ถึงแม้ดูเหมือนสถานะของนักรบจะต่ำต้อยกว่าขุนนางผู้มีความรู้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเรื่องเปลี่ยนแปลงราชสำนักทุกยุคทุกสมัยกลับไม่ใช่สิ่งที่ปัญญาชนจะทำได้เลย ในเมื่อมีการสถาปนาแว่นแคว้นใดโดยไร้ศึกสงครามบ้าง เพราะเหตุนี้จึงมีสำนวนที่ว่า ‘ต่อให้บัณฑิตคิดก่อกบฏ ผ่านไปหลายปีก็ยังไม่สำเร็จ’ ดังนั้นเหล่าฮ่องเต้ทุกยุคทุกสมัยถึงตายด้วยน้ำมือของนักรบ ไม่ใช่เพราะสถานะพวกเขาต่ำต้อยกว่า แต่เพราะพวกเขาอันตรายกว่าเหล่าปัญญาชนมากนัก
“เหตุใดเขาถึงนึกอยากมาร่วมมือกับท่านเล่า” มู่ชิงอีถามอย่างฉงนใจ
หรงจิ่นยิ้มกล่าว “มิเช่นนั้นเขาจะไปหาใครได้อีกเล่า เว่ยอู๋จี้ เย่าหวังกู่หรือสำนักยุทธภพชื่อดังอย่างนั้นหรือ” คุณชายอวิ๋นอิ่นเหมาะสมที่สุดแล้วมิใช่หรืออย่างไร วิทยายุทธแกร่งกล้า นิสัยพยศ ไปไหนมาไหนลำพังโดยไม่เข้าพวกใคร ไม่ว่าวันหน้าคิดอยากจะบงการหรือฆ่าปิดปากล้วนสะดวกกว่าใครทั้งสิ้น หากเลือกเว่ยอู๋จี้ ด้วยคุณสมบัติของหรงหวงแล้วจะดึงเข้าเป็นพวกได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย
“จะเจอหน้าเขาไหมเพคะ” มู่ชิงอียิ้มพลางเอ่ยถาม
หรงจิ่นดีดนิ้วแล้วยิ้มบางกล่าว “แล้วจะไม่เจอได้อย่างไรเล่า เชิญเขาเข้ามาเถิด”
ฮั่วซูลอบปาดเหงื่อบนหน้าผากโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น ฉับพลันก็นึกเห็นใจท่านอ๋องที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ในโถงรับแขกขึ้นมาทันที ขนาดยังไม่เจอกันก็ถูกมองความคิดออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เช่นนี้จะยังคาดหวังสิ่งใดได้อีกเล่า
ไม่นานหรงหวงก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือภายใต้การนำทางของฮั่วซู จากนั้นก็เหลือบมองพวกเขาสองคนในห้องหนังสือแวบหนึ่ง สตรีชุดขาวก็คือแม่นางมู่ซึ่งได้ยินมาว่าเป็นองค์หญิงหมิงเจ๋อแห่งแคว้นหวา บัดนี้นางกำลังนั่งขีดเขียนบางอย่างขยุกขยิกอยู่หลังโต๊ะหนังสือด้วยท่างท่าสง่างาท แต่คุณชายอวิ๋นอิ่นกลับฟุบตัวอยู่อีกฝั่งอย่างอ่อนแรง หากไม่ใช่เพราะสวมหน้ากากอยู่บนใบหน้า หรงหวงนึกสงสัยว่าตนคงจะเห็นท่าทีสะลึมสะลืมเกียจคร้านปรากฏชัดบนใบหน้าของเขาแน่นอน
คนแบบนี้…จะร่วมมือด้วยได้จริงๆ หรือ หรงหวงนึกสงสัยในใจ
“จื้ออ๋องมาครั้งนี้มีเรื่องอันใดหรือ” นานๆ ครั้งหรงจิ่นจะหยัดกายนั่งตัวตรงเช่นนี้ พลันเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
หรงหวงเหลือบมองมู่ชิงอีที่กำลังถือด้ามพู่กันขีดเขียนอยู่อีกฝั่งด้วยท่าทีระแวงแวบหนึ่ง หรงจิ่นโบกมือเอ่ย “ท่านอ๋องอย่ากังวลไปเลย กระหม่อมกับชิงชิงก็เหมือนคนๆ เดียวกัน ฉะนั้นไม่มีเรื่องใดที่นางรู้ไม่ได้”
หรงหวงพยักหน้าแล้วจับจ้องหรงจิ่นเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นมีความคิดเห็นกับเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาเช่นใดบ้างหรือ”
อวิ๋นอิ่นเลิกคิ้วยิ้มถาม “หญ้าเซียนเก้าเมฆาหรือ ย่อมเป็นสมบัติล้ำค่ามากอยู่แล้ว หากได้สมบัติเช่นนี้มาก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน” หรงหวงฟังนัยยะที่แฝงมากับน้ำเสียงของเขาออก จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างตกตะลึง “เหมือนคุณชายไม่สนใจเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาเลยหรือ”
หรงจิ่นยิ้มกล่าว “ทำไมหรือ ในเมื่อสรรพคุณวิเศษของหญ้าเซียนเก้าเมฆาแพร่งพรายโด่งดังขนาดนี้ หากได้มาช่วยรักษาความงามให้ชิงชิงก็คงไม่เลว”
หรงหวงกระตุกยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ คนทั้งใต้หล้าเข่นฆ่าช่วงชิงกันแทบตาย แต่ในสายตาของหรงจิ่นกลับเห็นเป็นแค่สินค้าความงามอย่างหนึ่งเท่านั้น
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ไม่ถูกหรือ หากว่ากันเรื่องวิทยายุทธ ต่อให้ไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆา ด้วยฝีมือของกระหม่อมแล้วก็คงมีไม่กี่คนที่กล้าประลองฝีมือกับกระหม่อมจริงๆ หากว่าด้วยเรื่องอายุยืนยาว ท่านอ๋องก็น่าจะรู้ว่าหากฝึกฝนกำลังภายในได้ในระดับหนึ่ง ขอแค่ไม่ถูกใครชิงฆ่าตายก่อน การจะมีอายุยืนยาวนับร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร หรือหากทานหญ้าเซียนเก้าเมฆาเข้าไปแล้ว ต่อให้โดนคนอื่นบั่นหัวก็จะสามารถรอดตายได้อย่างนั้นหรือ”
หรงหวงอดยิ้มแห้งไม่ได้ “คุณชายอวิ๋นอิ่นช่างมองการณ์ไกลนัก ข้าเทียบไม่ติดจริงๆ”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบา ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าจะตามได้ทันแน่นอน
หรงหวงกวาดตามองหรงจิ่นครู่หนึ่งอย่างลังเลใจ ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย “ในเมื่อคุณชายอวิ๋นอิ่นไม่สนใจหญ้าเซียนเก้าเมฆา ข้าอยากขอร่วมมือกับคุณชายอวิ๋นอิ่น ไม่ทราบว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นคิดเห็นเช่นใด”
หรงจิ่นยิ้มเย้ยหยัน “ใครบอกว่ากระหม่อมไม่สนใจหญ้าเซียนเก้าเมฆากัน หากไม่สนใจแล้วกระหม่อมจะถ่อมาถึงที่นี่ทำไมเล่า”
หรงหวงรีบเอ่ย “แน่นอนว่าหลังภารกิจสำเร็จ ข้าจะชดเชยของที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับหญ้าเซียนเก้าเมฆาให้คุณชายอวิ๋นอิ่นแน่นอน” หรงจิ่นชะงักไป เวลานี้เขาถึงหันไปมองหรงหวงซึ่งๆ หน้าพร้อมเผยท่าทีราวกับสนใจ ครั้นหรงหวงเห็นเขาหวั่นไหวก็รีบเอ่ยทันทีว่า “ข้าขอแค่กำลังหนุนของคุณชายอวิ๋นอิ่นช่วยช่วงชิงหญ้าเซียนเก้าเมฆามาได้สำเร็จก็พอ หลังจบเรื่องข้าจะชดเชยให้คุณชายอวิ๋นอิ่นหนึ่งหมื่นตำลึงทองเลย”
“ดูท่าทาง…จื้ออ๋องคงเห็นกระหม่อมเป็นขอทานมากกว่ากระมัง” ลำพังแค่หมื่นตำลึงทองจะพอยาไส้เขาได้ที่ไหนกัน
หรงหวงสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นจะโลภมากขนาดนี้อย่างเห็นได้ชัด แต่หากช่วงชิงหญ้าเซียนเก้าเมฆามาได้จริงๆ อย่าว่าแต่หมื่นตำลึงทองเลย ต่อให้แสนตำลึงทองก็คุ้มค่า
“เช่นนั้นคุณชายอวิ๋นอิ่นต้องการเท่าใด” หรงหวงเอ่ยถามออกไป
หรงจิ่นเลิกคิ้วยิ้มกล่าว “แสนตำลึงทอง แต่จ่ายค่ามัดจำก่อนครึ่งหนึ่ง”
“คุณชายอวิ๋นอิ่นเสนอเงื่อนไขสูงเกินไปแล้ว!” ทันใดนั้นหรงหวงก็โพล่งขึ้น ถึงแม้เขาแอบเดาในใจได้ แต่พออวิ๋นอิ่นเปิดปากว่าต้องการแสนตำลึงก็ทำเอาหรงหวงอดโมโหมากไม่ได้อยู่ดี ใช่ว่าเขาจะหาเงินแสนตำลึงทองไม่ได้ แต่หากเอาออกมาก็คงเกือบเกลี้ยงจวนอ๋องแล้ว
หรงจิ่นหัวเราะเสียงเย็นชาแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ตามสบายเถิด หากกระหม่อมคว้าหญ้าเซียนเก้าเมฆามาได้ค่อยเอาไปเร่ขายก็มีค่าเท่ากัน คิดว่าจวงอ๋องก็คงสนใจราคานี้ไม่ต่างกัน”
หรงหวงกัดฟันเอ่ย “เหตุใดเจ้าถึงมั่นใจนักว่าจะเอาหญ้าเซียนเก้าเมฆามาได้เล่า”
หรงจิ่นยิ้มกล่าว “ก็เพราะกระหม่อมรู้ตำแหน่งที่อยู่ของมั่วเวิ่นฉิงอย่างไรเล่า หรือจะบอกว่าท่านอ๋องก็รู้อย่างนั้นหรือ”
เขาย่อมไม่รู้อยู่แล้ว! หากเขารู้คงส่งคนไปชิงฆ่าก่อนแน่นอน หรงหวงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิกปากบอกว่า “ได้…ข้าจะให้เจ้าก่อนห้าหมื่นตำลึง แต่หากเจ้าผิดคำพูดล่ะก็…”
หรงจิ่นเอ่ยพลางยิ้มตาหยี “กระหม่อมก็เป็นแค่เด็กเร่ร่อนในยุทธภพ แล้วจะบังอาจเป็นปฏิปักษ์กับเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์ได้อย่างไร ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยยื่นหมูยื่นแมวกันเถิด”
“เช่นนั้นก็ดี!” พอตกลงเรื่องนี้เสร็จ หรงหวงก็รีบขอตัวกลับโดยไม่คิดอยู่ต่อ เขาต้องสงบสติอารมณ์ที่จู่ๆ เสียเงินก้อนโตไปเสียก่อน ต่อให้สุดท้ายเขาได้หญ้าเซียนเก้าเมฆามา กระทั่งเสด็จพ่อทรงดีอกดีใจจนหน้ามืดแล้วแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ทว่าเงินแสนตำลึงทองก็ใช่ว่าจะเอากลับคืนมาได้ แต่…หากเขากลายเป็นองค์รัชทายาท วันหน้ายังจะขาดแคลนอันใดอีกหรือ
หลังจากส่งหรงหวงกลับแล้ว ครั้นหรงจิ่นนึกถึงเงินห้าหมื่นตำลึงทองที่กำลังจะเข้าบัญชีก็ดีอกดีใจขึ้นมาทันที มู่ชิงอีวางพู่กันในมือลงอีกฝั่งก่อนอมยิ้มกล่าว “องค์ชายเก้าหัวพ่อค้านัก ไม่ทราบว่าพอถึงตอนนั้นท่านคิดจะเอาอะไรไปแลกกับเงินห้าหมื่นตำลึงนั่นมาหรือ”
หรงจิ่นถอนหายใจอย่างจนใจ “ห้าหมื่นตำลึงที่เหลือเกรงว่าคงไม่ได้มาแล้วล่ะ หรือบางทีเราจะลองทางฝั่งหรงเซวียนดูบ้างดีนะ”
มู่ชิงอีกวาดตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านพอได้แล้ว หากปั่นหัวจนตกหลุมพรางเองขึ้นมาคงไม่ดี เรื่องที่เหลือหม่อมฉันจัดการเอง อีกไม่กี่วันท่านก็เตรียมออกเดินทางกลับเมืองหลวงไปเถิด”
หรงจิ่นเอ่ยอย่างหัวเสีย “ทำไมเล่า”
มู่ชิงอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ตกลงใครอยากให้หรงหวงตายกันแน่เพคะ หากตอนที่หรงหวงตายแต่ไม่เห็นตัวองค์ชายเก้าล่ะก็ ท่านคิดว่าวันหน้าจะไม่มีใครนึกสงสัยตัวท่านบ้างเลยหรือ หรือท่านคิดว่าฮ่องเต้ทรงเป็นคนที่รับมือด้วยง่ายมากหรืออย่างไรกัน” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์รับมือยากกว่าฮ่องเต้แคว้นหวามากทีเดียวเชียว