มู่ชิงอีมุ่นคิ้วงาม “หลิงซูจะให้ความกระจ่างแก่คนในยุทธภพเช่นใดหรือ”
ฮั่วซูแสยะยิ้มเอ่ย “เกรงว่าเย่าหวังกู่คงคิดจะใช้อุบายนี้บีบให้เจ้าสำนักมั่วปรากฏตัวกระมัง”
มู่ชิงอีหันไปเอ่ยถามมั่วเวิ่นฉิงด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักมั่วจะไปหรือไม่”
มั่วเวิ่นฉิงเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไป”
มู่ชิงอีมองเขาพลางเอ่ยเสียงขรึม “นี่อาจเป็นกับดักก็ได้”
“ข้ารู้” มั่วเวิ่นฉิงกล่าว
“ในเมื่อรู้แล้วท่านยังจะไปอีกหรือ ควรรู้ว่าหากท่านไปอาจเป็นการเอาชีวิตไปทิ้ง ข้าบอกแล้วว่าข้าสามารถจัดการเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาได้” มู่ชิงอีขมวดคิ้วเอ่ย แววตาเย็นยะเยือกของมั่วเวิ่นฉิงมีระลอกคลื่นบางๆ พาดผ่าน เอ่ยเสียงอ่อนลงว่า “บางเรื่อง…ข้าก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง”
“ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์อย่างนั้นน่ะหรือ”
“ใช่แล้ว”
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบาแล้วลุกขึ้นเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว ขอเจ้าสำนักมั่วโปรดรักษาชีวิตของตนเองด้วย อย่าลืม…ข้อตกลงระหว่างเราก็แล้วกันนะเจ้าคะ”
มั่วเวิ่นฉิงลุกขึ้นแล้วเอ่ย “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
เงาร่างชุดสีขาวของมั่วเวิ่นฉิงหายวาบไปจากหน้าต่าง ครั้นเห็นตรงหน้าต่างเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า ฮั่วซูเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ทั้งๆ ที่เจ้าสำนักมั่วรู้ว่าเป็นกับดัก เหตุใดเขาถึงยังไปอีก”
ทุกคนต่างมองไปทางไท่สื่อเหิงอย่างพร้อมเพรียง ไท่สื่อเหิงเองก็ลูบจมูกปอยๆ อย่างทำตัวไม่ถูก “หันมามองข้ากันทำไมเล่า มั่วเวิ่นฉิงคิดอะไรอยู่ข้าจะไปรู้ได้ที่ไหนกัน” เขาเป็นตระกูลผู้รอบรู้ในยุทธภพไม่ใช่เทพเจ้าแห่งยุทธภพที่จะนับนิ้วพยากรณ์ได้ทุกอย่างเสียเมื่อไร
มู่ชิงอีอมยิ้มน้อยๆ กล่าว “ไม่ว่าอย่างไร คนอย่างเจ้าสำนักมั่ว…ก็ไม่เลวเลย”
เทียนเฉวียนและฮั่วซูสบตากันเงียบๆ ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกว่ามั่วเวิ่นฉิงไม่เลวจริงๆ แต่พวกเขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด หากเจ้าเมืองรู้ว่าแม่นางมู่ชื่นชมผู้ชายคนอื่นโดยที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันไปด้วย ไม่แน่กลับไปอาจโดนเจ้าเมืองถลกหนังก็เป็นได้
ณ เรือนของจวงอ๋องในหอมู่หวา หรงเซวียนนั่งเหม่อลอยพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ตอนแรกเขาได้ยินข่าวคราวเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาเลยเป็นฝ่ายอาสาขอรับภารกิจออกตามหาเพื่อนำไปถวายเสด็จพ่อเอง ทว่าหลังจากออกมาเขาถึงรู้ว่าต่อให้เขาจะเป็นอ๋องผู้สูงศักดิ์แต่กลับไขว่คว้าหญ้าเซียนเก้าเมฆามาจากมือคนในยุทธภพเหล่านี้ได้อย่างยากลำบากนัก อย่าว่าแต่ไขว่คว้าเลย หลายวันมานี้เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของหญ้าเซียนเก้าเมฆาด้วยซ้ำ ในทางกลับกันยังเสียลูกน้องไปตั้งมากมายอีกต่างหาก
หรงเซวียนค่อยๆ เริ่มนึกสงสัยว่าการช่วงชิงครั้งนี้จะคุ้มค่าจริงหรือไม่นะ หากเขาแย่งหญ้าเซียนเก้าเมฆามาได้จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากคว้าน้ำเหลวก็คงเลี่ยงอารมณ์เกรี้ยวโกรธของเสด็จพ่อไม่ได้ ครั้งนี้ออกจากเมืองหลวงมานานเกรงว่าหากเกิดเรื่องใดขึ้นในเมืองหลวงคงควบคุมได้ยาก น้องเก้า…ยังมีน้องเก้าอีกคน ในเมื่อเสด็จพ่อทรงยอมให้เขาเข้าไปฟังงานในราชสำนักแล้ว แต่เขากลับระเบิดอารมณ์แล้วหนีออกจากเมืองหลวงไปในพริบตาเดียว กระทั่งทำเอาเหล่าองค์ชายทั้งหลายอย่างพวกเขาพลอยถูกเสด็จพ่อก่นด่าไม่เหลือชิ้นดีไปด้วย แถมหลายวันมานี้เขาเองก็ส่งคนออกตามหาเช่นกัน แต่กลับไม่เจอร่องรอยของน้องเก้าเลยสักนิด
“ท่านอ๋อง เมื่อครู่มีคนส่งจดหมายมาฉบับหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นอกประตูทูลรายงานเสียงเบา หรงเซวียนเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยอย่างฉงน “จดหมายลับหรือ เอามานี่”
จดหมายลับธรรมดาๆ ฉบับหนึ่งถูกปิดผนึกโดยการใช้เปลวไฟ นอกจากนั้นก็ไม่เห็นจุดผิดปกติใดอีก หรงเซวียนตรวจดูอย่างระมัดระวังทีหนึ่ง กระทั่งมั่นใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใดแล้วถึงเปิดซองจดหมายลับออก ทว่าข้อความในจดหมายกลับทำเอาสีหน้าเขาดุดันขึ้นมาทันที
“หรงหวง!”
“ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” ครั้นองครักษ์ที่ส่งจดหมายเห็นท่าทีเช่นนั้นเลยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
หรงเซวียนยิ้มเย็นชากล่าว “ไม่มีอะไร พี่ใหญ่ของข้าคงนั่งไม่ติดแล้วกระมัง” ไม่เพียงแค่ขอให้ยอดฝีมือในยุทธภพช่วยช่วงชิงหญ้าเซียนเก้าเมฆาเท่านั้น แต่ยังคิดจะลอบสังหารข้าด้วยหรือ ใจกล้านักนะ!
“คอยส่งคนจับตามองหรงหวงให้ดี!” หรงเซวียนเอ่ยกำชับเสียงขรึม
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง” องครักษ์ขานรับ
หรงเซวียนก้มหน้าเงียบไปพักหนึ่งถึงเลิกคิ้วเอ่ย “ส่งบัตรเชิญให้เหล่าเจ้าสำนักและยอดฝีมือในยุทธภพที่รู้จักกับท่านน้าแทนข้าทีว่าข้ามีเรื่องจะหารือด้วย” ในฐานะที่หนานกงเจวี๋ยเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแคว้นเย่ว์ ถึงแม้ตัวจะเป็นหัวหน้าแม่ทัพใหญ่แห่งราชสำนัก ทว่ากลับมีเพื่อนฝูงในยุทธภพไม่น้อย ในเมื่อหรงหวงคิดจะยืมอิทธิพลของคนในยุทธภพกำจัดเขา เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการรนหาที่ตายเองแล้วกัน
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ความจริงเหล่าสหายของหนานกงเจวี๋ยพึ่งพาได้มาก เพราะในเวลาไม่ถึงสองวันหรงหวงก็ถูกลอบสังหารถึงสองครั้งแล้ว ถึงแม้จะยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่กลับเสียขวัญไม่น้อย คืนวันนั้นเลยพุ่งไปเรือนของมู่ชิงอีเพื่อขอพบหรงจิ่นอย่างอดไม่ไหว แต่สุดท้ายดันได้คำตอบว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นออกไปจัดการเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆายังไม่กลับมา เวลานี้เลยไม่ได้อยู่ที่เรือนแห่งนี้ด้วย
หรงหวงเองก็จนใจ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าใครเป็นคนลอบสังหารตนแต่กลับไม่มีหลักฐาน ภายใต้สถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้เช่นนี้เลยจำต้องออกจากหอมู่หวาไปหลบอยู่ในจวนผู้ว่าเมืองเผิงก่อน
ครั้นมู่ชิงอีได้ข่าวว่าหรงหวงย้ายเข้าไปอยู่ในจวนผู้ว่าแล้วก็อมยิ้ม ทว่านางไม่ได้สนใจนัก เพราะเวลานี้นางสนใจเรื่องมั่วเวิ่นฉิงและเย่าหวังกู่มากกว่า
ชื่อเสียงมืออันบริสุทธิ์ของพระแม่กวนอิมและความนิยมของหลิงซูช่างสมดั่งคำร่ำลือ เพราะในระยะเวลาเพียงสองวันสำนักต่างๆ ในยุทธภพก็ยอมวางมือเพื่อรอฟังคำอธิบายของเย่าหวังกู่ แต่มีข้อแม้ว่ามั่วเวิ่นฉิงต้องปรากฏตัวมาขอขมาสำนักใหญ่ต่างๆ ด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่เห็นแก่ฉายานามมืออันบริสุทธิ์ของพระแม่กวนอิมใดๆ ทั้งสิ้น และพร้อมรบรากับเย่าหวังกู่จนตายกันไปข้าง
สถานที่หารือกำหนดไว้ที่พื้นที่ว่างซึ่งห่างจากตัวเมืองเผิงไปอีกห้าลี้ มู่ชิงอีพาอู๋ซิน ฮั่วซู เทียนเฉวียนและไท่สื่อเหิงมาถึงนานแล้ว จากนั้นก็เห็นคนจากสำนักต่างๆ ทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสายตามคาด บรรยากาศคึกคักจนเกรงว่างานชุมนุมประลองยุทธ์ยังต้องถอยให้เลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้มู่ชิงอีจะไปไหนมาไหนน้อยนัก แต่หลายวันมานี้กลับมีชื่อเสียงในเมืองเผิงเล็กๆ แห่งนี้อยู่บ้าง อย่างแรกเล่าลือว่านางมีสถานะเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหวา อย่างที่สองนางไม่เกรงใจเซวียไฉ่อีเลยสักนิด แถมรูปโฉมยังงดงามมากกว่า นี่จึงเป็นจุดสนใจที่ทุกคนต่างจับตามอง เพียงแต่พอนึกถึงอีกหนึ่งสถานะที่สำคัญซึ่งก็คือคู่หมั้นของคุณชายอวิ๋นอิ่น ต่อให้เหล่าจอมยุทธ์อ่อนหัดที่ฝีมือไม่ได้เรื่องหวั่นไหวเพียงใดก็คงทำได้แค่หักห้ามใจไว้เท่านั้น เพราะแม้แต่เว่ยอู๋จี้ยังไม่อยากหาเรื่องคุณชายอวิ๋นอิ่นเลย แล้วจะนับประสาอะไรกับพวกเขาเล่า
ดังนั้นถึงแม้มู่ชิงอีจะเดินย่างกรายอยู่ที่นั่นจนตกเป็นเป้าสายตาของคนนับไม่ถ้วน แต่คนที่จะกล้ารุดหน้าเข้ามาทักทายนางกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว
ไม่นานหลิงซูและซู่เวิ่นก็มาถึง แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงมากที่สุดก็คือคนที่ตบตีกันแทบตายเมื่อสองวันก่อนอย่างเซวียไฉ่อีดันมาพร้อมกับพวกนางด้วย อีกทั้งดูจากสีหน้าของเซวียไฉ่อีแล้วกลับไม่เผยท่าทีไม่ชอบใจหรือโกรธแค้นใดให้เห็นเลยราวกับเหล่าศิษย์หลายสิบคนของสำนักไฉ่อีไม่มีอาการบาดเจ็บหรือล้มตายใดๆ ทั้งสิ้น แถมดูสนิทสนมกับหลิงซูและซู่เวิ่นเสียอย่างนั้น
มู่ชิงอีกวาดตามองหลิงซูพลางขบคิดบางอย่าง ทว่าเห็นเพียงนางดึงมือของซู่เวิ่นไปสนทนากับผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่ดูแล้วมีชื่อเสียงพอสมควรด้วยท่าทีสุขุม ใบหน้าของผู้เฒ่าเองก็เต็มไปด้วยความชอบใจและชื่นชมราวกับนางไม่ใช่ผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่ ราวกับคนในยุทธภพเหล่านี้และเย่าหวังกู่ไม่มีความแค้นใดต่อกันอย่างไรอย่างนั้น
ดูท่าทางหลิงซูผู้นี้คงได้รับบทบาทที่ไม่ธรรมดาเลย
“แม่นางมู่” ไม่รู้ว่าหลิงซูปลีกตัวออกจากเหล่าผู้คนที่สนทนาด้วยมายืนอยู่ตรงหน้ามู่ชิงอีตั้งแต่เมื่อไร ฮั่วซูและเทียนเฉวียนประกบซ้ายขวาคั่นกลางระหว่างพวกนางไว้พลางจับจ้องหลิงซูด้วยความระแวง หลิงซูคลี่ยิ้มบางแล้วเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “แม่นางมู่ เป็นเกียรตินักที่ได้เจอ”