มู่ชิงอีเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ย “เรื่องนี้…คงห้าสิบห้าสิบกระมัง บางทีอาจจะมาหรือไม่มาก็ได้ แต่เจ้าสำนักมั่วไม่มีทางอยู่นอกเมืองแน่นอน”
“ไอ๊หยา แม่นางจะบอกว่าข่าวนั้นเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “หลายวันมานี้นอกจากมั่วเวิ่นฉิงคิดจะปรากฏตัวเอง เจ้าเห็นใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ใดบ้างหรือ ทว่าเวลานี้ดันมีข่าวแพร่สะพัดว่าเขาอยู่นอกเมือง เกรงว่า…ต้องมีเรื่องใดแน่นอน และเขาน่าจะอยู่ในเมืองถึงจะถูก”
“แม่นางมู่ช่างปราดเปรื่องนัก” เสียงเรียบของผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลัง ฉับพลันฮั่วซูก็หันไปพร้อมกระโดดขึ้นกลางอากาศก่อนเหวี่ยงดาบใส่
มั่วเวิ่นฉิงเอามือไพล่หลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างที่ไม่ไกลนักด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าสายตาที่จับจ้องมู่ชิงอีกลับแฝงไปด้วยความสงสัยและสำรวจอย่างละเอียด
ครั้นเห็นดาบของฮั่วซูพุ่งเข้ามาหา มั่วเวิ่นฉิงกลับไม่แม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ มู่ชิงอีรีบเปิดปากเอ่ย “ฮั่วซู หยุดเดี๋ยวนี้!”
ฮั่วซูขมวดคิ้วก่อนจะเก็บดาบในมือตามคำสั่ง จากนั้นก็กลับไปยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงอีใหม่พลางจับจ้องมั่วเวิ่นฉิงอย่างระแวดระวัง มั่วเวิ่นฉิงมุ่นคิ้วเอ่ย “แม่นางมู่ช่างสายตาดีนัก”
เพียงสะบัดมือครั้งเดียวก็มีลมอ่อนๆ พัดมาก่อนดอกเบญจมาศที่วางอยู่ตรงหน้าต่างจะแหลกละเอียดเป็นเถ้าธุลีในพริบตาอย่างน่าเหลือเชื่อ ชั่ววินาทีนั้นฮั่วซูตกใจจนเหงื่อเย็นไหลซึม หากฝีดาบนั้นของนางแทงเข้าไปคงถูกหลอมกลายเป็นเถ้าธุลีเหมือนดอกไม้กระถางนั้นเหมือนกันกระมัง ถึงแม้ฝีมือวิทยายุทธของมั่วเวิ่นฉิงจะไม่ได้เป็นเลิศ ทว่าระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันกลับสังหารคนไปมากมายแต่ตนเองกลับไม่มีรอยแผลสักนิด
วิทยายุทธเป็นเลิศแล้วอย่างไรเล่า รอบรู้การใช้พิษต่างหากถึงจะเป็นอาวุธสังหารที่แท้จริง
มู่ชิงอีอมยิ้มกล่าว “ไม่หรอก ข้าไม่เห็น ข้าเพียงแค่เตือนฮั่วซูให้ระวังพิษของท่านเจ้าสำนักก็เท่านั้น เจอกันอีกแล้วท่านเจ้าสักมั่ว”
มั่วเวิ่นฉิงกวาดตามองสาวน้อยชุดขาวที่ยิ้มหวานอ่อนโยนตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้าเอ่ย “แม่นางมู่ เป็นเช่นใดบ้าง”
มู่ชิงอีอมยิ้มกล่าว “ชิงอีย่อมสบายดีอยู่แล้ว เพียงแต่เห็นทีเจ้าสำนักมั่วจะไม่ค่อยสบายดีเท่าใดนัก” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สบายมาก” ไม่ว่าเย่าหวังกู่จะก่อกบฏหรือถูกเหล่าสำนักต่างๆ ไล่ล่าตามฆ่า ทว่าสำหรับมั่วเวิ่นฉิงแล้วกลับเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ขี้ปะติ๋วอย่างเห็นได้ชัด
ครั้นเห็นเขาแสดงท่าทีเช่นนั้น มู่ชิงอีเลยเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้าสำนักมั่วคิดเห็นเรื่องสำนักเย่าหวังกู่เช่นใดหรือ”
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “หากพวกนางอยากได้นักก็เอาไปเสีย” เดิมทีข้าก็ไม่ได้สนใจตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่อะไรนี่อยู่แล้ว
มู่ชิงอีกลอกตาไปมาแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เช่นนั้นเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาเล่า”
มั่วเวิ่นฉิงจับจ้องมู่ชิงอีแล้วเอ่ย “ครั้งก่อนข้าบอกแม่นางไปแล้วว่าข้าไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆา” มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว “ข้าเชื่อเจ้าสำนักมั่ว แต่…เหมือนคนอื่นจะไม่เชื่อคำพูดของเจ้าสำนักมั่วเท่าไร แต่ไหนแต่ไรมาคนในยุทธภพมักเข้าใจอะไรยาก เพื่อเคล็ดวิชาลับวิทยายุทธ ดาบล้ำค่าเล่มหนึ่ง กระทั่งแผนที่ขุมทรัพย์ที่ไม่มีมูลความจริงยังรบราฆ่าฟันกันจนเลือดนองพื้น หากคิดจะทำให้พวกเขาเชื่อว่าเจ้าสำนักมั่วไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาจริงๆ คงเป็นเรื่องยาก เจ้าสำนักเองก็คงไม่อยากถูกคนไล่ล่าตามฆ่าเช่นนี้หรอกกระมัง ถึงแม้เจ้าสำนักจะไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา แต่หากนานวันเข้าคงน่ารำคาญไม่น้อย”
มั่วเวิ่นฉิงที่อยู่ตรงริมหน้าต่างค่อยๆ นั่งลงแล้วเลื่อนสายตาจับจ้องมู่ชิงอีก่อนเอ่ย “ข้ารู้ว่าแม่นางมีสติปัญญาเป็นเลิศ แม่นางคิดจะพูดอะไรกันแน่”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “ข้าช่วยเจ้าสำนักมั่วแก้ปัญหาเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาได้ แต่ข้าอยากขอให้เจ้าสำนักมั่วช่วยคนคนหนึ่งที”
มั่วเวิ่นฉิงเลิกคิ้วทรงดาบ “ใครหรือ”
“ใครคนหนึ่ง…ที่ถูกพิษของหญ้าเก้าหยางสลายวิญญาณ” มู่ชิงอีมองใบหน้าเยือกเย็นของมั่วเวิ่นฉิงพร้อมเอ่ยเสียงเนิ่บนาบ
มั่วเวิ่นฉิงผงะไปก่อนหลุบตาลงเงียบไปพักใหญ่แล้วเอ่ย “มู่หรงซีหรือ”
มู่ชิงอีไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด ผ่านไปพักใหญ่มั่วเวิ่นฉิงถึงพยักหน้ารับ “ตกลงตามนี้”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจเล็กน้อย เพราะดูท่าทางความสัมพันธ์ระหว่างมั่วเวิ่นฉิงและมู่หรงอวี้กับพระสนมจูนั้นลึกซึ้งมาก คิดไม่ถึงว่ามั่วเวิ่นฉิงจะตอบตกลงช่วยลูกพี่ลูกน้องชายของนางอย่างง่ายดายขนาดนี้ ใบหน้าเย็นชาของมั่วเวิ่นฉิงผุดรอยยิ้มจางๆ ขึ้นแล้วเอ่ย “เรื่องระหว่างมู่หรงซีและมู่หรงอวี้ไม่ได้เกี่ยวกับข้า ข้าช่วยมู่หรงอวี้ก็เพราะเคยตกปากรับคำคนอื่นไว้ก็เท่านั้น ในเมื่อแม่นางมู่ช่วยข้าแก้ปัญหาใหญ่โตเช่นนี้แล้ว หากข้าจะช่วยเจ้าบ้างจะเป็นอะไรไป”
มู่ชิงอีพลันโล่งอกขึ้นมาทันที มั่วเวิ่นฉิงกล่าวเช่นนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าเขาไม่มีเจตนาทำร้ายมู่หรงซีและไม่ได้เป็นพวกเดียวกับมู่หรงอวี้ ขณะเดียวกันก็เป็นการยืนยันว่าใช่ว่าพิษของหญ้าเก้าหยางสลายวิญญาณจะแก้ไม่ได้เสียทีเดียว
มู่ชิงอีผ่อนลมหายใจเสียงเบาแล้วเอ่ยจากใจจริง “ขอบคุณเจ้าสำนักมั่วมาก”
มั่วเวิ่นฉิงเองก็ไม่คิดเกรงใจ เพียงแต่เอ่ยถามว่า “แม่นางมู่วางแผนเช่นใดหรือ” มั่วเวิ่นฉิงรู้ดีว่าการที่มู่ชิงอีบอกว่าจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาแทนให้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เขาเป็นคนนิสัยเย็นชาและไม่สนใจชื่อเสียง ตำแหน่งและอิทธิพลอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้เขาจดจ่อเพียงเรื่องศาสตร์การรักษาและยาพิษเท่านั้น ถึงแม้จะมีลูกน้องในเย่าหวังกู่ก่อกบฏ แต่เขาไม่เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย สำหรับคนอื่นอาจเห็นตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ทรงเกียรติมาก แต่สำหรับเขาแล้วกลับเป็นพันธนาการอย่างหนึ่งมากกว่า
เดิมทีมั่วเวิ่นฉิงไม่เก็บเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆามาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ขอแค่เขาไม่อยากให้ใครเห็นเขา บนโลกนี้ก็คงมีไม่กี่คนที่จะตามหาเขาเจอ แต่สาวน้อยตรงหน้ากลับบอกว่าสามารถช่วยจัดการปัญหาไร้สาระนี้ได้ จากนั้นก็ไม่รู้เหตุใดคำปฏิเสธที่เดิมทีอยู่ในปากกลับถูกกลืนลงคอไปเสียได้
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางเอ่ย “ความจริงไม่ยุ่งยากเลยสักนิด ขอแค่หญ้าเซียนเก้าเมฆาหายสาบสูญไปจากโลกนี้ก็คงไม่มีใครตามวุ่นวายเจ้าสำนักมั่วอีกต่อไปแล้ว”
มั่วเวิ่นฉิงเลิกคิ้ว มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “เจ้าสำนักมั่วรอดูก็พอ เพียงแต่ถึงเวลานั้นคงต้องขอความร่วมมือจากเจ้าสำนักมั่วสักหน่อย”
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเชิงอย่างไรก็ได้ “เช่นนั้นข้าจะรอดูแล้วกัน”
“แม่นาง ข้าเทียนเฉวียนขอเข้าพบขอรับ” เสียงนิ่งขรึมของเทียนเฉวียนดังขึ้นนอกประตู
มู่ชิงอีเอ่ย “เข้ามาพูดข้างใน”
เทียนเฉวียนผลักประตูเข้ามา ครั้นเห็นมั่วเวิ่นฉิงตรงริมหน้าต่างก็ผงะไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ก่อนหน้านี้แม่นางมู่บอกว่าจะมารอเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ที่นี่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาจริงๆ
ครั้นเห็นเทียนเฉวียนสติล่องลอย มู่ชิงอีก็เลิกคิ้วเอ่ย “เทียนเฉวียนมีเรื่องอันใดหรือ”
เทียนเฉวียนเอ่ยเสียงขรึม “รายงานแม่นาง ผู้อาวุโสหลิงซูแห่งเย่าหวังกู่เรียกเหล่าเจ้าสำนักและผู้นำตระกูลทั้งหลายมาชุมนุม นางบอกว่าจะให้ความกระจ่างกับเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ขอรับ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยท่าทีสนใจ หันไปมองมั่วเวิ่นฉิงแล้วเอ่ย “ในเมื่อเจ้าสำนักมั่วไม่ปรากฏตัว แล้วผู้อาวุโสหลิงซูคิดจะให้ความกระจ่างแก่ทุกคนอย่างไรกัน อีกอย่างผู้อาวุโสสำนักต่างๆ จะฟังนางหรอกหรือ”
ไท่สื่อเหิงที่เดินตามเทียนเฉวียนเข้ามาด้านในมองมู่ชิงอีพลางยิ้มตาหยีเอ่ย “แม่นางมู่ไม่ใช่คนในยุทธภพคงไม่รู้ว่าเมื่อก่อนผู้อาวุโสหลิงซูท่านนี้ถูกตั้งฉายานามว่ามืออันบริสุทธิ์ของพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ในยุทธภพเมื่อหลายปีก่อน นางช่วยคนมานับไม่ถ้วนกระทั่งถูกขนานนามว่าพระโพธิสัตว์ผู้มีชีวิต หากไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักมั่วมีตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ เกรงว่าคงสู้ชื่อเสียงในยุทธภพของนางไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ถึงแม้ในช่วงวัยเด็กมั่วเวิ่นฉิงจะร่อนเร่ฝึกฝนวิชาการรักษาในยุทธภพเช่นกัน แต่ใช่ว่าเขาจะช่วยทุกคนเสียเมื่อไร ถึงแม้จะช่วยคนมาไม่น้อยแต่กลับเลือกรักษาคนธรรมดาที่มีโรคประหลาดรุมเร้าเป็นส่วนมาก ส่วนสำนักดังในยุทธภพสูงส่งที่เป็นโรคเล็กน้อยแต่โอดครวญปางตายเหล่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าสำนักมั่วคร้านจะสนใจอยู่ร่ำไป ดังนั้นสำหรับคนในยุทธภพ นอกจากชื่อเสียงสถานะเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ของมั่วเวิ่นฉิงแล้ว เกรงว่าคงใช้ประโยชน์สู้ฉายานามมืออันบริสุทธิ์ของพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ไม่ได้จริงๆ