“แม่นางมู่ปรารถนาดีเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่เอามั่วเยากระถางนั้นไปให้ผู้เฒ่าเลยเล่า” ไท่สื่อเหิงที่อยู่นอกประตูเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงอีส่ายศีรษะ “ถึงแม้มั่วเยาต้นนี้จะไม่มีพิษแล้ว แต่หากส่งกลับไปให้ผู้เฒ่าในเวลานี้เกรงว่าจะก่อปัญหาให้เขามากกว่า” มั่วเยาล้ำค่าหายาก แถมยังเกิดเหตุการณ์ในงานชมดอกไม้ด้วย หากส่งกลับคืนไปในเวลานี้เกรงว่าจะทำให้ผู้เฒ่าอยู่อย่างไม่เป็นสุขเสียมากกว่า
ไท่สื่อเหิงพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างชื่นชม “ข้าไตร่ตรองไม่รอบคอบเอง” หญิงงามที่มีจิตใจเมตตาเป็นพื้นฐานถือเป็นเรื่องดี อีกทั้งยังละเอียดอ่อนและไม่ได้ไร้เดียงสาซึ่งหาได้ยากนัก บนโลกนี้มีคนมากมายต้องเผชิญกับผลร้ายที่ตามมาเพียงเพราะความใจดีของตนเอง กระทั่งสุดท้ายนำพาเรื่องเดือดร้อนที่มองไม่เห็นตามมาด้วย
จากนั้นก็มองฮั่วซูรับภาพวาดนั้นมาอย่างระวังมือ แม้แต่คุณชายไท่สื่อผู้มากความสามารถและรอบรู้ยังอดชื่นชมว่าเป็นภาพวาดชั้นดีไม่ได้ ไท่สื่อเหิงยกยิ้มพลางมองฮั่วซูแล้วเอ่ย “เกรงว่าแม่นางฮั่วจะไม่คุ้นเส้นทางในเมือง ข้าไปเป็นเพื่อนแม่นางดีหรือไม่”
ฮั่วซูเองก็ไม่ใส่ใจ ความจริงนางเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านี้เช่นกัน อีกอย่างนางก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องภาพวาดอะไรนี้ด้วย หากมีคนเต็มใจนำทางนางไปก็ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว
ไท่สื่อเหิงมองพวกเขาสองคนในห้องก่อนส่ายศีรษะพลางถอนหายใจอย่างหดหู่ จากนั้นก็เดินตามฮั่วซูออกประตูไป
หลังจากพวกเขาสองคนออกไป หรงจิ่นก็มองมู่ชิงอีที่เตรียมจะนั่งลงอ่านหนังสือใหม่อีกครั้ง ขมวดคิ้วแล้วยิ้มเอ่ย “ชิงชิง พวกเราไปดูละครสนุกๆ กันเถิด”
“ดูละคร?” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “บัดนี้ในเมืองเผิงมีละครสนุกๆ ให้ดูโผล่มาไม่ขาดสาย หากพลาดไปคงน่าเสียดายแย่” มู่ชิงอีมุ่นคิ้วเอ่ยถาม “ท่านรู้หรือว่าตอนนี้มั่วเวิ่นฉิงอยู่ที่ใด”
หรงจิ่นหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที “ชิงชิงต้องตามั่วเวิ่นฉิงเข้าแล้วหรือ คนหน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์แบบนั้นหล่อเหลากว่าข้าอีกหรือ หากชิงชิงจะมองเขาสู้มองข้าเสียยังดีกว่า”
“ท่านอ๋อง…” มู่ชิงอีมองบุรุษที่เผยสีหน้าน่าสงสารตรงหน้าอย่างปวดศีรษะ สงบเสงี่ยมสักวันจะตายหรืออย่างไรกัน
หรงจิ่นแค่นเสียง “เหอะๆ” แล้วลากมู่ชิงอีไปก่อนเอ่ยขึ้นว่า “งั้นพวกเราไปกันเถิด” ก็แค่คนหน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์มิใช่หรือ หากไม่มีคนอย่างมั่วเวิ่นฉิงมาเปรียบเทียบแล้วจะทำให้ข้ากลายเป็นหนุ่มหล่อที่สุดได้เช่นไร
ณ โรงเตี๊ยมริมชายแดนในเมืองเผิงที่ไม่ค่อยเตะตาใครนัก ที่นี่เป็นแหล่งกบดานของสำนักไฉ่อีชั่วคราว ถึงแม้เซวียไฉ่อีจะเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในยุทธภพ แต่นางเป็นคนหยิ่งผยอง นอกจากได้เจอะเจอมั่วเวิ่นฉิงเมื่อหลายปีก่อนจนตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ นางก็ไม่สนใจใครทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีกิจการอะไรมากมาย ดังนั้นสำนักไฉ่อีจึงไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายขนาดนั้น พวกนางเลยทำได้แค่เหมาโรงเตี๊ยมที่ไม่ได้เตะตาใครแห่งหนึ่งไว้เพราะสู้ราคาโรงเตี๊ยมใจกลางเมืองที่ราคาสูงลิ่วไม่ไหว
“เซวียไฉ่อี ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” เซวียไฉ่อีกำลังนั่งสางผมอยู่ในห้องชั้นสอง ในฐานะสาวงามเหนือใคร ความชราที่ค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่นางไร้หนทางจะหลีกเลี่ยงได้ ถึงแม้คนภายนอกจะรู้สึกว่านางยังคงสวยสง่าเฉกเช่นเคย แต่นางรู้ตัวเองดีว่าความงามของนางต้องอาศัยแป้งผัดหน้ามากขึ้นทุกวัน ผิวขาวเนียนนุ่มดั่งหยกขาวค่อยๆ หม่นหมองไร้ราศีขึ้นเรื่อยๆ นางไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าคนมากมายโดยไร้แป้งผัดหน้าด้วยท่าทีหยิ่งผยองได้อีก
“ใครกัน” ครั้นได้ยินคนเรียกชื่อตน เซวียไฉ่อีก็สีหน้าขรึมลงแล้วร้องถามด้วยเสียงสูงตอบกลับไป
ลูกศิษย์หญิงด้านหลังกุลีกุจอรีบออกไปดูแวบหนึ่ง จากนั้นก็รีบกลับมารายงานว่า “รายงานเจ้าสำนัก เป็นหญิงสาววัยเยาว์คนหนึ่งเจ้าค่ะ พาคนมาด้วยสองสามคน เห็นบอกว่าเป็นผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่นามว่าซู่เวิ่น”
เซวียไฉ่อีลุกขึ้นพลางแค่นเสียงเบาทีหนึ่ง เอ่ยเสียงชิงชังว่า “ซู่เวิ่นหรือ นางมาได้อย่างไรกัน” ตอนที่นางไปร้องขอให้มั่วเวิ่นฉิงรักษาอาการป่วยให้คราวนั้นก็เคยเจอซู่เวิ่นเช่นกัน แต่ตอนนั้นซู่เวิ่นเป็นเพียงหนูน้อยอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ทว่าจุกจิกกับนางจนสร้างความลำบากใจให้นางอยู่เรื่อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะกลายเป็นผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่เสียแล้ว
นางวางปิ่นในมือลงบนโต๊ะอีกฝั่ง เซวียไฉ่อีลุกขึ้นจัดระเบียบเสื้อผ้าแล้วหมุนตัวเตรียมเดินออกไป “ไป ไปดูกัน!”
ซู่เวิ่นประชันหน้ากับคนของสำนักไฉ่อีอยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่นานก็ผุดเสียงน่าฟังเย้ายวนดังแว่วมาจากด้านบน “ที่แท้ก็แม่นางซู่เวิ่นจากเย่าหวังกู่นี่เอง เหตุใดถึงมีเวลามาเยือนถึงสำนักไฉ่อีได้เล่า”
ซู่เวิ่นเงยหน้ามองก็เห็นหญิงสาวชุดขาวเผยอากัปกิริยางดงามค่อยๆ ย่างกรายเดินลงมาด้านล่างพร้อมหว่างคิ้วและแววตาทรงเสน่ห์ที่คนช่วงวัยอย่างนางยังไม่มี เพียงแต่… “เจ้าเองหรือ” นางเคยเจอผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่นางยังคงจำเรื่องที่ผู้หญิงคนนี้พยายามยั่วยวนเจ้าสำนักในคราวนั้นได้ขึ้นใจ คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า หากรู้แต่แรกคงฆ่านางทิ้งตั้งแต่ตอนอยู่ที่เย่าหวังกู่แล้ว! เวลานี้ซู่เวิ่นจึงปรากฏไอสังหารพาดผ่านดวงตาให้เห็น
เซวียไฉ่อีเม้มริมฝีปากยิ้มเอ่ย “แล้วมิใช่ข้าหรือ ได้ยินมาว่าแม่นางซู่เวิ่นวิงวอนขอความรักไม่ได้เลยสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกเพื่อทรยศเจ้าสำนักมั่ว ทำเอาข้าต้องตั้งตารอคอยเลยจริงๆ”
ซู่เวิ่นหน้าดำทะมึน เอ่ยเสียงขรึม “มั่วเวิ่นฉิงอยู่ที่ใด”
เซวียไฉ่อีชะงักไปแล้วยิ้มเย็นชาตอบ “ข้าจะรู้ที่อยู่ของเจ้าสำนักมั่วได้เช่นไร”
ซู่เวิ่นเอ่ยพลางยิ้มเย็น “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ผู้หญิงอย่างเจ้าตามรังควานเจ้าสำนักมั่วจนไม่รู้จักอับอาย แล้วเจ้าจะไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนได้เช่นไร”
เซวียไฉ่อีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธ เสียงหัวเราะดังกังวานดั่งเสียงระฆังเงิน “ถึงข้าจะตามรังควานจนไม่รู้จักความอับอาย แต่ข้าก็ไม่ได้เปลี่ยนความชิงชังเป็นความโกรธแค้นเสียเมื่อไร อายุน้อยแค่นี้แต่จิตใจกลับอำมหิตขนาดนี้แล้ว โชคดีที่เจ้าสำนักมั่วไม่ได้ตาบอดต้องตาเจ้า มิเช่นนั้นหากตบแต่งนังอสรพิษอย่างเจ้าไปเป็นภรรยา กลางคืนจะนอนหลับสนิทได้เช่นใด ต่อให้ข้ารู้ว่าเจ้าสำนักมั่วอยู่ที่ใดแล้วอย่างไร เหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วย”
“เจ้ารนหาที่ตาย!” ซู่เวิ่นตวาดด้วยความโกรธ
“ข้าต้องกลัวเจ้าด้วยหรือ” เซวียไฉ่อีเชิดคางพร้อมเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก พอสนทนากันไม่ลงรอย พวกนางทั้งสองก็รีบลงไม้ลงมือกันทันที ข้างกายพวกนางมีลูกน้องไม่น้อย ครั้นเห็นเจ้านายปะทะกันก็ย่อมอยู่เฉยไม่ได้เลยลงไม้ลงมือตามไปด้วย ชั่ววินาทีนั้นทั่วทั้งโรงเตี๊ยมก็ตกอยู่ในความอลหม่านพร้อมเลือดสาดกระเซ็นนองพื้น
ผู้หญิงลงไม้ลงมือโหดเหี้ยมกว่าผู้ชายอย่างที่คาดคิดไว้จริงๆ ฝีมือวิทยายุทธของเซวียไฉ่อีเหนือกว่าซู่เวิ่น กระทั่งปล่อยกระบวนท่าหมายทำร้ายซู่เวิ่นเรื่อยๆ แต่บนร่างของเวิ่นซู่ก็มีพิษแปลกๆ มากมายเช่นกัน ถึงแม้ฝีมือจะธรรมดา แต่พอปล่อยใส่หน้าเซวียไฉ่อีครั้งแล้วครั้งเล่าก็ทำเอาเซวียไฉ่อีมือไม้พัลวันไปชั่วขณะเช่นกัน
คนที่เหลือยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาต่างพุ่งเข้าสู้จนวุ่นวายไปหมด
สวบ!…แส้ยาวในมือของเซวียไฉ่อีตวัดลงบนร่างซู่เวิ่นจนทิ้งรอยเลือดไว้อย่างไม่คิดปรานีสักนิด ขณะเดียวกันปลายแส้ก็ทิ่มร่างของซู่เวิ่นจนเสื้อผ้าสีขาวฉีกขาดเป็นทางยาว เซวียไฉ่อีเลิกคิ้วด้วยท่าทีลำพองใจ “ผู้อาวุโสเย่าหวังกู่ได้แค่นี้เองหรือ ตำแหน่งผู้อาวุโสของเจ้าใช้เส้นสายของผู้อาวุโสคนก่อนมากกว่ากระมัง” อดีตผู้อาวุโสที่ดูแลเรื่องสัพเพเหระในแต่ละวันของเย่าหวังกู่ก็คือท่านปู่ของซู่เวิ่น
ซู่เวิ่นสีหน้าหม่นลงแล้วเปลี่ยนสีเสื้อผ้าโดยไม่คิดลังเล ขวดเล็กกะทัดรัดประณีตถูกเขวี้ยงแตกบนพื้น น้ำยาที่กระเซ็นออกมาเผาไหม้ผิวหนังช่วงแขนของเซวียไฉ่อี เจ็บปวดจนสีหน้าของเซวียไฉ่อีซีดเซียว
“เจ้าเองก็ไม่เท่าไร สาวแก่วัยกลางคนอย่างเจ้าต้องใช้แป้งผัดหน้าหนาขนาดไหนถึงจะปกปิดริ้วรอยเหี่ยวย่นของเจ้าได้ ให้ข้าช่วยปรุงยาชะลอริ้วรอยให้สักเม็ดหน่อยหรือไม่เล่า” ซู่เวิ่นเอ่ยแดกดันอย่างไร้ความปรานี
“นังเด็กบ้า! รนหาที่ตาย!” เซวียไฉ่อีเกลียดการที่คนอื่นพูดถึงอายุของตัวเองที่สุดแล้ว เหมือนซู่เวิ่นจะพูดจี้ใจดำนางถูกจุด แส้ยาวในมือตวัดขึ้นก่อนเงาแส้จะม้วนพุ่งไปหาซู่เวิ่นอย่างเหี้ยมโหด