“พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ซู่เวิ่นตวาดขึ้น พวกเขาเพิ่งแยกย้ายกันได้ไม่นาน นางย่อมไม่มีทางลืมคนที่น่าอิจฉาริษยาอย่างมู่ชิงอีและคนที่ทำให้นางอับอายอย่างอวิ๋นอิ่นได้
หรงจิ่นเองก็ไม่สนใจ เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “ทางผ่าน เห็นว่าคึกคักดีก็เลยแวะดูสักหน่อย”
ซู่เวิ่นคิดจะระเบิดอารมณ์อีกครั้งแต่ถูกหลิงซูห้ามเอาไว้ หลิงซูยิ้มเจื่อนอย่างระอาใจ “คิดว่าก่อนหน้านี้น้องหญิงของข้าคงเสียมารยาทล่วงเกินท่านทั้งสองไป หลิงซูต้องขออภัยคุณชายอวิ๋นอิ่นกับฮูหยินด้วย ข้าหวังว่าความแค้นระหว่างเย่าหวังกู่และคุณชายอวิ๋นอิ่นคงจบลงแต่เพียงเท่านี้”
พูดจบ นางก็หมุนตัวหันมาเอ่ยกับเซวียไฉ่อีว่า “เจ้าสำนักเซวีย เรื่องนี้น้องหญิงของข้ากระทำการบุ่มบ่ามไป เย่าหวังกู่ยินดีชดใช้ความเสียหายทั้งหมดแก่เจ้าสำนักเซวีย ข้าหวังว่าเราจะสงบศึกระหว่างกันได้”
เซวียไฉ่อียิ้มเย็นชาโดยไม่คิดรับน้ำใจนี้ไว้เลยสักนิด “ข้าจำได้ว่าเจ้าสำนักเย่าหวังกู่แซ่มั่วมิใช่หรือ ตอนนี้ต้องให้ผู้อาวุโสอย่างหลิงซูมาตัดสินใจแทนแล้วหรืออย่างไรกัน”
หลิงซูเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เรื่องก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพราะซู่เวิ่นก่อความวุ่นวายทั้งสิ้น หลิงซูเองก็ปิดตัวบำเพ็ญเพียรเลยบกพร่องไปชั่วขณะ ครั้งนี้มาก็เพื่อแก้ปัญหาและเชิญเจ้าสำนักกลับเย่าหวังกู่ ส่วนซู่เวิ่น...รอเจอตัวเจ้าสำนักแล้วค่อยจัดการ”
“พี่หญิง…” ซู่เวิ่นผงะไป ดูท่าทางแล้วนางคงคิดไม่ถึงว่าพี่หญิงของตนจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยนาง หลิงซูกวาดตามองนางแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “หุบปาก! เจ้ายังหาเรื่องเดือดร้อนไม่พอหรืออย่างไร รอเจ้าสำนักกลับมาเมื่อไร ดูสิว่าเขาจะลงโทษเจ้าเช่นไรบ้าง!”
หรงจิ่นกวาดตามองพวกนางสามคนแวบหนึ่ง จากนั้นก็เลิกคิ้วเอ่ยกับมู่ชิงอีว่า “ดูท่าทางคงไม่มีเรื่องสนุกๆ ดูแล้ว ชิงชิงพวกเรากลับกันเถิด”
มู่ชิงอีเองก็ไม่สนใจ เพราะเดิมทีหรงจิ่นเป็นคนรั้นพานางมาดูเรื่องสนุกๆ เหล่านี้เอง ในเมื่อตอนนี้ไม่มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว เขาเลยไม่ชอบใจนัก
“ท่านนี้คือแม่นางมู่อย่างนั้นหรือ” หลิงซูประสานมือทำความเคารพพลางยกยิ้ม
มู่ชิงอีอดยอมรับไม่ได้ว่าผู้อาวุโสหลิงซูเป็นคนละประเภทกับซู่เวิ่นอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้หน้าตาจะธรรมดา แต่บุคลิกกระตือรือร้นและท่าทีเป็นกันเองของนางกลับชวนให้เจริญตามากกว่าซู่เวิ่นหลายร้อยเท่า พูดจาตรงไปตรงมาและสำรวม รู้ว่าอะไรควรมิควร บวกกับฝีมือการรักษาที่เด็ดขาดและวิทยายุทธอันเป็นเลิศ อีกทั้งไม่ว่าจะจัดการแก้ปัญหาใดก็ทำได้อย่างมีขอบเขต หากนางมาเจอมู่ชิงอีในสถานะอื่นคงน่าประทับใจมากกว่านี้อย่างแน่นอน
“เจ้าค่ะ คารวะผู้อาวุโสหลิงซู”
หลิงซูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มิบังอาจ แม่นางเป็นสหายของเจ้าสำนักก็เปรียบเสมือนเป็นสหายของข้าด้วย เพียงแต่ซู่เวิ่นอายุยังน้อยและไม่รู้ความ แม่นางอภัยให้ด้วย อีกเรื่องหากแม่นางเจอเจ้าสำนักอีก โปรดช่วยบอกเจ้าสำนักทีว่าข้ารอเจ้าสำนักลงโทษอยู่”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ผู้อาวุโสเกรงใจกันแล้ว หากมีวาสนาได้เจอกัน ข้าจะช่วยบอกให้”
“ขอบคุณแม่นางมาก”
“ชิงชิงไปกันเถิด” หรงจิ่นลากมู่ชิงอีเดินไปทางถนนอีกฝั่งด้วยท่าทีหงุดหงิดใจแล้วทิ้งกองศพเกลื่อนกลาดไว้ให้พวกนางสามคนจัดการกันเอง
หลังออกมาจากสถานที่ที่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอย่างหนักหน่วงแล้ว มู่ชิงอีก็ค่อยๆ สูดเอาอากาศสดชื่นที่มีกลิ่นหอมดอกไม้เข้าไป ฉับพลันอารมณ์ก็ดีขึ้นมาก หรงจิ่นมองนางพลางเลิกคิ้วเอ่ยถาม “ชิงชิงชอบผู้หญิงคนนั้นมากอย่างนั้นหรือ”
“ผู้หญิง? ท่านหมายถึงหลิงซูน่ะหรือ” มู่ชิงอีชะงักไป พอได้สติขึ้นมาถึงเอ่ยถามกลับ
หรงจิ่นแค่นเสียงเบา มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ก็ไม่เชิงชอบหรอกเพคะ แต่พอเห็นผู้หญิงแบบนี้ในยุทธภพเลยคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย” หญิงสาวในยุทธภพไม่ว่าจะจอมยุทธ์หญิงธรรมดาหรือบุตรสาวตระกูลผู้ดี พวกนางล้วนมีกลิ่นอายความหยิ่งผยองและความเหี้ยมโหดเฉพาะตัวแฝงอยู่ด้วย หญิงสาวที่สุขุมอ่อนโยนอย่างหลิงซูกลับเหมือนบุตรสาวที่มาจากตระกูลปัญญาชนซะมากกว่า โดยเฉพาะวิทยายุทธที่ติดตัวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
หรงจิ่นยิ้มเย้ย “ข้ากลับไม่ได้รู้สึกว่านางมีอะไรดีเป็นพิเศษ ดูสิขนาดเห็นศพเกลื่อนพื้นสีหน้ายังเรียบนิ่งอยู่เลย แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นผู้หญิงอำมหิตคนหนึ่ง”
มู่ชิงอีมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “องค์ชายเก้าพานโกรธที่นางมาทำลายละครสนุกๆ มากกว่ากระมัง” พอถูกคนพูดแทงใจดำเข้า หรงจิ่นเลยเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์
มู่ชิงอีจับใบหน้าของเขาหันกลับมาที่ตนอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเอ่ยถาม “หลิงซูบอกว่าเรื่องครั้งนี้เป็นฝีมือของซู่เวิ่นคนเดียว ท่านเชื่อหรือไม่เพคะ”
หรงจิ่นยิ้มเย็นชาเอ่ย “เจ้าก็เห็นว่าความโง่เขลาประทับเด่นหราอยู่บนหน้าของซู่เวิ่นขนาดนั้น นางเหมือนคนที่จะวางอุบายทำร้ายมั่วเวิ่นฉิงได้หรือ นอกเสียจากว่ามั่วเวิ่นฉิงจะโง่กว่านาง”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ตกลงคนของเย่าหวังกู่คิดจะทำอะไรกันแน่”
หรงจิ่นเอ่ย “ไม่ว่าคนของเย่าหวังกู่คิดจะทำอะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากให้มั่วเวิ่นฉิงเป็นเจ้าสำนักของเย่าหวังกู่แล้ว และสุดท้ายก็ฆ่ามั่วเวิ่นฉิงทิ้ง ต่อให้หลิงซูนั่นออกมาบอกตอนนี้ว่าเกิดความเข้าใจผิดกันแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า หรือคนที่มั่วเวิ่นฉิงฆ่าทิ้งจะฟื้นกลับคืนมาได้? ทุกสำนักจะยอมวางมือง่ายๆ แล้วล้มเลิกการตามหาหญ้าเซียนเก้าเมฆาอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีคลึงหว่างคิ้วอย่างจนใจ “อยู่ดีๆ เรื่องราวก็ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เสียได้”
“ชิงชิงปวดหัวหรือ” หรงจิ่นยิ้มเอ่ย
มู่ชิงอีส่ายศีรษะกล่าว “หม่อมฉันแค่รู้สึกมักถูกคนทำแผนพังเลยชวนให้ไม่สบายตัวอยู่บ้าง ดูท่าทางเรื่องเย่าหวังกู่ครั้งนี้จะมีคนหนุนหลังที่ไม่ธรรมดาอยู่ด้วยแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่า…ตกลงเป็นใครกันแน่”
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “ข้าเองก็ใคร่รู้นักว่าตกลงเป็นใครกันแน่”
“องค์ชายเก้าหมายความว่า?”
หรงจิ่นเกาคางแล้วเผยสีหน้าราวกับปวดใจกับความทุกข์ยากของคนบนโลกใบนี้ก็มิปาน “ข้ารู้ว่าชิงชิงยังอาลัยอาวรณ์ฝีมือการรักษา…ของมั่วเวิ่นฉิงอยู่ ฉะนั้นก็ใจกว้างเมตตาช่วยเขาหน่อยแล้วกัน”
“……”
เพราะการมาเยือนของหลิงซู ไม่นานเย่าหวังกู่ก็แพร่งพรายข่าวคราวออกไปใหม่ว่าเรื่องก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด มั่วเวิ่นฉิงยังคงเป็นเจ้าสำนักของเย่าหวังกู่เฉกเช่นเดิม
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ใช่ว่าหลิงซูออกมาพูดประโยคเดียวแล้วจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ เป็นไปตามที่หรงจิ่นพูดไว้ว่าถึงอย่างไรคนในยุทธภพที่ถูกมั่วเวิ่นฉิงฆ่าตายก็ไม่มีทางฟื้นคืนกลับมาได้ หากคิดจะแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีสันติย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เย่าหวังกู่พูดอะไรออกมา มั่วเวิ่นฉิงก็ยังคงไม่ปรากฏตัวให้เห็นเหมือนเช่นเคย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่คิดรับน้ำใจของหลิงซูเลยสักนิด
“ทูลท่านเจ้าเมือง จื้ออ๋องขอเข้าพบเพคะ” ขณะที่มู่ชิงอีกำลังพูดคุยสัพเพเหระอยู่ในห้อง ฮั่วซูที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามารายงาน มู่ชิงอีวางพู่กันในมือลงแล้วเลิกคิ้วถาม “จื้ออ๋อง? เขามาทำอะไรที่นี่”
หรงจิ่นพิงกายบนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบายๆ เอ่ยเสียงเกียจคร้าน “จะมีอะไรได้ คงเรื่องหรงเซวียนนั่นแหละ”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่น “จื้ออ๋องเองก็คิดจะวางอุบายจัดการเขาที่นี่หรือเพคะ…จื้ออ๋องใจร้อนเกินไปแล้ว” ในฐานะพระโอรสของฮองเฮา ต่อให้ไม่เป็นที่โปรดปรานแต่กลับมีอำนาจมากกว่าองค์ชายทั่วไปอยู่มาก อย่างน้อยเขาก็ครอบครองตำแหน่งพระโอรสของฮองเฮาไว้ตั้งแต่กำเนิด นอกเสียจากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงปรารถนาแต่งตั้งหรงเซวียนขึ้นเป็นองค์รัชทายาทจริงๆ มิเช่นนั้นต่อให้องค์ชายเหล่านั้นดีดดิ้นแค่ไหนก็คงเอาชนะเขาไม่ได้
หรงจิ่นยกยิ้มมุมปากเอ่ยอย่างดูแคลน “ช่วงวัยเยาว์ของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงพระปรีชารอบด้าน ในเมื่อความเฉลียวฉลาดและวิทยายุทธล้วนโดดเด่นเหนือใครทั้งสิ้น ไม่เพียงแต่มีวิธีปกครองบ้านเมือง แต่เรื่องศึกสงครามก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน หลายปีมานี้ฝ่าบาททรงเข่นฆ่าคนมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมเห็นได้ชัดว่าพระองค์ชอบเรื่องการทหารมากกว่า ทว่าจื้ออ๋องดันไม่ถนัดเรื่องศึกสงคราม อีกทั้งตระกูลของฮองเฮาก็มาจากตระกูลผู้มีความรู้ แต่หลังจากบิดาของนางสิ้นใจจากไป อำนาจในมือของฮองเฮาก็ยิ่งลดลง ถึงแม้หนานกงเจวี๋ยจะถูกฮ่องเต้กดไว้ แต่ในเมื่อ…หนานกงเจวี๋ยยังไม่ตาย อำนาจทางการทหารของตระกูลหนานกงก็ยังคงอยู่ หนานกงอี้เองก็ใช่ว่าจะรับมือได้ด้วยง่ายๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้วันหน้าตำแหน่งรัชทายาทจะตกเป็นของเขา แต่ถ้าหรงเซวียนยังอยู่ เขาก็ไม่มีทางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้แน่นอน”