มู่ชิงอีพยักหน้าสื่อว่าอย่างไรก็ได้ ทว่าภายในใจก็พอจะคาดเดาเรื่องที่หรงหวงอยากถามได้แล้ว “ท่านอ๋องอยากถามเรื่องใดหรือเพคะ”
หรงหวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คือว่า…เมื่อครู่เหมือนเห็นอวิ๋นฮูหยินกับเจ้าสำนักมั่วสนิทสนมกันมาก”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะกล่าว “ก็ไม่ได้ถือว่าสนิทสนมอะไรเพคะ หากจะว่าไปวันนี้เพิ่งเป็นครั้งที่สามที่หม่อมฉันได้เจอเจ้าสำนักมั่วด้วยซ้ำ”
หรงหวงย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว พวกเขาคุ้นชินกับชื่อเสียงความเย็นชาไม่เป็นมิตรกับใครของเจ้าสำนักเย่าหวังกู่เป็นอย่างดี ผู้หญิงที่เพิ่งเคยเจอกันเพียงสองครั้งก่อนหน้านี้จะทำให้มั่วเวิ่นฉิงสนใจง่ายดายขนาดนี้ได้อย่างไร
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ ในเมื่อสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริง รวมกับครั้งนี้แล้วนางกับมั่วเวิ่นฉิงเพิ่งเจอกันเป็นครั้งที่สามจริงๆ ครั้งก่อนตอนอยู่เมืองหลวงมีแค่นางฝ่ายเดียวที่เห็นมั่วเวิ่นฉิง แต่มั่วเวิ่นฉิงไม่เห็นนาง ฉะนั้นครั้งนั้นไม่นับอยู่แล้ว
“ก่อนหน้านี้ได้ยินเจ้าสำนักมั่วบอกว่าแม่นางเคยมีบุญคุณเคยช่วยชีวิตเขาไว้หรือ” หรงเซวียนเอ่ยถามอย่างสงสัย ต่อให้มู่ชิงอีจะเป็นองค์หญิงที่ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงแต่งตั้งเอง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ไร้ความสามารถคนหนึ่ง แล้วนางจะสามารถช่วยชีวิตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ได้เช่นไร
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “แค่บังเอิญเจอเหตุการณ์หนึ่งพร้อมเจ้าสำนักมั่วก็เท่านั้น แต่เรียกว่าหม่อมฉันช่วยชีวิตตัวเองจะดีกว่า อีกทั้งเป็นคุณงามความดีขององครักษ์หม่อมฉันด้วย ลำพังหม่อมฉันคนเดียว เกรงว่าคงทำได้แค่รอความตายเท่านั้น”
หรงเซวียนพยักหน้าราวกับพยายามฝืนรับฟังคำอธิบายของมู่ชิงอี แต่ดูท่าทางแล้วมู่ชิงอีกับมั่วเวิ่นฉิงจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดกันจริงๆ หรงหวงและหรงเซวียนสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะเผยแววตาผิดหวังเล็กน้อย
“ท่านนี้คือแม่นางมู่ใช่หรือไม่” มีเสียงแหลมสูงดังแว่วขึ้น จากนั้นก็เห็นบุรุษหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินประกบข้างหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งย่างกรายเข้ามาหานางอย่างช้าๆ จากถนนอีกฝั่ง
มู่ชิงอีคลึงหว่างคิ้ว พลันรู้สึกคุ้นตาหญิงสาวในชุดสีขาวผู้นี้อย่างน่าประหลาด นางชั่งใจครู่หนึ่งก่อนหันไปเอ่ยถามหรงจิ่นว่า “หรือข้าควรเปลี่ยนชุดสีอื่นดีนะ” ครั้นได้กลิ่นยาอ่อนๆ ที่ลอยตามลมมาเช่นนั้น มู่ชิงอีก็พอจะเดาสถานะของผู้มาเยือนเหล่านี้ได้ทันที ราวกับผู้หญิงที่ตกหลุมรักมั่วเวิ่นฉิงต่างชอบสวมชุดสีขาวกันทุกคน พอ…นางก้มลงมองชุดขาวบนร่างตนแล้วก็ชวนให้เข้าใจผิดได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน
“ข้าคือมู่ชิงอี แล้วท่านคือ…” มู่ชิงอีเดินขึ้นไปหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ
หญิงสาวชุดขาวมองมู่ชิงอีด้วยสายตาเย่อหยิ่งแวบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงขรึม “ข้ามีนามว่าซู่เวิ่น”
หากเป็นเมื่อหลายวันก่อนหากหญิงสาวตอบกลับนางเช่นนี้ มู่ชิงอีคงลำบากใจและครุ่นคิดอยู่นานว่า ซู่เวิ่นเป็นใครหรือ แต่ตอนนี้นางรู้แล้ว ซู่เวิ่นก็คือหนึ่งในผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่ ซึ่งก็คือคนที่นำคนมาทำร้ายมั่วเวิ่นฉิงในครั้งนี้นี่เอง แค่มั่วเวิ่นฉิงมอบดอกไม้ให้นางกระถางหนึ่ง ซู่เวิ่นก็ตามมาหานางถึงที่แล้ว ดูท่าทางการคิดก่อกบฏในครั้งนี้คงเป็นเพราะความแค้นที่ก่อขึ้นจากความรักกระมัง
ทว่ามู่ชิงอีกลับนึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่จะยังอ่อนวัยขนาดนี้
ครั้นเห็นสายตาฉงนของนาง ไท่สื่อเหิงไหวพริบดีเลยเคลื่อนย้ายไปอยู่ด้านหลังนางก่อนอธิบายเสียงเบาว่า “คนที่คุมฝีมือการรักษาในเย่าหวังกู่คือผู้อาวุโสหลิงซู ส่วนผู้อาวุโสซู่เวิ่นจะดูแลเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันเลยไม่ได้เข้มงวดเรื่องฝีมือการรักษานัก” ความจริงจากประวัติฝีมือการรักษาของซู่เวิ่นนับว่าธรรมดามาก เพราะหากเป็นหมอชื่อดังจริงๆ จะมีใครสนใจเรื่องไร้สาระประจำวันบ้างเล่า
มู่ชิงอีพยักหน้าเล็กน้อย อมยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสซู่เวิ่นมีเรื่องใดหรือ”
“มั่วเวิ่นฉิงอยู่ที่ใด” ซู่เฉิงเอ่ยถามเสียงเข้ม
มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยท่าทีแปลกใจเอ่ย “ผู้อาวุโสซู่เวิ่นถามแปลกๆ ข้ากับเจ้าสำนักมั่วรู้จักกันเพียงผิวเผิน แล้วข้าจะรู้ว่าเจ้าสำนักเย่าหวังกู่อยู่ที่ใดได้อย่างไร”
ซู่เวิ่นกวาดตามองดอกมั่วเยาในมือของไท่สื่อเหิงที่อยู่ด้านหลังมู่ชิงอีแวบหนึ่ง จากนั้นประกายความอิจฉาก็ฉายชัดในแววตานางทันที ตั้งแต่เล็กจนโตมั่วเวิ่นฉิงไม่เคยมอบดอกไม้ให้สาวใดสักคน คิดไม่ถึงว่าจะมอบดอกไม้หายากกระถางนี้ให้หญิงสาวที่เจอกันเพียงไม่กี่ครั้งเสียได้ คิดว่านางโง่นักหรืออย่างไร
“มั่วเวิ่นฉิงขโมยหญ้าเซียนเก้าเมฆาซึ่งเป็นสมบัติของเย่าหวังกู่ไป หากแม่นางมู่ไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเอง ทางที่ดีรีบบอกว่ามั่วเวิ่นฉิงอยู่ที่ใดมาจะดีกว่า” ซู่เวิ่นเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
มู่ชิงอียกมือขึ้นปรามหรงจิ่นที่กำลังจะโต้กลับไว้ จากนั้นก็ยิ้มเย็นชาเอ่ย “ที่แท้เย่าหวังกู่ก็ไร้เหตุผลเช่นนี้เอง ไม่แปลกใจที่บัดนี้เจ้าสำนักมั่วถึงเปิดปากอธิบายอะไรไม่ได้เลย ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนในตำแหน่งอย่างเจ้าสำนักจะถูกลูกน้องบีบบังคับแบบนี้ได้เหมือนกัน ในเมื่อก็แค่อยากล้มอำนาจคนที่สถานะสูงกว่า เหตุใดต้องทำตัวให้ดูดีด้วยเล่า”
ซู่เวิ่นหน้าแดงก่ำแล้วขึงตาจ้องมู่ชิงอีพลางกัดฟันเอ่ย “แม่นางมู่อย่าใส่ความกันเชียว เรื่องล้มอำนาจเจ้าสำนักอะไรกัน…เหลวไหลทั้งเพ!”
“หืม เช่นนั้นเจ้าสำนักมั่วมิได้เป็นเจ้าสำนักแห่งเย่าหวังกู่หรอกหรือ อดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ก็มิใช่แซ่มั่วหรือ เจ้าสำนักมั่วเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของเย่าหวังกู่ ทว่าตอนนี้กลับถูกกล่าวหาว่าขโมยสมบัติของสำนักไปจนถูกไล่ล่าตามฆ่าไปทั่วยุทธภพ ช่างน่าขัน เย่าหวังกู่มิใช่ของเจ้าสำนักมั่วหรืออย่างไร ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆามีจริงหรือไม่ เพราะต่อให้มี…ต่อให้เขาเอาไป มันก็เป็นสิทธิ์ของเขากระมัง”
ซู่เวิ่นแค่นเสียงเย็นชาเอ่ย “ไม่ว่าใครก็ห้ามนำหญ้าเซียนเก้าเมฆาออกไปโดยพลการทั้งนั้น นี่เป็นกฎของอดีตเจ้าสำนัก ในเมื่อมั่วเวิ่นฉิงเอาออกไปโดยพลการเช่นนี้ก็ถือว่าอกตัญญู แบบนี้จะคู่ควรเป็นเจ้าสำนักได้อย่างไร”
มู่ชิงอีร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “เย่าหวังกู่ก่อตั้งขึ้นด้วยความยากลำบากจากบรรพบุรุษตระกูลมั่ว ที่แท้ลำพังแค่ลูกน้องพูดว่าไม่คู่ควร เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ก็ต้องเปลี่ยนสกุลใหม่เลยหรือ เช่นนั้นท่านผู้อาวุโสซู่เวิ่นหมายความว่าหากฮ่องเต้ใช้สิ่งของหวงแหนของบรรพบุรุษ ไพร่ฟ้าทั่วหล้าก็ต้องลุกขึ้นมาก่อกบฏอย่างนั้นหรือ”
“แม่นางมู่ ระวังคำพูดด้วย” หรงหวงเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทว่าสายตาที่จับจ้องซู่เวิ่นก็ดุดันเช่นกัน มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าวขอโทษหรงหวง “ขออภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันลืมตัวไปชั่วขณะ”
คำถามของนางทำเอาซู่เวิ่นพูดไม่ออกและไม่อยากอยู่ตอแยนางอีกต่อไปเลยแค่นเสียงเบาเอ่ย “ข้าไม่อยากฟังคำพูดเหลวไหลของเจ้าแล้ว เจ้าแค่บอกข้ามาว่ามั่วเวิ่นฉิงอยู่ที่ใดก็พอ”
“ข้าไม่รู้” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้า!” ซู่เวิ่นถลึงตามองใบหน้าสะอาดหมดจดของนาง แต่ทอประกายความอิจฉาฉายชัดในแววตา “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว!” นางยกมือขึ้นควักผงสีเขียวอ่อนจากแขนเสื้อโปรยใส่หน้ามู่ชิงอี หรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างยกมือขึ้นรั้งมู่ชิงอีเข้ามาในอ้อมกอดตนก่อนจะใช่พัดในมือกระพือลมอ่อนๆ ตอกกลับไป ผงเหล่านั้นยังไม่ทันลอยมาสัมผัสพัดก็ถูกลมอ่อนๆ ปัดส่งกลับไปแล้ว โชคดีที่ซู่เวิ่นยังประสาทสัมผัสไวอยู่บ้างเลยเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว เพียงแต่บุรุษหนุ่มด้านหลังคนหนึ่งกลับโชคร้าย กุมใบหน้าแล้วล้มลงพื้นพลางกรีดร้องโหยหวน
“ผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่มีความสามารถแค่นี้ยังกล้าออกมาสร้างเรื่องขายหน้าอีกหรือ” หรงจิ่นโอบร่างมู่ชิงอีพลางจ้องซู่เวิ่นพร้อมไอสังหารทะลักผ่านดวงตา
ซู่เวิ่นสีหน้าไม่สู้ดีนัก นางเป็นถึงหนึ่งในผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่ บุคคลที่พูดจาหนักแน่นอย่างผู้อาวุโสเย่าหวังกู่เคยได้รับความอับอายเช่นนี้เสียเมื่อไร แต่ไหนแต่ไรมาเย่าหวังกู่ปลีกตัวสู่โลกภายนอก อย่าว่าแต่คนในยุทธภพทั่วไปเลย ต่อให้เป็นเจ้าสำนักชื่อดังหรือกระทั่งคนในเชื้อพระวงศ์ต่างก็ให้ความเคารพยำเกรงพวกเขากันทั้งนั้น พวกเขาเคยตกอยู่ในสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนใจเช่นนี้เสียที่ไหนกัน
“เจ้าเป็นใครถึงกล้าพูดกับข้าเช่นนี้”
ขณะเดียวกันทุกคนตรงนั้นต่างก็ใช้สายตาเห็นใจจับจ้องนาง เสียดายที่ผู้หญิงคนนี้หน้าตาสะสวยเสียเปล่า คิดไม่ถึงว่าจะเห็นโลกมาน้อยขนาดนี้ แต่ถึงจะเห็นโลกมาน้อยก็ช่าง หรือจะถือว่านางอยู่ในเย่าหวังกู่มานานเลยไม่รับรู้เรื่องโลกภายนอกดีนะ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะถึงขั้นดูสีหน้าคนไม่เป็นเลยหรือ จากสีหน้าของอวิ๋นอิ่นดูไม่ใช่คนที่น่าหาเรื่องด้วยอย่างเห็นได้ชัด ความจริงถึงแม้ซู่เวิ่นจะดูสีหน้าคนเป็นแต่ก็คงไม่เห็นหรงจิ่นในสายตา เพราะสำหรับนางแล้วคนที่กล้าล่วงเกินคนของเย่าหวังกู่มีอยู่ไม่กี่คน ถึงคนอย่างคุณชายอวิ๋นอิ่นจะชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วยุทธภพ แต่คนที่ไปไหนมาไหนคนเดียวเพียงลำพังอย่างเขาจะสร้างความหวาดกลัวให้นางได้อย่างไร