรมดา พอคิดถึงตรงนี้ก็แอบนึกเสียใจที่ตนเอามั่วเยากระถางนี้มาร่วมแสดงในงานชมดอกเบญจมาศ
เชียนหลิงลุกขึ้นเดินตรงไปด้านหน้าผู้เฒ่าก่อนทำความเคารพอย่างนอบน้อมเอ่ย “ท่านผู้เฒ่า ข้าชอบดอกเบญจมาศกระถางนี้มากจริงๆ โปรดตัดใจยกให้ได้หรือไม่ หากวันหน้าพวกเราหาดอกเบญจมาศกระถางอื่นเจอจะรีบส่งอันนั้นให้ท่านผู้เฒ่าทันที เพราะดอกเบญจมาศดำกระถางนี้…สำคัญกับข้ามากจริงๆ”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่นกล่าว “ถึงแม้ดอกเบญจมาศสีดำนี้จะใช้เป็นยาได้ แต่ประสิทธิภาพของยากลับไม่ได้มากมายนัก ยาขนานอื่นก็สามารถใช้แทนได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือพิษของมัน แม่หนูคงไม่ได้คิดจะใช้มันทำร้ายคนอื่นกระมัง”
เชียนหลิงรีบส่ายศีรษะเอ่ย “เชียนหลิงสาบานได้เลยว่าไม่มีทางเอาไปทำร้ายคนอื่นแน่นอน ขอท่านผู้เฒ่าโปรดมอบให้ข้าเถิด”
ครั้นเห็นหญิงสาวร่างบางอ้อนแอ้นร่ำไห้น้ำตานองหน้าต่อหน้าตนเช่นนั้น ผู้เฒ่าเองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร แต่ถึงอย่างไรเขาก็ทุ่มเทดูแลดอกเบญจมาศสีดำนี้มาตั้งหลายปีจึงถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าทางจิตใจของเขามากจริงๆ ต่อให้ใช้เงินเท่าไรก็แลกมันไม่ได้
หรงจิ่นมองภาพตรงหน้าพลางยิ้มตาหยี เอ่ยเสียงผ่อนคลายว่า “ท่านผู้เฒ่า เลือกดูเอาเถิดว่าตกลงแล้วจะขายดอกไม้ให้เว่ยอู๋จี้หรือขายให้ข้ากันแน่ เกรงว่าถึงอย่างไรวันนี้ท่านก็คงเอากลับไปไม่ได้แล้ว”
ผู้เฒ่าขึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะจู่ๆ คนคนนี้แย่งดอกไม้ของเขาไปก็คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ ผู้เฒ่ามองเชียนหลิงพลางส่ายศีรษะเอ่ย “คุณชายเว่ยเป็นถึงเศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้า ก็อย่างที่คุณชายเว่ยกล่าว ถึงแม้มั่วเยาจะหายากแต่ก็ใช่ว่าจะมีอันเดียวเสียเมื่อไร ด้วยความสามารถของคุณชายเว่ยคิดว่าผ่านไปอีกไม่กี่วันแม่นางก็จะได้เห็นแล้ว ดอกเบญจมาศสีดำกระถางนี้ให้ข้าเก็บเอาไว้เถิด”
เชียนหลิงคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะปฏิเสธนางเลยชะงักไปครู่หนึ่ง ครั้นเห็นผู้เฒ่าอุ้มกระถางหมุนตัวหมายเดินจากไป นางก็รีบยื่นมือไปดึงผู้เฒ่าคนนั้นไว้ แต่ผู้เฒ่าอายุเกินหกสิบแล้ว เดิมทีอุ้มกระถางใหญ่เช่นนี้ก็กินแรงเขามากพอควร พอถูกนางดึงเช่นนั้นเลยทำให้ร่างชนโต๊ะอีกฝั่งเข้าอย่างจัง
“ระวัง!”
ซุนเจ๋อหลิงที่อยู่ใกล้ผู้เฒ่ามากที่สุดคำรามเสียงต่ำก่อนรีบพุ่งขึ้นไปด้านหน้าประคองร่างผู้เฒ่าที่ใกล้ชนขอบโต๊ะไว้ ทว่ากระถางดอกไม้ในมือของผู้เฒ่ากลับหล่นลงพื้นแตกเสียงดัง เพล้ง!
เชียนหลิงอุทานอย่างตกใจแล้วรีบนั่งตรวจดูดอกเบญจมาศสีดำบนพื้น ผู้เฒ่าที่ถูกซุนเจ๋อหลิงประคองร่างไว้ก็ตกอกตกใจจนสีหน้าซีดเซียว จากนั้นก็หันไปมองตัวหายนะแล้วเอ่ยอย่างโมโหขึ้นทันทีว่า “ผู้หญิงคนนี้อะไรกัน ดอกไม้กระถางเดียวสำคัญกว่าชีวิตคนอีกหรือ”
เชียนหลิงราวกับไม่ได้ยินคำกล่าวโทษของเขาเลยสักนิด นางยังคงก้มหน้าก้มตาตรวจดูดอกเบญจมาศสีดำบนพื้นอย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวว่าหากนางไม่ระวังจะทำให้มั่วเยาล้ำค่าต้นนี้ตายเอาได้
เพราะท่าทีเช่นนี้ แม้ว่าเชียนหลิงจะเป็นสาวงามที่หาได้ยากคนหนึ่งแต่ก็ชวนให้ทุกคนต่างหวาดผวาไม่ได้ ในเมื่อเป็นถึงผู้เฒ่าอายุมากแล้วคนหนึ่ง ต่อให้หรงจิ่นจะพูดจาหยิ่งผยองเพียงใดแต่กลับไม่ได้แตะต้องผู้เฒ่าแม้แต่ปลายเล็บ ทว่าแม่นางร่างบอบบางดูจิตใจดีอย่างนางหลังจากผลักผู้เฒ่าล้มแล้วกลับเอาแต่จับจ้องสนใจดอกเบญจมาศสีดำต้นนั้นโดยไม่หันไปมองผู้เฒ่าสักนิด สมกับคำที่ว่าชีวิตสู้ไม่ได้แม้แต่ดอกไม้จริงๆ
ผู้เฒ่าที่ถูกซุนเจ๋อหลิงประคองร่างไว้เสียขวัญไม่น้อย เมื่อครู่เขายังทรงตัวไม่ดี พอถูกดึงเช่นนั้นร่างเลยโงนเงนเกือบพุ่งไปชนโต๊ะ หากชนเข้าจริงๆ เกรงว่าคงเจ็บหนักไม่น้อย
“ท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง” ครั้นเห็นการกระทำเช่นนั้นของเชียนหลิง เว่ยอู๋จี้ก็ขมวดคิ้วตามไปด้วย ทว่าเวลานี้ไม่ใช้เวลาซักไซ้ไล่เลียง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องจัดการแก้ปัญหาให้เรียบร้อยก่อน
ผู้เฒ่ากวาดตามองเชียนหลิงที่นั่งยองอยู่บนพื้นแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของคุณชายเว่ยด้วย ข้าตายยาก ยังไม่ตายหรอก หากไม่กลัวตายก็รีบใช้มือแตะมันเถิด”
เชียนหลิงที่เดิมทีร้อนใจคิดอยากยื่นมือเก็บดอกเบญจมาศสีดำเข้ากระถางก็ชะงักมือลง จากนั้นก็เงยหน้ามองไปทางเว่ยอู๋จี้ด้วยท่าทีน่าสงสารกล่าว “อู๋จี้”
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก เอ่ยเสียงขรึม “พอได้แล้วเชียนหลิง สุภาพชนจะไม่แย่งของรักของคนอื่น หากเจ้าชอบดอกเบญจมาศสีดำจริง ข้าจะให้คนไปซื้อกลับมาก็แล้วกัน”
เชียนหลิงเอ่ยเสียงปนสะอื้น “ข้าอยากได้แค่ต้นนี้เท่านั้น”
มู่ชิงอีที่อยู่ด้านข้างมุ่นคิ้วงามเล็กน้อย จากนั้นก็สำรวจว่าดอกเบญจมาศสีดำต้นนี้มีอะไรที่แตกต่างออกไป มั่วเยาหายากมากก็จริงแต่ก็เป็นไปตามที่เว่ยอู๋จี้กล่าว ด้วยความสามารถของตระกูลเว่ยขอแค่ปรารถนาที่จะได้ย่อมต้องหามันมาได้อยู่แล้ว เหตุใดเชียนหลิงรั้นจะเอาต้นนี้ให้ได้ หากกล่าวว่าเชียนหลิงแค่อยากแสดงให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าตนมีความสำคัญต่อเว่ยอู๋จี้มากแค่ไหนก็ออกจะดูโง่เขลาไปสักหน่อย อีกอย่างท่าทีกระวนกระวายใจในแววตาคู่นั้นไม่ได้ดูเสแสร้งเลยสักนิด ราวกับมั่วเยาต้นนี้มีความสำคัญต่อนางมากจริงๆ แต่ไม่ใช่ท่าทีเรียกร้องความสนใจเว่ยอู๋จี้เฉกเช่นในยามปกติ
“เชียนหลิง” เว่ยอู๋จี้ร้องเรียกเสียงเรียบ ถึงแม้น้ำเสียงจะยังคงอ่อนโยนอยู่ แต่คนที่เข้าใจนิสัยของเขาดีอย่างเชียนหลิงย่อมเข้าใจดีว่าเขาโกรธแล้ว ทว่า…นางยังคงก้มหน้ามองดอกเบญจมาศงามสง่าที่เปื้อนดินแวบหนึ่ง จากนั้นเชียนหลิงที่นานๆ ทีจะดื้อรั้นสักครั้งก็ไม่พูดอะไรอีก