มู่ชิงอีปัดป่ายมือเรียกให้พวกเขาสองคนหลบไปแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผู้อาวุโสหลิงซู เป็นเกียรตินัก”
หลิงซูเอ่ยถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “เหตุใดแม่นางมู่ถึงจริงจังขนาดนั้นเล่า เรียกข้าว่าผู้อาวุโสเช่นนี้ช่างชวนให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองแก่เหลือเกิน หากแม่นางมู่ไม่รังเกียจ เดิมทีข้าสกุลเฉิน แม่นางมู่เรียกข้าว่าแม่นางเฉินก็พอแล้ว”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “เกรงว่าคงยังไม่มีใครในยุทธภพได้รับเกียรติเรียกแม่นางเช่นนี้”
หลิงซูยิ้มขมขื่นกล่าว “หลิงซูเองก็เป็นเพียงคนธรรมดา หากว่ากันด้วยเรื่องฝีมือการรักษา ต่อให้จะประจบสอพลอเพียงใดก็ไล่ตามท่านเจ้าสำนักไม่ทัน แต่เพราะร่อนเร่อยู่ในยุทธภพอยู่บ่อยครั้ง หน้าตาสุภาพเรียบร้อยเลยถูกคนเยินยอไปบ้างก็เท่านั้น ทำเอาแม่นางมู่เห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว”
หลิงซูเป็นผู้หญิงที่ชวนให้รู้สึกชิงชังนางได้ยากมากจริงๆ มู่ชิงอีลอบถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นชิงอีก็ขอน้อมรับไว้ก็แล้วกันแม่นางเฉิน”
รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าของหลิงซูดูจริงใจมากกว่าเดิม เอ่ยเสียงเบา “ไม่รู้ว่าข้าขอคุยกับแม่นางมู่เป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”
มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ใส่ใจทำทีเชิงว่าให้หลิงซูเป็นคนนำทาง นอกเมืองย่อมไม่มีสถานที่ดีๆ ใดอยู่แล้ว พวกนางสองคนก็แค่เดินปลีกตัวออกห่างไกลจากคนอื่นๆ มาหน่อยเท่านั้น ฮั่วซูและเทียนเฉวียนยังคงติดตามอยู่ด้านหลัง หลิงซูเองก็ไม่ได้สนใจ นางมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ความจริงเมื่อครู่หลิงซูเดินเข้าไปหาเพราะแฝงเจตนาอื่นจริงๆ แม่นางมู่อย่าถือโทษข้าเลย”
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “แม่นางมู่อย่าได้เกรงใจ มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถิด”
หลิงซูถอนหายใจเอ่ย “ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้แม่นางมู่ได้เจอเจ้าสำนักมาก่อน ข้าขอพูดตามตรง ข้าเรียกรวมพลคนจากสำนักต่างๆ ที่นี่ เกรงว่า…คงต้องทำผิดต่อเจ้าสำนักแล้ว”
มู่ชิงอีสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นางมองหลิงซูด้วยท่าทีสงบพร้อมรอยยิ้มในดวงตาที่จางลงมาก หลิงซูยิ้มขมขื่นกล่าว “เมื่อก่อนข้ากับซู่เวิ่นเติบโตมากับเจ้าสำนัก ถึงแม้เรื่องครั้งนี้ซู่เวิ่นจะกระทำการบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่…พูดตามตรง ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ เกรงว่าเย่าหวังกู่ก็คงรักษาความสงบสุขไปได้อีกไม่เท่าไร บัดนี้ข้าขี่หลังเสือแล้วคงลงได้ยาก หากว่ากันด้วยความสนิทสนมที่ข้ามีต่อเจ้าสำนัก ข้าย่อมไม่อยากให้เจ้าสำนักมาอยู่แล้ว แต่หากเพื่อเย่าหวังกู่…หากวันนี้เจ้าสำนักไม่มาล่ะก็…เย่าหวังกู่คงจบสิ้นแน่”
“เช่นนั้นแม่นางเฉินคิดว่าเจ้าสำนักมั่วจะมาหรือไม่” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเบา
หลิงซูเงียบไปพักใหญ่ถึงตอบว่า “มา”
“ดังนั้นแม่นางเฉินเลยจงใจสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกครั้งเพื่อให้เจ้าสำนักมั่วเดินรนหาที่ตายเองอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถามเสียงเรียบ
หลิงซูทอดมองไปไกลแสนไกล ทว่าไม่รู้ว่าเหตุใดถึงปรากฏความว่างเปล่าฉายชัดในแววตานางเช่นนั้น “ตระกูลเฉินของเราและตระกูลหลานของน้องสาวข้ารับช่วงต่อเป็นผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่มาหลายรุ่น นับตั้งแต่เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ก่อตั้งสำนักเย่าหวังกู่สำเร็จเป็นรุ่นแรก พวกเราก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อตระกูลมั่ว บรรพบุรุษของตระกูลเฉินเข้าเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักเย่าหวังกู่เป็นรุ่นแรก พวกเราย่อมหวังว่า…เย่าหวังกู่ต้องดีกว่านี้แน่นอน”
มู่ชิงอีไม่เข้าใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การกระทำของแม่นางเฉินกับผู้อาวุโสซู่เวิ่นก็ออกจะขัดแย้งไปหน่อยกระมัง”
หลิงซูหันมามองนางแล้วเอ่ยอย่างจนใจ “เพียงแต่เพราะ…เจ้าสำนักในเวลานี้ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลมั่วอย่างแท้จริง อีกทั้งไม่ใช่บุตรชายของเจ้าสำนักคนก่อนด้วย เย่าหวังกู่สืบทอดตำแหน่งเพียงคนในสายเลือดเท่านั้น ดังนั้นทุกคนในเย่าหวังกู่จึงไม่ยอมรับ…ผู้สืบทอดในเวลานี้ นี่จึงเป็นสาเหตุความวุ่นวายในเย่าหวังกู่ ซู่เวิ่น...นางยังเด็กนักเลยถูกคนยุแหย่ก็เท่านั้น แม่นางมู่น่าจะรู้ว่าเรื่องแบบนี้ ต่อให้ไม่เกิดขึ้นครั้งนี้ครั้งหน้าก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี”
มู่ชิงอีเอ่ย “แม่นางเฉินคิดหาวิธีได้แล้วหรือ”
หลิงซูเอ่ยเสียงเบา “ครั้งนี้ข้าบอกว่าเก็บตัวบำเพ็ญ แต่ความจริงข้าออกจากเย่าหวังกู่ไปตามหาคนสำคัญคนหนึ่ง ตัวเจ้าสำนักเองก็ไม่สนใจตำแหน่งเจ้าสำนักอะไรนี่อยู่แล้ว เดิมทีเรื่องนี้ควรจะจัดการได้อย่างเงียบๆ เพียงแต่น่าเสียดาย…ที่ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง รอกระทั่งข้ากลับไป ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความโกลาหลจนยากจะสะสางได้แล้ว เย่าหวังกู่ปลีกจากโลกภายนอกมาหลายร้อยปี ฉะนั้นคงเป็นปฏิปักษ์กับทุกสำนักในยุทธภพเพียงเพราะเจ้าสำนักคนเดียวไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น…บัดนี้คนในเย่าหวังกู่จะมีใครยอมออกแรงช่วยเจ้าสำนักบ้างเล่า ลำพังแค่ไม่แอบแทงข้างหลังก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
“เช่นนั้นแม่นางเฉินมาหาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ” มู่ชิงอีไม่เข้าใจ หลิงซูขบริมฝีปากแล้วมองมู่ชิงอีด้วยใจจดจ่อกล่าว “ข้ารู้ว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นมีฝีมือวิทยายุทธแกร่งกล้า หาก…หากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น แม่นางมู่โปรดเห็นแก่มิตรภาพของเจ้าสำนักแล้วออกแรงช่วยเขาหน่อยเถิด”
มู่ชิงอีแววตาเป็นประกายเล็กน้อย ผ่านไปนานถึงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เกรงว่าแม่นางจะบอกข้าช้าไปเสียแล้ว อวิ๋นอิ่นเขา…คงไม่มีเวลากลับมาที่นี่แล้ว”
หลิงซูใบหน้าซีดขาว ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้แน่นิ่งเหม่อลอยเช่นนั้น มู่ชิงอีเงยหน้ามองก็เห็นหยดน้ำใสๆ รินไหลจากหางตา ผ่านไปครู่ใหญ่เสียงแหบพร่าถึงเอ่ยขึ้นราวกับคิดบางอย่างได้ “แม้แต่ข้าที่สติปัญญาเฉียบแหลมเหนือใคร วางอุบายรอบคอบ ครั้งนี้…ต้องทำร้ายเจ้าสำนักจริงๆ น่ะหรือ”
“หยุดไม่ได้เลยหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
หลิงซูใบหน้าซีดลงทว่ากลับแฝงความมุ่งมั่นไม่ล้มเลิก “ตระกูลเฉินสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อตระกูลมั่วไปชั่วลูกชั่วหลานไม่เปลี่ยนแปลง ข้ายอมเสียสละได้แม้แต่ตนเองเพื่อเย่าหวังกู่ แล้วคนอื่นๆ เล่า”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ มู่ชิงอีก็จนใจจะโน้มน้าวอะไรอีกเลยทำได้แค่ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ
ไม่นานก็มีคนมาเชิญตัวหลิงซูไป นางเป็นคนเรียกชุมนุมในครั้งนี้จึงไปไหนไกลมากไม่ได้ หลิงซูพยักหน้าให้มู่ชิงอีเชิงขอโทษก่อนหมุนตัวเดินตามคนคนนั้นไป
“แม่นาง ผู้อาวุโสหลิงซูหมายความว่าอย่างไร” ฮั่วซูเอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจ
มู่ชิงอีหันไปมองเทียนเฉวียนที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยถาม “เทียนเฉวียน เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
เทียนเฉวียนเงียบไปพักใหญ่ถึงเอ่ย “ฟังดูแล้ว หลิงซูน่าจะตามหาสายเลือดของเย่าหวังกู่เจอแล้วจริงๆ เกรงว่าคงอยากฉวยโอกาสนี้แต่งตั้งสายเลือดตัวจริงขึ้นรับตำแหน่ง พอถึงเวลานั้นเจ้าสำนักมั่วก็คงไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับเย่าหวังกู่อย่างแท้จริง หากเป็นเช่นนั้นคนที่เจ้าสำนักมั่วฆ่าไปก็คงคิดบัญชีความแค้นกับเย่าหวังกู่ไม่ได้แล้ว ถึงตอนนั้น…เย่าหวังกู่คงไม่เป็นไร แต่ในทางกลับกันเจ้าสำนักมั่วจะตกอยู่ในอันตรายแทน เหมือนผู้อาวุโสหลิงซูจะเห็นแก่สายสัมพันธ์ที่เติบโตมาด้วยกันเลยทำใจเห็นเจ้าสำนักมั่วตกอยู่ในอันตรายไม่ได้ นางถึงมาร้องขอความช่วยเหลือจากท่านเจ้าเมือง”
ฮั่วซูแค่นเสียงเบากล่าว “หากไม่อยากก็คงไม่ทำเช่นนั้นกระมัง”
เทียนเฉวียนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเพื่อเย่าหวังกู่ นางยอมเสียสละได้แม้แต่ตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสำนักมั่วเล่า หากมองในแง่ของเย่าหวังกู่แล้ว ผู้อาวุโสหลิงซูก็ทำถูกจริงๆ ต้องรู้ด้วยว่ามีหมอออกมาจากเย่าหวังกู่ไม่น้อย และใช่ว่าทุกคนจะมีวิทยายุทธแข็งแกร่งและถนัดการใช้พิษเสียทุกคน ส่วนใหญ่เป็นเพียงหมอธรรมดาๆ เท่านั้น หากเย่าหวังกู่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักในยุทธภพก็คงยากจะรับประกันได้ว่าคนในยุทธภพจะไม่พานระบายความโกรธไปที่หมอธรรมดาๆ เหล่านั้น นี่…คงเป็นสาเหตุที่ต่อให้เจ้าสำนักมั่วรู้ดีแก่ใจว่าอาจเป็นกับดัก แต่ก็ยังยืนกรานที่จะมากระมัง”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “เทียนเฉวียนพูดถูก เพียงแต่สำหรับเจ้าสำนักมั่วแล้ว ออกจะ…” บางทีหลิงซูอาจไม่ได้ทำผิด แต่อาจโหดร้ายสำหรับมั่วเวิ่นฉิงไปบ้างก็เท่านั้น